EPISODE – 01

4719 Words
“เบื่อฉิบ! ไม่เข้าคลาสสอนก็น่าจะบอกนักศึกษาล่วงหน้า แบบนี้ก็แหกขี้ตาตื่นเช้าเสียเวลาฉันหมดน่ะสิ” ฉันเดินดุ่มๆ บนส้นสูงสามนิ้วในชุดนักศึกษารัดติ้วด้วยความหงุดหงิดเข้าขั้นสิบริกเตอร์ สาเหตุเพราะอาจารย์ประจำคลาสเช้าของคณะนิเทศศาสตร์ที่ฉันเรียนอยู่ เกิดเอาแต่ใจอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ทันทีที่ขาเรียวสวยของฉันก้าวเข้าห้องเรียนก็พบกับข้อความที่อ่านแล้วทำให้ถึงกับกุมขมับ ‘วันนี้อาจารย์ไม่สบาย ต้องไปออกเดทกระทันหัน เด็กๆ เรียนรู้เองนะจ๊ะ’ ข้อความที่สุดแสนจะอินดี้ ชิลล์ๆ บนกระดานดำ ย้ำนะคะ ว่ากระดานดำ ที่มองกี่ทีๆ ก็ทำให้นึกถึงสมัยประถม ตัวบักเอ้ง! เขียนไว้ เป็นสารบอกให้เหล่านักศึกษาที่ต้องเข้าเรียนในคลาสนี้ตอนนี้ทุกคนทำหน้าเอือมระอาที่ได้อ่านมัน รวมถึงฉัน เพลย์เยอร์ สุดสวยคนนี้... แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันที่อุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อมาให้ทันเข้าเรียนแปดโมงเช้าโมโหแถมหงุดหงิดแบบนี้ได้ยังไงไหว!! ขณะที่กำลังเดินผ่านห้องน้ำชายที่หลังตึกคณะศิลป์ที่อยู่ข้างๆ คณะฉัน หูก็ดีดันไปได้ยินเสียงๆ หนึ่งที่ดังในห้องน้ำ “โอ๊ย! แทงเบาๆ สิวะ” หืม! เดี๋ยวนะ ใครมามีเรื่องอะไรกันแถวนี้หรือเปล่า อะไรแทงๆ ฉันเลยหยุดขาไว้เพื่อที่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่อไปแบบมีมารยาทที่สุด “ไอ้ห่า! แทงทีละนิดมันจะไปเสร็จอะไร เนี่ยแบบนี้แหละดีแล้ว แทงครั้งเดียวมิดเลย เจ็บ แสบดีมั้ยล่ะ ฮ่าๆ” เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว บทสนทนาของสองคนในห้องน้ำทำไมมันทะแม่งๆ แบบนี้นะ แถมเสียงทั้งสองเสียงที่คุยกันดันเป็นเสียง.... ผู้ชาย ไม่ได้การ เข้าใจนะว่าสังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรื่องรักเพศเดียวกันอะไรพวกนี้มันเหมือนเรื่องธรรมชาติเข้าทุกวัน แต่นี่มันสถานศึกษา แถมยังอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ เอ่อ... ห้องน้ำเรียกที่สาธารณะได้ไหมอะ แต่ก็ช่างมันอย่าไปสนใจเรื่องนั้น ฉันจะจัดการกับไอ้สองคนที่กำลังทำอะไรๆ กันอยู่ในนั้นยังไงดีนะ “นิสัยทรามแบบนี้ต้องเจอฉัน เดี๋ยวแม่เพลย์คนนี้จะจัดให้เอง” พูดเสร็จก็หน้าด้าน ไม่สนอะไรแล้วในนาทีนี้ เปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไป โป๊ก!! “เหี้ยตัวไหนขว้างมาวะ!” เหี้ยตัวนี้ล่ะ แถมสวยด้วย ฉันคิดในใจ ยืนกอดอกมองดูภาพอุจาดตาที่เปิดประตูมาเจอกับ... ผู้ชายสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าฉันมองไม่เห็นหน้าเขา เพราะมีผู้ชายร่างหนา สูง ผมสีบรอนด์ยืนบังอยู่ เหมือนกับไอ้หัวขาว ฉันขอตั้งฉายาให้เขาเลยแล้วกัน ไอ้หัวขาวกำลังก้มลงไปทำอะไรบางอย่างกับผู้ชายอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ฉันคิดว่าคงจะกำลัง... ล่ะนะ “ทำอะไรอายฟ้าอายดินบ้างก็ดี ถ้าอยากมากจนอดใจไม่ไหว นู่น!!” ฉันชี้มือออกไปนอกประตูห้องน้ำ พร้อมกับบู้ปากประกอบท่าทาง “ออกไปทำกันนอกมหาลัยไป ไอ้พวกสายเหลือง” สั่งสอนคู่รักสายเหลืองตรงหน้าเสร็จ ฉันก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ไม่อยากอยู่นาน แค่นี้ตาฉันจะเป็นกุ้งยิงมั้ยเนี่ย “เฮ้อ!” วันนี้ทั้งวันฉันเอาแต่นั่งหายใจทิ้งอยู่ภายในห้องสีฟ้าสดใส สีโปรดของฉัน นั่งเหม่อมองอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองร่องรอยของรอยสักรูปแมวดำนั่งอยู่บนพระจันทร์เสี้ยวพร้อมกับเถาวัลย์ดอกไม้ที่อยู่บนไหล่ซ้ายของฉัน ยิ่งมองมัน ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันจำเป็นต้องสักรูปนี้เมื่ออายุ 19 เพื่อเป็นการปกปิดรอยแผลเป็นอะไรบางอย่าง “เมื่อไหร่ฉันจะหานายเจอนะ เจ้าชายของฉัน” เพราะเห็นรอยสักทีไร ใจฉันก็จะเต้นตึกตัก คิดถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก ตอนฉันอายุ 4 ขวบ วันที่ฉันได้เจอกับ เจ้าชายขี่ม้าขาว ในวันนั้น “ชิ่วๆ ไปไกลๆ เลยนะเจ้าหมาบ้า อย่ามาทำร้ายน้องแมวของเพลย์นะ” ฉันในวัยเด็กที่กำลังจะช่วยเจ้าแมวน้อยจากการถูกเจ้าหมาตัวใหญ่ขู่กรอดๆ เตรียมจะขย้ำเจ้าน้องแมวเคราะห์ร้ายสีดำเมี่ยม กรรรจ์!! เสียงเจ้าหมาตัวโตร้องคำรามขู่ฉันที่กำลังจะเข้าไปแย่งเหยื่ออันโอชะของมัน แววตาของเจ้าหมาตัวโตสีน้ำตาลน่ากลัวมาก มันคำรามพร้อมโชว์เขี้ยวใหญ่ยาวที่แข็งแกร่งใส่ฉัน “น้องแมว มานี่มา มาหาน้องเพลย์น้า~” ฉันยังคงใจดีสู้หมาตัวนั้นอยู่ พยายามค่อยๆ ใช้ไม้ยาวๆ ที่ถือไว้ ยื่นไปข้างหน้าเพื่อไล่เจ้าหมาเกเรตัวโต แต่ตอนที่ฉันเกือบจะเอื้อมมือไปหยิบน้องแมวตัวเล็กนั่นได้ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น โฮ่ง!! แง่ง!! “กรี้ด~” ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเจ้าหมาตัวโตกระโจนเข้ามาใส่ร่างเล็กของฉันจนล้มลง แล้วมันก็กัดเข้าที่ไหล่ซ้ายฉัน ในนาทีนั้นฉันที่ยังเด็กมากนึกว่าจะตายตรงนั้นแล้วซะอีกถ้าไม่ได้... เอ๋งๆ...!! จังหวะที่กำลังเหมือนจะขาดอากาศหายใจเพราะทนเจ็บปวดกับแผลที่ถูกกัดไม่ไหว ก็มีเด็กผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเข้ามาช่วยไล่เจ้าหมาตัวนั้นไว้ ฉันไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนทำให้เจ้าหมาตัวนั้นยอมปล่อยฉันที่เป็นเหยื่อใหม่ของมันแล้ววิ่งหางจุกตูดเผ่นแนบได้ขนาดนั้น ตอนนี้สมองฉันเริ่มจะขาวโผลน สองตาเริ่มจะดับมืดลง... ช่วยด้วย! ฉันได้แต่เอื้อนเอ่ยขอความช่วยเหลือออกไป คิดว่าเสียงมันคงดังออกไปแต่ที่ไหนได้นั่นเป็นเพียงแค่จินตนาการของฉันเท่านั้น เพราะเสียงมันไม่ได้ดังออกไปตามที่ใจคิดเลย หลังจากนั้นผ่านมาประมาณสามวันได้ ฉันก็ฟื้น หมอบอกว่าแผลมันลึกมาก ต้องฉีดยาอะไรไม่รู้ตั้งหลายอย่าง ฉันที่ยังเด็กอยู่จำไม่ได้หรอก ที่จำได้เพราะให้ปะป๊าเล่าให้ฟังอีกรอบตอนอายุ 19 ปี ป๊ายังเล่าต่ออีกว่า การช่วยน้องแมวรอบนั้น ทำให้ฉันเย็บถึง 15 เข็ม ตอนที่ปะป๊าเจอฉันนอนเลือดอาบตัวอยู่ในตอนแรกป๊าแทบช็อค เพราะสภาพฉันเหมือนเด็กที่มีแค่ร่างแต่ไร้วิญญาณไปแล้ว ข้างๆ ตัวฉันมีเด็กผู้ชายน่าจะอายุมากกว่าฉัน 2-3 ปีอยู่ตรงนั้นด้วย ป๊าบอกว่า เด็กคนนั้นกำลังช่วยหยุดเลือดที่ไหลออกมาจากแผล เขาถอดเสื้อของตัวเองใช้ห้ามเลือดฉันไว้ แถมตอนมาที่โรงพยาบาลเด็กคนนั้นก็ยังตามฉันมาพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับหมอและพวกป๊าฟัง แมนแต่เด็กมั้ยล่ะ เจ้าชายของฉัน และหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ เราก็ได้เจอกันอีกครั้ง ที่สวนสาธารณะที่เดิมที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากเขา “เธอยัยเด็กที่โดนหมากัดนี่” เสียงเด็กผู้ชายหัวดำที่สูงกว่าฉันเกือบสามเซนฯ ทักขึ้นด้านหลัง ตอนแรกที่หันไปมอง ฉันยังคงทำหน้างงๆ ใส่เด็กคนนั้นอยู่ “นายเป็นใครเหรอ” ฉันถามพร้อมกับเอียงคอเล็กน้อยครุ่นคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้คือใคร เพราะไม่คุ้นหน้าค่าตาเอาซะเลย “ฉันคนที่ช่วยเธอไง เป็นไง... แผลหายดีหรือยัง” เด็กคนนั้นยังคงพูดเจื้อยแจ้วถามถึงแผลของฉัน “นายคือคนที่ช่วยฉันเหรอ?” ฉันทำตาโตบ๊องแบ๊วถามเขาออกไป “อื้อ” เด็กคนนั้นตอบมาเพียงคำเดียวสั้นๆ พร้อมกับยิ้มจนตาหยี “นายมาเป็นเจ้าชายของฉันตลอดไปได้ไหม โตขึ้นน้องเพลย์จะแต่งงานกับเจ้าชายคนนี้ คิกๆ” มันแปลกนะ ที่ฉันยังคงจำประโยคนี้ของตัวเองในวัยเด็กได้ขึ้นใจ ความทรงจำในวัยเด็กของฉันเรื่องนี้ไม่เคยลืมเลือนไปเลยแม้แต่น้อย “ถ้าน้องเพลย์อายุ 21 เจ้าชายต้องมาขอน้องเพลย์แต่งงานนะ” “ปะป๊าบอกว่าปะป๊ามีน้องเพลย์ตอนอายุเท่านั้น น้องเพลย์ก็อยากมีน้องเพลย์น้อยตอนอายุเท่านั้นเหมือนกัน ฮี่~” และหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้พบกับเจ้าชายในวัยเด็กของฉันอีกเลย “แกท่าจะบ้านะยัยเพลย์” ใครที่ไหนจะบ้าเท่าฉันที่รอคำสัญญาที่ตัวเองเป็นคนพูดเองเออเองอยู่คนเดียวจนตอนนี้มันผ่านมาถึง 17 ปีแล้ว ฉันคือใครน่ะเหรอ ฉันชื่อ เพลย์เยอร์ นางสาวพิณณิการ์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ ลูกสาวคนเดียวของท่านทูต เศกอนันต์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ ผู้ร่ำรวยอันดับสามของประเทศนี้ ก๊อก ก๊อก ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ เสียงเคาะประตูห้องนอนฉันก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียง แกร๊ก เปิดประตูเข้ามาของผู้มาเยือน “คุณหนูตื่นแล้วเหรอคะ” ป้าหวานแม่บ้านเก่าแก่ของตระกูลฉัน ผู้ที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูตกใจนิดหน่อยที่เห็นฉันนั่งอยู่แบบนี้ “แหม! ป้าหวานก็ การเห็นเพลย์ตื่นเช้าแบบนี้ทำให้ป้าถึงกับตกใจเลยเหรอคะ” ฉันแกล้งพูดแหย่ป้าหวาน พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ท่าน ที่ป้าหวานท่านดูตกใจเพราะปกติฉันเป็นคนตื่นสายน่ะ ถ้าไม่เก้าโมงเช้าฉันไม่มีทางแหกขี้ตาตื่นแน่นอน ยกเว้นวันไหนเรียนเช้าและก็เป็นวิชาที่สำคัญ “ก็นี่มันเพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเองนี่ค่ะ ไม่ให้ป้าตกใจไหวเหรอ” ฉันนั่งอมยิ้มขำให้กับป้าหวาน หญิงวัยห้าสิบปลายๆ “แล้วป้ามาหาเพลย์แต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” การที่ป้าหวานบุกห้องฉันแต่เช้าตรู่แบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน “คุณท่านให้มาปลุกคุณหนูน่ะค่ะ เห็นบอกวันนี้จะพาคุณหนูไปเข้าเรียนที่มหาลัยเปิดแห่งใหม่” เห็นมั้ยบอกแล้วว่าการมาเยือนแต่เช้าตรู่แบบนี้ต้องมีเรื่องอะไร อีกแล้วเหรอ? ทำไมป๊าถึงชอบย้ายที่เรียนให้ฉันบ่อยนักนะ นี่ฉันย้ายที่เรียนมาสามที่ภายในเวลาสามเดือนแล้วเหอะ! “น่าเบื่อชะมัด! ทำไมป๊าต้องคอยเปลี่ยนที่เรียนให้เพลย์บ่อยๆ แบบนี้ด้วยคะ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เพลย์จะเรียนจบกับเขาสักที” ฉันนั่งทำหน้าง้ำหน้างอ เมื่อรับรู้ถึงชะตากรรมตัวเองต่อจากนี้ การเปลี่ยนที่เรียนบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีหรอกนะ ไหนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่เรียน กฎระเบียบต่างๆ ของแต่ละที่เหมือนกันที่ไหนล่ะ ไหนจะต้องหาเพื่อนใหม่ ต้องตามเก็บผลการเรียนให้ทันคนอื่นเขา โอ๊ย! แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว “คุณหนูดรอปเรียนมาหนึ่งปีแล้วนะคะ คุณท่านคงอยากให้คุณหนูได้เรียนในสถานที่ดีๆ มีเพื่อนดีๆ ก็อาจเป็นได้ค่ะ” ฉันนั่งคิดตามสิ่งที่ป้าหวานพูด มันก็จริงนะ ฉันดรอปเรียนมาหนึ่งปีเต็ม บางทีที่ป๊าพยายามเปลี่ยนที่เรียนให้ฉันบ่อยๆ เพราะที่ผ่านมาคงไม่ตอบโจทย์กับเด็กซิ่วอย่างฉันล่ะมั้ง หลังจากที่ป้าหวานบอกธุระของตัวเองเสร็จ ท่านก็ออกจากห้องฉันไปทำงานท่านต่อ ฉันเลยคว้าผ้าคลุมอาบน้ำ เข้าไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำชำระล้างร่างกายเพิ่มความสดชื่น ให้ร่างกายตื่นตัว “กว่าจะเสด็จนะคะ คนสวยของป๊า” ทันทีที่เท้าเรียวยาวของฉันเหยียบย่างเข้ามาภายในห้องทานอาหาร ป๊าก็ทักฉันเชิงแขวะน้อยๆ “คุณก็... เฮ้อ!” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนแต่หน้าตายังเยาวัยที่นั่งข้างป๊าฉันพูดแบบเอือมๆ ให้กับผู้เป็นสามี “แม่เล็กต้องจัดการป๊าให้เพลย์นะคะ ทำไมป๊าถึงชอบบงการเรื่องที่เรียนเพลย์นักก็ไม่รู้” ฉันทำปากยู่ เบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เรียกร้องความสงสารจากแม่เล็ก ผู้ที่เป็นแม่อีกคนของฉัน แต่ท่านไม่ได้เป็นคนคลอดฉันหรอกนะ เพราะแม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดฉันป่วยแล้วเสียไปตั้งแต่ฉันอายุได้แค่ 5 เดือนเท่านั้น ป๊าเลยจ้างพยาบาลพิเศษ นั่นก็คือแม่เล็กให้เลี้ยงฉันตั้งแต่นั้นมา และเริ่มปิ๊งปั๊งกันตอนไหนฉันก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ฉันไม่เคยรังเกียจแม่เล็กเลยนะ ท่านดีกับฉันมาก ทำเหมือนกับฉันเป็นลูกแท้ๆ ของท่านเลยล่ะ อีกอย่าง ที่ฉันเรียกแม่เล็ก ท่านไม่ได้ชื่อ เล็ก หรอกนะ ท่านน่ะชื่อ พิณพา แต่ท่านบอกว่าไม่อยากให้ฉันลืมแม่บังเกิดเกล้าตัวเอง เลยไม่อยากให้ฉันเรียกท่านว่าแม่เฉยๆ ท่านให้เกียรติคุณแม่ฉันเป็นแม่ใหญ่ แล้วให้ฉันเรียกท่านว่าแม่เล็กแทน “อ้าว! ป๊าก็อยากให้หนูเจอที่เรียนดีๆ ไง” ป๊าบอกถึงเหตุผลที่ฉันฟังมานับครั้งไม่ถ้วนให้ฉันฟัง “ป๊าก็บอกแบบนี้มากี่ครั้งแล้วคะ หวังว่าที่ใหม่จะเป็นที่สุดท้ายสำหรับเพลย์ที่ต้องย้ายแล้วนะ ไม่งั้นเพลย์จะไม่รงไม่เรียนมันแล้ว!” ฉันกอดอกทำหน้าเบ้ใส่ผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ทำเอาแม่เล็กที่นั่งข้างๆ ฉัน ตีแขนฉันเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาดุๆ เป็นเชิงค้อนว่า ‘ทำนิสัยแบบนี้กับคุณพ่อไม่ดีเลยนะคะ’ อะไรทำนองนั้น “ป๊ารับรอง ที่นี่จะเป็นที่สุดท้าย และน้องเพลย์ต้องชอบมันที่สุด ฮ่าๆ” ดูเหมือนที่เรียนใหม่ของฉันจะแลดูถูกอกถูกใจป๊ามากเลยสินะ ดูสิ! หัวเราะลั่นโต๊ะทานข้าว พร้อมกับทำตัวตรงยืดอกภูมิใจว่าในที่สุดก็หาที่เรียนที่ตอบโจทย์ชีวิตยัยเพลย์เยอร์คนนี้ได้แล้วงั้นล่ะ พวกเราใช้เวลารับประทานอาหารเช้ากันค่อนข้างนานนิดหน่อย เพราะว่ามัวแต่เถียงกันเรื่องที่เรียนใหม่ฉันตลอดเวลาของการทานข้าว และก็เหมือนเดิม... คนที่ห้ามทัพของเราสองพ่อลูกก็คือแม่เล็ก ผู้มีนิสัยสุขุมและมีเหตุผลที่สุดที่ป๊าฉันยังไม่กล้าขัด “เบื่อจัง! โทรบอกเรื่องเปลี่ยนที่เรียนให้ยัยยีนส์รู้สักหน่อยดีกว่า” หลังจากที่นั่งอุดอู้อยู่ในห้องตัวเองมานานสองนาน ฉันเลยนึกถึงเพื่อนรัก เพื่อนสนิทในมหาลัยเก่าอย่างยัยยีนส์ขึ้นมา ถ้าฉันไม่บอกมันก่อนล่วงหน้าว่าฉันต้องลาออกจากที่นั่นเพื่อไปเรียนที่ใหม่มีหวังยัยนี่ได้โกรธฉันไปสามชาติแน่ๆ ก็ฉันมีเพื่อนสนิทกับเขาแค่คนเดียวนี่เนอะ คนอื่นๆ ที่เข้ามาหาฉันก็เพราะว่าฉันรวยกันทั้งนั้น ยกเว้น! ยัยยีนส์ เพราะนางทั้งสวยและรวยเท่าๆ กับฉัน ตู๊ด~ ฉันที่นั่งต่อสายหาเพื่อนสนิทอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีปลายสายก็กดรับพร้อมกับคำทักทายที่ฉันไม่คิดว่ายัยนี่ก็รู้แล้วเหมือนกัน [ฉันเก็บของอยู่ ป๊าแกนี่จะรีบย้ายที่เรียนเร็วไปไหนห๊ะยัยเพลย์] ได้ไงอะ!? นี่ป๊าบอกยัยยีนส์เรื่องย้ายที่เรียนก่อนแล้วเหรอ แล้วที่หล่อนบอกว่าเก็บกระเป๋าอยู่คืออะไร? “แกเก็บกระเป๋าทำไม แล้วทำไมป๊าถึงต้องบอกแกเรื่องนี้ก่อนฉัน” ฉันรีบถามคำถามเพื่อนสนิทออกไปแทบจะลิ้นพันกัน ไม่เข้าใจทำไมป๊าต้องบอกเรื่องนี้กับยีนส์... อย่าบอกนะว่าที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าอยู่เพราะว่า... [ก็ฉันต้องไปกับแกไง ยัยเพลย์เพื่อนรัก] ว่าแล้วเชียว ทำไมเวลาฉันเล่นทายหัวก้อยกับยัยยีนส์และเพื่อนๆ ในห้องถึงไม่ถูกเผงแบบนี้กันนะ “แล้วแกรู้ป้ะ ว่าป๊าย้ายพวกเราสองคนไปที่ไหน” เพราะฉันคิดว่าป๊าต้องบอกรายละเอียดยัยยีนส์เยอะกว่าฉันน่ะสิ เลยต้องถามเธอออกไป [ป๊าแกบอกว่าเป็น RNN university] [เป็นมหาลัยเอกชนที่เพิ่งเปิดได้เมื่อปีก่อนน่ะ] RNN งั้นเหรอ? ไม่เห็นจะเคยได้ยิน ถ้าเป็นมหาลัยเปิดอย่างที่ยัยยีนส์ว่า น่าจะคุ้นหูบ้างสิ แต่ยัยยีนส์บอกเองนี่ว่าเพิ่งเปิดได้แค่ปีเดียว คงจะยังไม่ดังหรอกมั้ง “โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะเพื่อนรัก” พูดลาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตัวเองเสร็จฉันก็วางสายเธอไป หมุนตัวลงจากเก้าอี้ตัวกลม เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง “ได้เวลาเปลี่ยนที่อยู่ใหม่อีกแล้วสินะ” สองตาจ้องมองตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ตรงหน้า ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อกัดปลายนิ้วชี้ขวาตัวเองเล่น สองคิ้วขมวดเป็นปมน้อยๆ ครุ่นคิดว่าจะเอาอะไรออกไปจากตู้ใบนี้ดี ประเด็นมันอยู่ที่ ฉันจะไปอยู่ที่นั่นกี่วัน กี่เดือน หรือว่าตลอดไปไง เพราะคิดไม่ตกก็เลยเลือกที่จะลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องสามใบออกมาวางแหมะบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ที่นอนกันได้ถึงห้าคน จัดการรวบเสื้อผ้าครึ่งค่อนตู้ ยัดมัดลงกระเป๋าใบแรกจนล้น จากนั้นก็จัดการกับใบที่สองและสาม “เหนื่อยชะมัด!” นี่แค่จัดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแค่ห้าใบเองนะ แทบจะหมดแรง ตอนแรกคิดว่าสามใบน่าจะพอ แต่ฉันเป็นพวก รักพี่เสียดายน้อง ถ้าไม่เอาอันนั้นไปก็กลัวไปถึงที่นั่นแล้วเกิดอยากใช้ขึ้นมาจะไม่มีให้ใช้ สุดท้ายเลยกลายเป็นกวาดมันเกือบหมดทั้งตู้จนได้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ยักษ์มาห้าใบตรงหน้านี่ไงล่ะ และแล้ววันเดินทางสู่สถาบันการศึกษาแห่งใหม่ของฉันกับยัยยีนส์เพื่อนรักก็มาถึง ตอนนี้ยัยยีนส์มาหาฉันที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็คำสั่งป๊านั่นแหละ ให้คนไปรับเธอมา เพราะไปด้วยกันมันจะดีกว่าให้เจอกันที่นู่น “โห! ยัยเพลย์ นี่แกกะจะย้ายบ้านเลยใช่มะ” ยัยยีนส์ทำตาโตทันทีที่เธอเห็นสัมภาระห้าใบของฉันที่พวกแม่บ้านกำลังช่วยกันขนมาขึ้นรถลีมูซีนสีดำมันเงา “แกก็รู้ว่าฉันต้องพร้อมที่สุด” ฉันจับหน้าสวยเรียวเล็กของเพื่อนสนิทส่ายไปมาเบาๆ พร้อมกับย่นจมูกโด่งรั้นน้อยๆ ของตัวเองให้เพื่อนตรงหน้า “พอเลย ฉันมึนหัว แล้วอย่ามาขอแรงฉันจัดกระเป๋าตอนถึงที่นู่นแล้วกัน” หวา!! แย่เลย ยัยยีนส์รู้ทันฉัน นี่กะว่าถึงที่นู่นจะให้เธอช่วยจัดกระเป๋าเข้าตู้สักหน่อย แบบนี้ฉันก็ต้องเอาของในกระเป๋าห้าใบออกมาจัดเองหมดเลยงั้นสิ เพลย์เยอร์แย่แล้ว~ @RNN university ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ว่าไอ้ที่เรียนใหม่ของตัวเองจะไกลโคตะระไกลแบบนี้ เหมือนออกมานอกเมืองกรุงยังไงยังงั้นเลย พวกเราใช้เวลานั่งรถกันร่วมสามชั่วโมงเลยนะ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้เนี่ย เล่นเอาก้นฉันชาแล้วชาอีก ตะคริวกินไปตั้งกี่ล้านรอบก็ไม่รู้ “ยีนส์... อุ้มหน่อย เพลย์เดินไม่ไหว” ฉันมักจะอ้อนเพื่อนสนิทตัวเองแบบนี้บ่อยๆ ก็ยัยยีนส์น่ะแรงเยอะจะตาย ตัวก็เล็กติ๊ดเดียว แต่ทำไมถึงอุ้มฉันที่หนักถึง 45 โลขึ้นก็ไม่รู้ “นู่น~ ไปเล่นตรงนู้นไป” อ้าว! ครั้งนี้ยัยยีนส์ไม่ยอมอุ้มอะ สงสัยเธอก็คงจะเมื่อยเหมือนกัน “ท่านทูต เศกอนันต์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ ใช่ไหมครับ” ทันทีที่พวกเราก้าวเท้าเดินมายังตึกหลังหนึ่งที่สร้างได้เหมือนกับอาคารเรียนของพวกประถม ที่มีระเบียงไม้กั้นแทนที่จะเป็นปูนเหมือนกับตึกในมหาลัยทั่วๆ ไป มองดูแล้วก็แปลกตาดีนะ กับการดีไซน์ตึกของมหาลัยแห่งนี้ “ครับ ผมพาลูกสาวกับเพื่อนลูกสาวมามอบตัวเข้าเรียนที่นี่” เสียงป๊าคุยตอบกลับผู้ชายร่างผอมสูงอายุน่าจะแก่กว่าพ่อฉันหลายปี “เชิญทางนี้เลยครับ ท่านอธิการกำลังรออยู่เลย” คุณลุงท่านเดิมพูดพร้อมกับผายมือเชิญให้พวกเราสามคนเดินตามท่านเข้าไปในตึกนี้ ดูๆ แล้วภายในตึกนี้ก็น่าอยู่เหมือนกันนะ การตกแต่งที่ดูเรียบๆ แต่รู้สึกอบอุ่น มีแชนเดอเลียที่เป็นโคมไฟระย้ารูปหมวกรับปริญญาที่ออกแบบไม่ซ้ำใคร และฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนห้อยอยู่บนเพดานเรียงรายเต็มไปหมด “ที่นี่ดูอบอุ่นและแปลกตาดีเนอะ อยากเห็นคนออกแบบตึกพวกนี้จัง” ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของยัยยีนส์ เดินมาไม่ถึงสิบนาที แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบ้านแห่งเวทย์มนต์นานนับชั่วโมงแบบนี้ก็ไม่รู้ ทำให้รับรู้ถึงแรงสะกิดเบาๆ ตรงไหล่ พอมองไปก็เจอกับยีนส์ที่ทำหน้าเอ๋อๆ มองฉันอยู่ “มีไร” ฉันถามเธอออกไปเสียงดังลั่น ก่อนจะเหลือบมองเห็นภายในห้องที่ตัวเองยืนอยู่ตอนนี้ ที่ทุกคนนั่งเก้าอี้กันหมดแล้ว เหลือแค่ฉันที่ยืนหัวโด่อยู่คนเดียว น่าขายน่าชะมัด! ฉันก้มหัวขอโทษทุกคนที่มีทั้งหัวหงอกหัวดำนั่งอยู่ในห้องนี้ประมาณ 4-5 คน พร้อมกับยิ้มแหยๆ แก้หน้าแหกๆ ให้คนพวกนั้นไป “ขอโทษแทนลูกสาวผมที่เสียมารยาทด้วยนะครับ ท่านอธิการ” ป๊าพูดขอโทษคนที่นั่งอยู่โต๊ะตัวเขื่องตรงหน้าพวกเรา ข้างๆ ท่านอธิการมีคุณลุงคนที่นำทางเรามายืนยิ้มน้อยๆ ให้ฉันด้วย นั่นเขายิ้มเยาะเย้ยฉันหรือเปล่านะ! อาการขี้มโนของฉันเริ่มกำเริบอีกแล้ว เวลาเห็นอะไรที่ตัวเองคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร ฉันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ คิดเป็นตุเป็นตะไปก่อนเหตุ “น้องเพลย์ ไหว้ท่านอธิการพัฒนพงษ์ รัตนะวานนท์ สิลูก หนูยีนส์ด้วยนะ” สิ้นสุดคำป๊า ฉันกับยัยยีนส์ก็ยกสองมือพนมไหว้ท่านอธิการที่ชื่อยาวเฟี้อยชื่ออะไรสักอย่างแบบกุลสตรีหญิงไทย ฉันแค่คนเดียวนะ ส่วนยัยยีนส์ก็ทำปกตินั่นแหละ “สวยเหมือนแม่จริงๆ” ทำไมท่านอธิการถึงพูดเหมือนรู้จักแม่ฉันงั้นแหละ “ไม่ต้องทำหน้าสงสัยหรอกหนูเพลย์” “ลุงรู้จักกับแม่ของหนูตั้งแต่เรียนอยู่มหาลัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนน่ะ” อ๋อ... ที่แท้ก็เป็นเพื่อนคุณแม่มาก่อนงั้นเหรอ ฉันพยักหน้าน้อยๆ ฉีกยิ้มหวานให้คุณลุงอธิการ “ยังไงผมก็ขอฝากลูกสาวกับเพื่อนเธอ” “ไว้ในความดูแลของท่านอธิการด้วยนะครับ” “อย่าเรียกห่างเกินกันแบบนั้นสิคุณเศก คนกันเองทั้งนั้น” คุณลุงอธิการเรียกชื่อเล่นป๊าฉันแบบนี้ แสดงว่าต้องสนิทกันมากๆ จริงๆ สินะ “เอางั้นเหรอคุณพงษ์” แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในห้วงแห่งเสียงหัวเราะที่ดังระงมลั่นห้อง ฉันกับยัยยีนส์ก็เลยอดที่จะยิ้มขำกับความเด็กของคนสูงวัยทั้งสามไม่ไหว พอมองพวกท่านหัวเราะมีความสุขกันแบบนี้ ฉันก็หวังว่าจะได้เรียนอยู่ที่นี่จนจบนะ “เดี๋ยวลุงให้คนพาทั้งสองไปรู้จักกับห้องเรียนต่างๆ แล้วก็พาไปรู้จักอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะหนูทั้งสองแล้วกันนะ” คุณลุงพงษ์ คือ... ท่านให้ฉันเรียกแบบนี้เวลาอยู่กันตามลำพังน่ะ หลังคำสั่งของคุณลุงพงษ์ก็มีอาจารย์ ฉันคิดว่าน่าจะใช่นะ เพราะเขาแต่งตัวด้วยสูทดำดูเนี๊ยบและเรียบร้อยแถมยังหนีบหนังสือเรียนที่ใต้รักแร้ไว้แบบนั้น แต่หน้าตาเขาดูหล่อเหลา อายุน่าจะสามสิบต้นๆ เป็นคนเดินนำทางพวกเรา “กว้างชะมัด เล่นเอาขาล้าไปหมดเลย” หลังจากที่กิจกรรมทัวร์มหาลัย RNN ครบทุกซอกทุกมุม พวกเราสองคนก็นั่งรถลีมูซีนของป๊าคันเดิมมาที่คอนโดที่ป๊าซื้อไว้ให้ฉันกับยัยยีนส์พักตอนเรียนอยู่ที่นี่ แล้วท่านก็รีบกลับบ้านเพื่อที่จะไปทำงานต่อ “นั่นน่ะสิ แล้วนี่เมื่อไหร่คนที่บ้านฉันจะเอา นินจา ลูกรักฉันมาส่งสักทีเนี่ย” ฉันรีบหันขวับไปมองหน้ายัยยีนส์ทันที ที่ได้ยินเธอพูดถึงลูกรักของเธอ “นี่แกอย่าบอกนะจะขับไอ้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยักษ์นั่นไปเรียนน่ะ” ฉันรีบถามยัยยีนส์ออกไปแทบเสียงดังลั่น เคยบอกยัยนี่ไปหลายครั้งแล้วว่าผู้หญิงตัวเล็กจิ้ดเดียวแบบเธอไม่เหมาะที่จะขับไอ้รถมอเตอร์ไซค์คันบักเอ๊กแบบนั้นหรอก เกิดวันดีคืนดีมันเกิดพาแหกโค้งขึ้นมาจะทำยังไง เอ่อ... คือฉันไม่ได้แช่งเพื่อนรักนะ แต่ที่พูดเพราะเป็นห่วงต่างหาก “นี่! อย่าเรียกนินจาลูกรักฉันแบบนั้นสิ” “นั่นน่ะ Kawasaki ZX10R คันโปรดฉันเลยนะเว้ย!” ไม่ไหวจะเคลียร์กับเพื่อนคนนี้ คนอะไรชอบผาดโผนเสียจริงๆ เจ็บตัวเพราะไอ้นินจาลูกรักคันนั้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ไปดูดำดูดีเลยคอยดูเหอะ “นี่แหนะๆ” “โอ๊ย! ทำอะไรของแกเนี่ย เจ็บนะ” อยู่ๆ ยัยยีนส์ก็เล่นอะไรไม่รู้ผลักหัวฉันตั้งหลายที ทำเอามึนไปหมดแล้วเนี่ย สมองฉันยิ่งน้อยๆ อยู่ไม่รู้มันไหลออกไปหมดหรือยัง “ยัง.. ยังจะขมวดคิ้วจนพันกันยุ่งอยู่อีก” ฉันเหล่ตามองยีนส์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงข้างๆ ฉัน สองมือกอดแนบ อก เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำหน้าหาเรื่องฉัน “เมื่อไหร่จะเลิกมโน เลิกคิดมากถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดห๊ะ! ยัยเพลย์ขี้มโน” อ้าว! เพื่อนเป็นห่วงเพื่อนแบบนี้ก็ผิดแฮะ “แกห่วงฉันไม่ผิดหรอกเว้ย แต่มันยังไม่เกิดเปล่าวะ” “จะเอามานั่งคิดให้หน้าสวยๆ เกิดรอยตีนไก่ทำไม” “ตีนกาเหอะ ไปเรียนอนุบาลใหม่ไป” ฉันฉีกยิ้มมุมปากน้อยๆ ให้กับมุขกากๆ ของเพื่อนสนิท ที่เธอพยายามทำให้ฉันกลับมาเป็นเพลย์เยอร์น้อยผู้สดใส “เออ ยิ้มแบบนี้แหละเหมาะกับแก เวลาเจอเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นเขาจะได้ไม่กลัวจนวิ่งหนี” พรึ่บ! ฉันรีบหยิบหมอนใบใหญ่ที่วางอยู่บนหัวเตียงฟาดใส่เพื่อนตัวดีแรงๆ เราสองคนไม่เคยปิดบังอะไรกัน ที่ยีนส์รู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นเพราะฉันเคยเล่าให้เธอฟัง เรียกว่ากรอกหู เช้า กลางวัน เย็น เลยก็ว่าได้ ฉันกับยีนส์เป็นเพื่อนกันมาได้สองปีแล้ว แต่สนิทกันเหมือนกับคบหามาสิบปีเชียวแหละ อาจจะเพราะนิสัยที่คล้ายๆ กันด้วยล่ะมั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD