EPISODE – 04/2

3354 Words
[Sadins’s part] เครียด! เซงค์! หงุดหงิด! อารมณ์ผมตอนนี้แม่งหลากหลายบอกเลย มันบอกไม่ถูก ทำไมชีวิตอิสระของหนุ่มโสดของไอ้ซาดีนส์ที่ได้ฉายาว่าเสือร้อยรักต้องมาเจอเรื่องคลุมถุงชนแบบนี้ด้วย นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ทำไมต้องเอาชีวิตอิสระอันมีค่าของผมมาล้อเล่นแบบนี้ “ว่าไงตาซีนส์ ตกลงลูกจะไปดูตัวน้องกับคุณหญิงมั้ย?” คำถามที่ร้อยได้แล้วมั้ง ตั้งแต่ที่แม่เรียกผมกลับมาบ้านเมื่อเช้านี้ ท่านก็เอาแต่พร่ำถามว่า ผมจะไปดูตัวกับว่าที่คู่หมั้นมั้ย ถ้าไม่ไปท่านจะยึดบัตรทุกอย่างที่เป็นของผม จะกักขังผมไม่ให้ออกไปหาผู้หญิงที่ไหนสามเดือน ให้ตายเถอะ! ขาดเงินไอ้ซาดีนส์คนนี้ไม่ตายครับ (มีเพื่อนให้เกาะ) แต่ถ้าให้ผมขาดนารีถึงสามเดือนมีหวังซีนส์น้อยผมเป็นหมันแน่นอน “คุณหญิง~” ผมเรียกชื่อแม่ตัวเองเสียงลากยาว ทำตาเหมือนแมวขี้อ้อน “ไม่ค่ะ!” นั่นคือการบอกว่า ‘ไม่สงสาร’ ของแม่ผมครับ เอาไงดีวะ! จังหวะที่ผมกำลังระดมสมองอันชาญฉลาดหาทางเอาตัวรอดในนาทีฉุกระหุกแบบนี้ ความคิดดีๆ ก็แวบขึ้นมา หึ! เอาสิ ได้เลย! ถ้าแม่อยากให้ผมไปดูตัวว่าที่คู่หมั้นนักผมก็จะไป “โอเค ผมไปก็ได้ แต่...” “ไม่มีข้อแม้ค่ะ” ผมยังพูดไม่ทันจบเลย ยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะต่อรองอะไร แม่ผมก็ช่างรู้ทันเสียจริง “น่านะ! ซีนส์ไม่ได้ต่อรองอะไรมาก คุณหญิงก็รู้ว่าสะใภ้บ้านรัตนะวานนท์ จะต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน เป็นกุลสตรีทำอาหารเก่งเหมือนคุณหญิง” ผมยกเอาคำที่แม่เคยพร่ำบอกเวลาผมควงสาวมั่วมาย้อนท่าน (ขอเป็นลูกที่นิสัยไม่ดีสักวันแล้วกันนะครับ) “แล้ว?” ท่านเลิกคิ้วถาม “ซีนส์ขอเวลาสามเดือนถ้าเธอผ่านบททดสอบของซีนส์ทุกอย่างซีนส์จะยอมหมั้นกับเธอทันที แต่งให้เลยก็ยังได้” พูดจบผมก็ยกมือวางกับพนักโซฟาท่าทางสบายอกสบายใจ บอกเลยถ้าแม่ผมตกลงนะ ผมนี่จะเต้นโชว์เลยด้วยซ้ำ “ตกลง” Yeap!! กำลังจะลุกขึ้นเต้นโชว์แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่า... “คุณหญิงก็มีข้อต่อรองเหมือนกัน” ฉิบหาย! ข้อต่อรองของแม่ผมไม่ธรรมดาแน่บอกเลย ท่านฉลาดกว่าที่พวกคุณคิด “ข้อแรก... คุณหญิงให้เวลาแค่สองเดือน” อ้าว! ผมบอกว่าสามเหอะ แต่ก็ได้แต่ค้านในใจไม่กล้าพูดครับ “ข้อสอง... ถ้าซีนส์เผลอทำอะไรล่วงเกินน้อง จากแค่ ‘ว่าที่’ จะกลายเป็นงานหมั้นทันที” ล่วงเกินของแม่ผมนี่มันขนาดไหนอะ แบบว่า... เลยหรือเปล่า “ยังไม่ต้องถึงขั้นขืนใจน้อง แต่ถ้าลวนลามน้องแล้วคุณหญิงรู้จะถือว่าซีนส์ทำผิดข้อสองนี้ทันที” แม่ผมแค่มองหน้าก็รู้แล้วเหรอว่าผมคิดคำว่า ‘ล่วงเกิน’ ของท่านไปถึงเรื่องใต้สะดืออะ “ข้อสุดท้าย... “ “ถ้าลูกขืนใจน้องแม้จะยังไม่ถึงขั้น... ก็ตาม แม่จะจับเราแต่งงานทันที” “เฮ้ย! ไม่เอาดิคุณหญิง แบบนี้ไม่แฟร์เลยอะ ผมเป็นผู้ชายนะ” ข้อนี้รับไม่ได้อย่างแรง นี่เหมือนผมเอาเนื้อสดๆ หวานๆ มาแขวนคอยังไงไม่รู้ แบบว่าอยากกินแต่ก็กินไม่ได้ มันทรมานนะเว๊ย! “ทีลูกยังขอตั้งสามเดือนเพื่อที่จะแกล้งน้องได้เลย คุณหญิงขอแค่สามข้อแค่นี้ทำไมได้เหรอ หรือเราคิดจะทำอะไรกับน้องเหมือนผู้หญิงที่ผ่านๆ มาของลูก” แม่ผมชี้นิ้วเรียวงามที่ก็เหี่ยวย่นตามวัยถามผมเสียงเข้ม “ห้ามเด็กขาดเลยนะซีนส์ คนนี้แม่หวง แม่จะเอาเป็นลูกสะใภ้ แม่จริงจัง!” ถ้าถึงขั้นเปลี่ยนคำแทนตัวจาก ‘คุณหญิง’ กลายเป็นคำว่า ‘แม่’ นี่คือแม่ผมจริงจังและเอาจริงของแท้ครับ ใครก็ห้ามขัดใจท่านเด็ดขาด! “ว่าไง ตกลงมั้ยครับ!” เหมือนจะเป็นประโยคคำถาม แต่มันคือประโยคบังคับชัดๆ “ครับ ตามนั้น” แล้วไอ้ซาดีนส์คนนี้จะทำไงได้ล่ะ นอกจากตอบตกลง “ดีมากลูก คุณหญิงรู้นะว่าเรื่องคลุมถุงชนมันหมดยุคสมัยแล้ว” แม่ผมยังคงพูดต่อ “แต่เพราะซีนส์นั่นแหละลูกที่ทำตัวของลูกเอง” คุณหญิงโทษผมอะ! “ซีนส์ทำไร ซีนส์เปล่าสักหน่อย” ผมเถียงท่านกลับไป “ยังไม่รู้ตัวเหรอ ทุกวันนี้แม่นั่งลุ้นตลอดเวลา เมื่อไหร่จะมีสาวๆ ที่ลูกควงอุ้มท้องมาบอกว่า นี่น่ะหลานคุณแม่นะคะ” พูดจบท่านก็จิ๊ปากเชิดหน้างอนใส่ผม เอ่อ... นี่แม่ผมคิดไปถึงนู่นเลยเหรอครับ “ซีนส์ป้องกันทุก.. โอ๊ย! เจ็บๆ แม่อย่าหยิก” ผมยังพูดไม่ทันจบเลยว่าผมป้องกันทุกคน ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดทำผู้หญิงที่ไม่ได้จริงจังท้องหรอก ก็เจอแม่หยิกแขนพุงเข้าให้ “แม่ซีเรียสค่ะ!” คำว่า ‘แม่’ หลุดมาอีกแล้ว นี่ผมทำให้แม่คิดมากขนาดนี้เลยเหรอวะ? “โอเคครับรู้แล้ว แล้ววันดูตัววันไหนอะ” รีบเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ไม่อยากให้แม่ผมคิดมากไปกว่านี้ เห็นผมทะลึ่งตึงตัง ขี้เล่นไปวันๆ แต่ผมก็มีมุมจริงจังนะครับ “วันนี้ค่ะ ตอนหนึ่งทุ่มตรง เตรียมตัวให้พร้อมด้วย แต่งชุดที่คุณหญิงสั่งให้คนเอาไปไว้ที่ห้องซีนส์ด้วยหล่ะ” ว่าจบแม่ผมก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง สงสัยจะรีบไปแต่งตัวเพราะนี่ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ไหนต้องแวะไปรับป๊าที่มหาลัยอีกสงสัยกลัวไม่ทัน เมื่ออยู่ตัวคนเดียวในห้องรับแขกที่สุดแสนจะกว้างขวางของบ้าน ผมก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ ชีวิตอิสระของเพลย์บอยแบบผมต้องมามีคู่หมั้นตอนอายุแค่ยี่สิบสี่จริงเหรอ แบบนี้ผมต้องแกล้งยัยนั่นให้รีบทนผมไม่ถึงเดือนซะแล้ว! ‘แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ว่าที่คู่หมั้นของผม’ ผมแสยะยิ้มเมื่อรู้สึกถึงชัยชนะในครั้งนี้ของตัวเอง ถ้าเธอทนในสิ่งที่กำลังจะเจอได้ถึงสองเดือน แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องหน้าด้านหน้าทนหรือไม่ก็คิดจะจับผมอยู่ก่อนหน้าแน่นอน ซาดีนส์ฟันธง! [End part] ก๊อก ก๊อก ฉันที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่าได้เวลาที่จะต้องไปเจอกับเจ้าชายในวัยเด็กแล้ว “สวยมากค่ะน้องเพลย์” แม่เล็กคือคนที่เคาะประตูห้องฉันก่อนหน้า ท่านเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่เห็นชุดที่อยู่บนตัวฉัน “เพลย์ว่ามันดูเวอร์ไปไหมคะแม่เล็ก” ฉันก้มมองสำรวจตัวเองตั้งแต่ช่วงอกลงไปยันเท้าน้อยๆ เดรสสีขาวลายลูกไม้ กระโปรงด้านหน้าสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ปล่อยชายด้านหลังยาวลากดิน ช่วงบนเป็นเสื้อแขนยาวปักลายฉลุที่ดูเรียบแต่หรูหรา ชุดที่ส่งตรงจากแม่เล็กแน่นอนล้านเปอร์เซนต์ เพราะนี่ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของฉันแม้แต่น้อย “แม่เล็กว่าเข้ากับน้องเพลย์ออก หรือว่าน้องเพลย์ไม่ชอบที่แม่เล็กยุ่งย่ามเรื่องชุดกัน แม่เล็กขะ...” ดราม่ามาอีกแล้วแม่เล็กของฉัน “โอ๋ๆ แม่เล็กอย่าน้อยใจสิคะ เพลย์ชอบค่ะ สวยดี แต่แบบว่ามันจะไม่ดูเวอร์ไปหน่อยเหรอคะ” “ไม่เลยค่ะ ชุดนี้เหมาะกับน้องเพลย์คนสวยของแม่เล็กที่สุด ใส่แล้วดูเป็นเด็กเรียบร้อย น่ารัก” แม่เล็กพูดแล้วก็ทำหน้าล้อเลียนฉันเบาๆ ท่านคงจะกำลังบอกฉันมันเป็นพวกแก่นแก้วหรือเปล่านะ หลังจากที่เสียเวลากับเรื่องชุดฉันไม่นาน ตอนนี้พวกเราสามคนก็มารอฝ่ายว่าที่คู่หมั้นของฉันอยู่ที่โรงแรมระดับหรูหราที่ป๊าบอกว่าเป็นธุระกิจในเครือของฝั่งนู้น พวกเราสามคนนั่งอยู่ชั้นสี่ของโรงแรม บรรยากาศภายในห้องส่วนตัวดีทีเดียว ทุกอย่างถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีขาว ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ ถ้าเดินไปตรงริมหน้าต่างจะสามารถมองลงไปด้านล่างเห็นลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่กำลังพวยพุ่งอย่างสวยงามตา “น่าจะได้เวลาแล้ว น้องเพลย์ตื่นเต้นมั้ยลูก” เสียงแม่เล็กถามฉันขึ้น ฝ่ามืออบอุ่นเอื้อมมาจับมือฉันที่วางบนตักด้วยความเกร็ง “มากเลยค่ะ” ฉันตอบออกไปเสียงเบาหวิวแทบจะเรียกว่ากระซิบ “ฮ่าๆ” คุณพ่อก็ช่างหูดี ขนาดฉันพูดเสียงเบาเพราะกลัวท่านจะล้อแล้วนะ ยังจะได้ยินแล้วขำท่าทางฉันอีก “คุณเศก ขอโทษทีที่มาสาย” ฉันที่กำลังจะบอกให้คุณพ่อเลิกล้อ ก็มีเสียงทรงอำนาจของคนมีอายุดังขึ้นทางด้านหลัง พวกเราสามคนเลยหันไปมอง “อ้าวคุณพงษ์ มาแล้วเหรอ มาๆ พวกเราเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” คุณพ่อลุกขึ้นเดินไปตบไหล่คุณลุงพงษ์ที่เดินมาพร้อมหญิงคนหนึ่งที่ยังดูสวยและสง่า “สวัสดีค่ะ” ฉันมีมารยาทพอ เลยยกมือขึ้นไว้ผู้มาใหม่ทั้งสองคน พวกท่านพยักหน้ารับไหว้และยิ้มกลับมาให้ฉัน แต่ทำไมมีแค่สองคน? หรือว่าเจ้าชายฉันจะชิ่ง! ไม่นะ เพลย์ไม่ยอม! “เดี๋ยวพี่เขามาจ๊ะ พอดีแวะเข้าห้องน้ำ” เสียงคุณป้าที่มาพร้อมลุงพงษ์พูดขึ้น ท่านยิ้มขำๆ ส่งมาให้ฉันด้วย เหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังมองหาลูกชายท่านอยู่ “ค่ะ” ฉันตอบกลับไปหน้าชานิดๆ ที่โดนจับได้ นี่ขนาดพยายามรักษาอาการแล้วนะยังไม่วายโดนจับได้อีก “ขอโทษครับ ช้าไปหน่อยพอดีคนรอคิวเยอะ” เสียงทุ้มฟังแล้วคุ้นหูดังขึ้น ทำให้พวกเราห้าคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหันกลับไปมอง เฮ้ย! นั่นมัน... ตาฉันเบิกกว้างอัตโนมัติ เมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงเมื่อกี้เต็มๆ สองตา “นี่มัน... ไอ้สายเหลืองนี่” ขวับ! หลังจากที่ฉันเผลอคิดเสียงดังไปหน่อย ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่นั่งล้อมวงสนทนากันอยู่หันขวับมามองฉันเป็นจุดเดียวกัน “เมื่อกี้หนูเพลย์เรียกพี่เขาว่าอะไร...” เสียงผู้หญิงที่มากับลุงพงษ์ถามฉันขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะพูดจบใครบางคนที่ไร้มารยาทก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “อย่าบอกนะ... จะให้ผมแต่งกับยัยขี้มโนนี่” นอกจากจะพูดขัดผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ไอ้หัวขาวยังยกมือชี้หน้าฉันประกอบคำพูดไปด้วย “อ้าว! นี่สองคนรู้จักกันแล้วเหรอ คิดว่าเรียนที่เดียวกันเฉยๆ ยังไม่เคยเจอกัน แต่ไหงกลายเป็นคนรู้จักกันซะได้ ดีๆ แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” เสียงลุงพงษ์พูดขึ้น ทำให้ผู้ใหญ่อีกสามคนที่นั่งฟังและมองพวกเราสองคนอยู่พยักหน้าคล้อยตาม ‘ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ นี่ไม่เรียกพรมลิขิตแล้วเหอะ’ “มานี่เลยยัยตัวแสบ!” ไม่ว่าเปล่า ไอ้หัวขาวเดินมากระฉากข้อมือฉันให้ลุกขึ้นเพื่อเดินตามเขาไป “ตาซีนส์จะทำอะไรน้องน่ะลูก” เสียงคุณป้าที่น่าจะเป็นแม่ไอ้หัวขาวดังขึ้นแทบจะเรียกตะโกนด้วยน้ำเสียงตกใจกับการกระทำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของลูกชาย “ผมขอยืมตัวยัยนี่แป๊บนะครับ รับรองจะเอามาส่งคืนครบสามสิบสองเหมือนเดิมทุกอย่าง” พูดจบไอ้บ้าหัวขาวมันก็กระชากลากถูฉันออกมาจากบริเวณห้องทานอาหาร ตรงไปที่ลิฟต์และ... “นี่! จะพาฉันไปไหน นิสัยไม่ดี ฉันเป็นผู้หญิงนะเว้ย!” เมื่อถูกลากเข้ามาในลิฟต์ได้สำเร็จ ฉันก็ทั้งดิ้นทั้งยกเท้าเตะไอ้สายเหลืองทันที “เลิกดิ้น! แล้วก็เลิกมโนว่าฉันจะลากเธอไปทำไม่ดี ฉันไม่พิศวาสผู้หญิงแก่นๆ แบบเธอ” วาจาร้ายกาจไม่พอ แต่ดูปากที่เบ้เหมือนกับรังเกียจฉันสิ “คิดว่าฉันอยากให้ไอ้สายเหลืองล่อลวงเพศเดียวกันแบบนายมาถึงเนื้อถึงตัวเหรอยะ เสนียดน่ะรู้จักเปล่า!” ด่ามาด่ากลับไม่โกง คอนเซ็ปเพลย์เยอร์เองค่ะ “เธอนี่มัน!” นึกคำด่าฉันไม่ทันล่ะสิ ถึงได้ทำท่าทางฟึดฟัดหัวเสียแบบนั้น สมน้ำหน้า! อยากเล่นกับเพลย์เยอร์ดีนัก มวยคนละชั้นเหอะ ไปเรียนมาใหม่ไป! หลังจากที่ลิฟต์พาฉันกับไอ้หัวขาวขึ้นมาถึงฉันสามสิบแปดชั้นบนสุดของโรงแรมนี้ ไอ้หัวขาวก็ลากฉันออกมาและเดินขึ้นบันไดมาอีกสิบกว่าขึ้นเพื่อมายังชั้นดาดฟ้า “พาฉันมาที่นี่ทำไม คิดจะผลักฉันตกตึกงั้นหรอ?” ฉันทำท่าทางหวาดระแวงเมื่อสมองมันคิดได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว “นี่จะมโนไปถึงไหน ใครจะไปฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ” ผู้ชายตรงหน้าที่สวมชุดสูทสีขาวมีเสื้อคลุมปลายแหลมสีดำทับข้างนอกอีกชั้นพูดขึ้น “ถ้าจะคุยเฉยๆ จำเป็นมั้ยที่จะลากขึ้นมาดาดฟ้าขนาดนี้” ปากน่ะต่อปากต่อคำเขา แต่สายตาก็ยังคงจ้องบานประตูที่อยู่ข้างหลังไอ้หัวขาวนี่ หวังว่าเขาคงไม่ค่อยๆ ไล่ต้อนให้ฉันเดินไปจนสุดริมระเบียงแล้วฆาตรกรรมฉันหรอกนะ! “ขมวดเข้าไปคิ้วน่ะ คิดแต่เรื่องไม่ดีอีกแล้วล่ะสิ!” เหมือนถูกด่าเบาๆ เลย “รีบๆ พูดธุระนายมา ฉันหิว!” ไม่ได้หิวอย่างปากว่าหรอก แค่กลัวน่ะ “เธอคือคนที่มาดูตัววันนี้?” หมอนี่ถามคำถามปัญญาอ่อนมาก เห็นๆ อยู่ว่าครอบครัวเราสองคนนัดกันมา ถ้าไม่ใช่ฉันจะให้เป็นสาวงามที่ไหนกันล่ะ “คงงั้น” ฉันตอบออกไปไม่เต็มเสียงนัก ไม่อยากคุยด้วย รู้สึกเฟลมาก ทำไมคนที่เคยช่วยฉันไว้เมื่อสิบเจ็บปีก่อนต้องเป็นหมอนี่ด้วย ความดีใจที่เคยมีก่อนหน้ามันแทบจะหายไปหมดเหลือไว้แค่ความน้อยใจในโชคชะตาที่ส่งให้เจ้าชายใจดีมากลายเป็นพวกกินเพศเดียวกันแบบนี้ “ฉันมีเรื่องจะตกลงกับเธอ” เสียงเรียบๆ ของผู้ชายที่ฉันกำลังก่นด่าอยู่ในใจดังขึ้น ทำให้สองตาคมสวยของฉันหันไปจ้องหน้าหล่อเหลาของคนพูด ไอ้หล่อมันก็หล่ออยู่หรอก เสียอย่างเดียวฉันดันไปรู้ความลับเขาแล้วไง “ตกลง?” ฉันถามกลับด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก พอจ้องหน้าหมอนี่นานๆ ใจมันเต้นแรง เคยเจอแต่แบบแอบมอง พอมาเห็นหน้าชัดๆ แล้วมันแบบว่า คิ้วดกดำหนาได้รูปสวย จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากหยักลึกเย้ายวนให้น่าสัมผัส ผิวที่ใสกว่าผิวผู้หญิงหลายคนเวลาโดนแสงช่างเปล่งออร่า โอ๊ย! ไม่น่ากินเพศเดียวกันเลย เพลย์เยอร์เสียดาย! “น้อยๆ หน่อย เช็ดด้วยน้ำลายน่ะ รู้ว่าฉันหล่อ แต่ไม่ต้องจ้องเหมือนจะเขมือบฉันตรงนี้ก็ได้ ยัยโรคจิต!” ไม่ว่าเปล่า เขาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากฉันออกแรงดันหน่อยๆ ทำให้ศีรษะฉันโยกไปด้านหลังเล็กน้อย “ใครมอง ไม่มี๊~” แล้วจะเสียงสูงเพื่อ? “เลิกนอกเรื่อง กลับมาจริงจังกันได้แล้ว” ไอ้บ้าหัวขาวพูดจบก็เดินไปอีกมุมหนึ่งของดาดฟ้า ที่มีเก้าอี้ตัวยาวสองตัวตั้งอยู่ติดกำแพงใกล้ประตูทางออก “ว่ามาสิ ตกลงเรื่องอะไร ทำอย่างกับฉันอยากอยู่กับนายนานๆ” ฉันบ่นๆ แต่ขาก็ยอมเดินตามหลังเขามานั่งม้านั่งอีกตัว “วันนี้พวกเรานัดมาดูตัวกันใช่ปะ?” คำถามที่รู้คำตอบอีกแล้ว “อื้อ” ฉันกอดอกทำหน้าเบื่อหน่ายตอบเขาออกไป “คืองี้นะ ในเมื่อเราสองคนไม่ได้คิดจริงจังอะไรกัน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่คิดกันเอาเอง” ฉันพยักหน้าคิดตาม “งั้นเรามาแสดงละครกันดีเปล่า” เจ้าของประโยคที่นั่งเอามือสองข้างจับขอบม้านั่งข้างลำตัวเอียงหน้ามาถามฉัน “เล่นละคร? ยังไง?” ฉันตามเขาไม่ทันเลยถามออกไป “ก็แบบว่า ยอมคบกันดูไง เธอก็ไม่จริงจัง ไม่มีข้อผูกมัด ฉันก็ยังคงเป็นอิสระแค่เล่นละครต่อหน้าพวกผู้ใหญ่แค่นั้นเอง” น้ำเสียงเขาดูจริงจัง “นี่มันเรียกลิงหลอกเจ้านะ บาปตกนรก!” ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยอะ มันเหมือนกับหลอกลวงผู้มีพระคุณยังไงไม่รู้ “แสดงว่าเธออยากหมั้นกับฉันจริงๆ” คำถามนี้ถ้าก่อนหน้า ฉันไม่รู้ ไม่เห็นในสิ่งที่มันทำให้ลังเล ฉันกล้าตอบได้เต็มปากเลยว่า ‘ใช่ฉันอยากหมั้นกับนาย’ แต่เพราะสิ่งที่เห็นก่อนหน้ามันค้ำคอฉันอยู่ มันเลยค่อนข้างพูดลำบาก “ไม่รู้สิ ฉันก็บอกไม่ถูก” ฉันเป็นพวกไม่ค่อยชอบโกหก คิดแบบไหนก็พูดไปแบบนั้น “ฉันชอบเธอว่ะ!” ตึกตัก ตึกตัก จู่ๆ อกข้างซ้ายก็ทำงานผิดปกติ รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวแปลกๆ “ชอบที่เธอตรงดี” วูบ~ และสักพักไอ้หัวใจบ้าก็เกือบจะหยุดเต้นลงซะงั้น “ก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ตกลงแผนนายคืออะไร รีบๆ พูดจะได้รีบกลับ” น้ำเสียงหงุดหงิดนี่หวังว่าเขาคงไม่เอะใจกับมันหรอกนะ “ฉันตกลงกับคุณหญิง เอ่อ แม่ฉันน่ะ” หมอนี่คงชินกับการเรียกแม่ตัวเองแบบนั้น พอเห็นฉันทำคิ้วขมวดเพราะงงในชื่อที่เรียกเลยรีบเฉลย “แล้ว?” เพราะเขาไม่ยอมพูดต่อฉันเลยเร่งเร้า “ฉันตกลงกับแม่ฉันไว้ ว่าจะทดสอบเธอนิดหน่อย ถ้าเธอแกล้งทนฉันไม่ได้สักสองเดือนเรื่องงานหมั้นเราก็จะไม่เกิดขึ้น” แปร๊บ! ทำไมพอได้ยินคำว่า ‘งานหมั้นจะไม่เกิดขึ้น’ ฉันถึงรู้สึกเจ็บปวดที่อกข้างซ้ายแปลกๆ สรุปเขาคือเจ้าชายในวัยเด็กของฉันจริงหรือเปล่า? “ถามไรอย่างสิ!” บอกแล้วฉันเป็นคนตรงๆ ถ้าอยากรู้อะไรจะถามเลย แต่พอคนที่ฉันกำลังจะตั้งคำถามหันมามอง ปากมันก็หยุดทำงานซะงั้น “ว่า?” ไอ้หัวขาวเอียงคอหน่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนเร่งเร้ารอฟังคำถาม “ที่นายไม่อยากหมั้นเพราะว่า... เพราะ เอ่อ” ทำไมกลับกรอกแบบนี้เพลย์เยอร์ ความตรงไปตรงมาของแกไปไหนหมด เปลี่ยนคำถามซะงั้น! “เพราะอะไร?” คนรอฟังยังคงเร่งเร้าสิ่งที่ฉันยังถามไม่จบ “นายมีคนที่ชอบแล้วเหรอ?” ฉันตัดสินใจถามออกไป แต่กลับไม่มองหน้าเจ้าของคำถามแม้สักนิด “บ้า! ฉันเพิ่งยี่สิบสี่นะ ไม่อยากมีภาระตอนนี้หรอก มนุษย์แฟนคือสิ่งต้องห้ามสำหรับเพลย์บอยสุดหล่ออย่างฉัน” เกือบจะยิ้มอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดคำพูดประโยคท้ายๆ ของหมอนี่ “หลงตัวเอง” “ว่าไงนะ?” ฉันอุตส่าห์พูดเบาๆ ยังจะเสือกหูดีอีก “เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่สองเดือนใช่ไหม ได้ฉันตกลง!” คำตอบของฉันทำให้คนฟังถึงกับยิ้มหน้าบาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD