ตายแล้วไปไหน?

1390 Words
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ดังระงม และผู้คนนับพันที่มาร่วมไว้อาลัยให้กับการสูญเสียบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากอำนาจอันดับต้น ๆ ของวงการมาเฟียแห่งแดนมาเก๊า ร่างโปร่งแสงยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสงบ เธอกวาดตาไปยังบุคคลที่รู้จักก่อนมองไปยังกรอบรูปภาพขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ อันเป็นภาพของผู้เสียชีวิต รูปภาพนั้นสะท้อนภาพใบหน้าของหญิงสาวผู้งดงาม ดวงตากลมโตนัยน์ตาดำขลับมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัวและอนาทรต่อสิ่งใด ทำให้คนที่พบเห็นยำเกรงและเคารพ แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงภาพที่ตั้งอยู่ก็ตาม หญิงสาวเข้าไปใกล้ภาพนั้นเรื่อย ๆ จนยืนชิดกับกรอบรูปหากไม่มีใครเห็นเธอสักคน เพราะคนที่เสียชีวิตและเจ้าของรูปภาพที่ตั้งอยู่คือตัวเธอเอง... เว่ยซือหง ทายาทอันดับสองของตระกูลเว่ย ตระกูลมาเฟียเก่าแก่ของแดนมังกร จากบุคคลสำคัญของวงการมาเฟีย เจ๊ใหญ่ตระกูลเว่ยที่ขยับตัวทำอะไรมีแต่คนให้ความสนใจ กลับกลายเป็นดวงวิญญาณธรรมดา แม้ยืนตรงหน้าก็ไร้ผู้คนมองเห็น ‘หึ! ร่ำรวยมากอำนาจแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?’ เว่ยซือหงคิดพลางยกยิ้มหยันให้กับสัจธรรมชีวิตที่เธอกำลังเผชิญ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาพลางมองคนที่มาแสดงความอาลัยต่อเธอคนแล้วคนเล่าด้วยแววตาเฉยเมย กระทั่งสั่นไหวเมื่อตรงหน้าคือคนสำคัญในชีวิต เว่ยซือหงมองภาพครอบครัวที่กอดกันร้องไห้นั้นด้วยความเศร้าและเสียใจ ถ้าเลือกได้เธอก็ไม่ได้อยากจากไปโดยไม่ทันร่ำลาด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์แบบนี้ ทว่าขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุใช่สิ่งที่จะห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ ต่อให้ระมัดระวังมากแค่ไหน สุดท้ายถ้ามันจะเกิด มันก็เกิดอยู่ดี เจ๊ใหญ่ตระกูลเว่ยจึงจากไปด้วยประการฉะนี้ คำอำลาจากปากของคนในครอบครัวทำเจ๊ใหญ่น้ำตานองหน้า แม้เป็นเพียงวิญญาณก็สามารถร่ำไห้ได้ ความเศร้าโศกอาดูรที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่กับคนเหล่านั้นได้อีกต่อไปทำหญิงสาวเสียใจสุดพรรณนา มีพบก็ต้องมีจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นของคู่กัน ถึงตัวจากไปแต่ใจผูกพัน เรายังอยู่ในห้วงความทรงจำของคนเป็นเสมอ เว่ยซือหงเข้าใจดี ร่างโปร่งแสงแย้มยิ้มบางพร้อมพิธีศพประจำตระกูลสิ้นสุดลง “โชคดีนะทุกคน ฉันก็คงไปตามทางของฉันเหมือนกัน” แต่... เป็นวิญญาณแล้วต้องไปไหนอะ? ไหนยมทูตขาวดำ? ไหนแม่น้ำลืมเลือน? ไหนน้ำแกงยายเมิ่ง? ไม่เห็นมี! ขณะที่หญิงสาวขบคิดด้วยความมึนงง จู่ ๆ ชั้นบรรยากาศโดยรอบก็หมุนวนดูดดวงวิญญาณของเธอเข้าไป กระทั่งแรงดูดของชั้นบรรยากาศหายไปหญิงสาวจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง “ที่ไหนวะเนี่ย!” เสียงอุทานที่ออกมาจากริมฝีปากสวยได้รูปดังขึ้น เมื่อจู่ ๆ ก็มาโผล่ยังสถานที่ว่างเปล่า ทุกอย่างล้วนขาวโพลน ไม่มีผู้คน ไร้สิ่งก่อสร้าง กลุ่มหมอกสีขาวยังลอยเอื่อย ก้มมองเท้าตัวเองพบว่าตัวเธอกำลังลอยเช่นกัน หากกลับสัมผัสได้ว่ายืนอยู่ ความรู้ย้อนแย้งนี้คืออะไร? ความคิดภายในหัวหมุนวน เชื่อว่าคำถามยอดฮิตของเหล่าดวงวิญญาณคงเป็นประโยคที่ว่า ‘ตายแล้วไปไหน’ แน่ เพราะเธอก็ถามตัวเองแบบนี้เช่นเดียวกัน! คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ เว่ยซือหงตัดสินใจเดินไปข้างหน้า โดยระหว่างเดินก็สอดส่ายสายตามองรอบตัวเองไปด้วย น่าแปลกที่เดินมาร่วม 2 ชั่วโมง เธอก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสถานที่นี้เสียที กลับกันกลุ่มหมอกที่แน่นขนัดในตอนแรกกลับจางลงเรื่อย ๆ พร้อมอากาศบริสุทธิ์ “เดี๋ยวนะ อากาศบริสุทธิ์อย่างนั้นเหรอ?” “เป็นวิญญาณหายใจได้ด้วย?” “หรือที่นี่จะเป็นสวรรค์? เป็นไปไม่ได้หรอก” เจ๊ใหญ่แห่งวงการมาเฟียอย่างเธอ แม้ไม่ได้เข่นฆ่าคนไปทั่ว ใช่ว่ามือจะไม่เปื้อนเลือด แน่ละ ในเมื่อศัตรูบางคนมันต้องการเอาชีวิตเธอ เธอก็ต้องเอาชีวิตมันคืนสิ จะให้เป็นนางเอกยอมคนมองโลกในแง่ดี ทั้งที่สถานะของตัวเองและตระกูลเป็นมาเฟียก็ไม่ใช่เรื่อง ในเมื่อศัตรูหันปืนใส่เธอก่อน เธอก็ต้องหันปืนใส่มันกลับสิถึงจะถูก เว่ยซือหงสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดไร้สาระออกไป ก่อนพิจารณาสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้อีกครั้ง หญิงสาวยกมือกอดอก ก่อนแขนขวายกขึ้นตั้งฉากแล้วทำมือคล้ายป้องปาก แต่ที่จริงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้สลับไปมาเพื่อเกลี่ยริมฝีปากตนเอง อันเป็นท่าประจำเวลาที่เว่ยซือหงใช้ความคิดมาก ๆ “แม้เราจะไม่ได้ฆ่าคนไปทั่วเป็นผักปลา แต่มือเราก็เปื้อนเลือดเพราะเข่นฆ่าศัตรู ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้ขึ้นสวรรค์ หากสถานที่นี้ก็ไม่ใช่นรก… สรุปที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่” หญิงสาวครุ่นคิดก่อนแววตาสะท้อนความไม่เชื่อออกมา “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง จะเป็นไปได้เหรอที่มันจะเหมือนนิยายแนวทะลุมิติอะไรเทือกนั้น ที่พอตายวิญญาณก็ถูกพามายังมิติของเหล่าเทพเซียน... บ้าบอไปกันใหญ่แล้วยายหง นี่มันบ้ามาก เป็นไปไม่ได้หรอก” “เป็นไปได้สิ” ขณะที่หญิงสาวตบตีกับความคิดตัวเองอยู่นั้น เสียงทุ้มเจือแววอ่อนโยนของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นเบื้องหลัง เว่ยซือหงสะดุ้งก่อนหันกลับมามองข้างหลังของตนอย่างว่องไว สายตาหญิงสาวสำรวจคนที่จู่ ๆ ก็โผล่มาอย่างไม่เก็บกิริยา ดวงตาหงกวาดมองขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่หลายรอบ ใบหน้าสวยฉายแววฉงน แววตาเจือความสงสัยเด่นชัด บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ สวมชุดจีนโบราณค่อนข้างจะ... คร่ำครึไปหน่อยหรือไม่ แต่งองค์ทรงเครื่องตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์หรูหราสีทองปักด้วยดิ้นทอง เอาจริงดิ? คนที่ถูกมองสำรวจนอกจากจะไม่ว่าอันใดแล้ว ยังยิ้มและมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนเจือเอ็นดู จนทำให้เว่ยซือหงทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย หญิงสาวยิ้มแห้งที่เผลอเสียมารยาท “ขอโทษค่ะ คุณเป็นใครคะ” พอรวบรวมสติได้ก็ถามทันที “เจ้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่เล่า” ไม่ตอบแต่ถามกลับ “เทพเซียน?” เอียงคอถามอย่างไม่มั่นใจ หากบุรุษตรงหน้ากลับยกยิ้มและพยักหน้าตอบรับคำพูดของเธอ ดวงตาหงเบิกกว้างอ้าปากค้าง แม้ไม่อยากเชื่อ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่เทพเซียนจะเป็นใครไปได้อีก! “เจ้าคงสงสัยว่าเจ้ามาทำอันใดที่นี่ และสถานที่แห่งนี้คือที่ใด มาเถิด ตามข้ามาแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง” เว่ยซือหงลังเลเล็กน้อยแต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความลังเล หญิงสาวเดินตามบุรุษชุดจีนโบราณผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเทพเซียนไปต้อย ๆ จนไปหยุดที่เก๋งริมน้ำที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมา คล้ายบุรุษชุดจีนโบราณรับรู้ความคลางแคลงใจของหญิงสาว จึงวาดมือเบา ๆ พลันนั้นโต๊ะตรงหน้าก็มีกาน้ำชา ถ้วยชา รวมถึงกระดานหมากที่มักเห็นในซีรีส์จีนโบราณบ่อย ๆ ปรากฏขึ้น ดวงตาหญิงสาวแทบถลนจ้องมองสิ่งที่ปรากฏและบุรุษตรงหน้าไม่กะพริบตา ปากก็อ้าค้างเสียกิริยาความเป็นเจ๊ใหญ่ไปโดยปริยาย “ทีนี้เชื่อข้าหรือยังเล่า” “เชื่อแล้วค่ะท่านเทพ” หลักฐานชัดเจนเพียงนี้ไม่เชื่อได้หรือ พร้อมเรียกคนตรงหน้าว่าท่านเทพอย่างไม่กระดากปาก ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มาเจอเทพเซียนแทนที่จะเป็นยมทูตขาวดำแบบนี้ แต่เอาเถอะ เธอจะมองว่ามันโชคดีไปก่อนแล้วกัน คิดง่าย ๆ มองง่าย ๆ จะได้ไม่ปวดหัวทีหลัง...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD