หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ด้วยความอยากเอาใจจึงมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไอศกรีม ซึ่งกรวิการู้ดีว่า เป็นการง้อ ฝ่ายชายคงคิดว่า กรวิกาไม่สบายใจกับภาพถ่ายของตุลย์กับผู้หญิงคนนั้น กรวิกายิ้มๆ มองมือที่ตุลย์จับอยู่ตลอดเวลา ยอมปล่อยแค่ช่วงเวลาที่รับประทานอาหารอยู่เท่านั้น
“เหมือนเดิมไหม” ตุลย์หันมาถามกรวิกา
“ไม่ล่ะคะ วันก่อนนายภูเพิ่งเอาไปฝาก มีรสใหม่ๆ ไหมคะ” กรวิกาถามแล้วยิ้มให้พนักงาน ซึ่งยิ้มกว้างทันทีและตักไอศกรีมใส่ในช้อนเล็กๆ ให้ได้ลองลิ้มชิมรสชาติดู
“เพิ่งมาใหม่วันนี้เลยค่ะ” พนักงานบอกกับกรวิกาที่ทำตาลุกวาวเมื่อได้ลองลิ้มชิมรสไอศกรีม ซึ่งมีกลิ่นหอมของสตอเบอรี่สดปนกลิ่นมิ้นท์ผสมเข้ากันได้พอดิบพอดีเลยทีเดียว
“โอ้โห ขอชิมถ้วยใหญ่เลยค่ะ” กรวิกาหันมาหัวเราะกับตุลย์ที่รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเห็นกรวิกาท่าทางอารมณ์ดี
“เอากลับไปใส่ตู้เย็นไว้ด้วยดีไหมคะ เวลาเหนื่อยจะได้มีของอร่อยไว้ทานนะ” ตุลย์พูดจาเอาใจ กรวิการู้สึกได้แต่ไม่อยากให้มีปัญหาเพราะตัวเธอเองไม่ได้โกรธเคืองอะไร จะว่าไปเรื่องของตุลย์กับสาวๆ มีข่าวให้ได้ยินบ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัญหาไม่เข้าใจกัน แต่กรวิกาอาจจะคิดต่างกว่าคนอื่น ไม่อยากให้ฝ่ายชายรู้สึกอึดอัดในการคบหา เพราะลำพังการทะเลาะและไม่เข้าใจกันในช่วงที่เริ่มทำความรู้จักกัน ก็แย่พอแล้วในความรู้สึกของกรวิกา ซึ่งไม่ค่อยชอบการทะเลาะเบาะแว้งนัก ในเมื่อตุลย์เองยังยอมปรับและทำความเข้าใจเรื่องเวลาในการทำงานของกรวิกา ซึ่งบางครั้งบางคราวเรียกได้ว่า ลืมไปเลยว่าตัวเองมีคนรักอยู่ในชีวิตด้วย แต่ตุลย์กลับเข้าใจซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาก
กรวิกามองเข้าไปด้านในของตัวร้าน เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ผู้หญิงคนนั้น กรวิกาถอนใจเล็กน้อยเพราะคาดว่า คนที่ถูกจ้องมองน่าจะเป็นตุลย์ไม่ใช่ตัวเธอ กรวิกาจึงเลือกที่จะส่งยิ้มให้ก่อน ถึงแม้จะเห็นเพียงผ่านช่องเล็กๆ ของประตู แต่สายตาคู่นั้นใบหน้านั้น กรวิกาจำได้ดีและจำได้อย่างแม่นยำ แววตาเรียบนิ่งไม่มีรอยยิ้มตอบกลับมา กรวิกาผสานสายตากับเธอคนนั้นเพียงเล็กน้อย มองอยู่จนกระทั่งเดินหายไป รอยยิ้มของกรวิกาจางลงโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมจากที่หัวใจเบ่งบานอยู่ แค่ครู่เดียวเมื่อไม่มีรอยยิ้มตอบกลับมาถึงทำให้อะไรๆ ดูนิ่งงันไป ตุลย์หันมาเห็นเข้ายังอดแปลกใจไม่ได้
“มีอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” ตุลย์ถาม
“เปล่าค่ะ พอดีคิดเรื่องงานนิดหน่อยค่ะ” กรวิกาบอกและแอบถอนใจเล็กน้อย ดึงความรู้สึกกลับมาสู่โลกของตัวเองอีกครั้ง ถึงแม้จะได้เห็นกัน แม้จะได้มองสบตากัน เพราะความจริงอาจจะไม่ดีเหมือนเช่นในความฝัน
“ไอศกรีมที่นี่อร่อยดีนะคะ รสชาติไม่เหมือนเจ้าอื่น” ตุลย์รับของมาและจ่ายสตางค์ให้กับพนักงานที่ยิ้มให้อยู่
“เจ้าของคิดสูตรเองค่ะ”
“มิน่าล่ะ” ตุลย์ยิ้มตักไอศกรีมป้อนให้กับกรวิกาซึ่งมีใบหน้าเรียบนิ่งต่างจากเมื่อสักครู่ที่ออกอาการสดใส เมื่อได้ชิมไอศกรีมคำแรกไป ตุลย์ยิ้มๆ เพราะกรวิกามีอาการคล้ายๆ แบบนี้บ่อยๆ บางทีเหมือนตกอยู่ในภวังค์คิดเรื่องอื่นๆ อยู่ จึงทำให้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นอยู่หลุดออกไปจากความสนใจ
“ขอบคุณค่ะ แยกกันเลยดีกว่าไหมคะ พี่ตุลย์จะได้ไปทำงาน”
“ขับรถดีๆ นะคะ เลิกคิดได้แล้วนะที่กำลังคิดอยู่น่ะ ตอนขับรถอย่าเหม่อเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ ตื่นจากภวังค์ได้แล้วคนสวย” ตุลย์หัวเราะ ส่วนคนที่กำลังยื่นนิ่งคิดอยู่ยิ้มแหยๆ ให้
“ไม่คิดแล้วค่ะ เดี๋ยวถึงสตูดิโอแล้วโทรฯ รายงานตัวนะคะ ไปแล้ว” กรวิกาโบกมือให้ตุลย์ที่ยืนอมยิ้มจ้องมองจนกรวิกาขึ้นรถและขับออกไป
“หรือควรขอแต่งงานได้แล้วนะ ตัวเราเองจะได้ไม่โลเล” ตุลย์รำพึงกับตัวเองแล้วถอนใจเล็กน้อย
กรวิกามองดูถ้วยไอศกรีมที่วางอยู่ ซึ่งละลายเป็นน้ำจนหมดเพราะกรวิกาไม่ได้ตักเข้าปากเลยสักคำ หันมามองดูรูปที่วาดค้างอยู่รอยยิ้มแทบจะหายไปหลังจากที่รู้ว่า ยิ้มไปก็เท่านั้นไม่มีค่าอะไรเลยสักนิด มองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผู้หญิงหน้าตาดีทำไมใจร้ายเสียจริง กรวิกาพึมพำกับตัวเองแล้วเก็บรูปที่เขียนค้างเอาไว้ โดยคิดว่าควรเริ่มงานของภูดิทแทน
“ฝัน คือ ฝัน ความจริง คือ คนไม่รู้จักกัน” กรวิกาสลัดความคิดออกไปและเริ่มทำงานที่รับปากเพื่อนรักเอาไว้ การได้ทำงานที่รักช่วยดึงความวิตกกังวล รวมถึงความไม่สบายอกสบายใจออกไปได้เสมอหรือจริงๆ แล้วกรวิกาไม่ได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรมากมายนัก ปัญหามีหนทางแก้ไขได้เสมอมาหรือตัวเธอเองเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง แต่ภูดิทมักพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า กรวิกามีคนแวดล้อมไม่มากนัก จะว่าไปเรื่องงานแทบไม่ต้องพบเจอกับคนที่ชื่นชอบภาพเลยก็ว่าได้ ภูดิทแอบพูดแหย่เสมอเรื่องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงสามารถจะหยิ่งได้สบายอยู่แล้ว กรวิกาหัวเราะ เมื่อนึกถึงยามที่ได้พูดคุยกับ ภูดิท เพราะเรื่องที่มีสาระเพื่อนรักของเธอสามารถพูดให้เป็นเรื่องตลกไม่มีสาระไปได้ แต่บทเอาจริงเอาจังขึ้นมาล่ะก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะความห่วงใยที่มีให้ในฐานะเพื่อนรัก ดั่งเช่นเรื่องของตุลย์กับผู้หญิงคนนั้นเมื่อคืนก่อน
“เที่ยวดีกว่ามั้งเรา ระหว่างรอช่วยงานนายป้อง” กรวิกายิ้มเหลือบไปดูภาพที่เขียนค้างไว้ จ้องมองดวงตาคู่นั้น แววตาครั้งแรกที่ได้เห็นกันที่ร้านกาแฟอ่อนโยนกว่าวันนี้มาก กรวิกาถอนใจเพราะรู้สึกว่า กำลังปล่อยให้สาวสวยที่ไม่รู้จักมักจี่เข้ามามีอิทธิพลในความรู้สึกของตัวเอง จากความฝันแปลกๆ ในคืนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่มีไมตรี ความรู้สึกของคนไม่รู้จักคงดีที่สุดสำหรับเรา” กรวิกาพูดกับตัวเอง ลุกขึ้นไปหยิบภาพของผู้หญิงคนนั้นเข้าไปเก็บในห้องเก็บของและกลับมาจดจ่ออยู่กับงานที่รับปากภูดิทเอาไว้ อยากให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อ ที่จะได้ใช้เวลาพักผ่อนเพียงลำพัง
ปกป้องยืนยิ้มแป้นอยู่ด้านหน้าสตูดิโอ หลังจากเห็นเจ้าของออกมาเปิดประตูให้ กรวิกาเองเมื่อเห็นเข้าออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“ว่าไงชายหนุ่ม มีอะไรจ้ะ” กรวิกาทักทายหลังจากรับไหว้แล้ว
“พอดีเอางานมาส่งแถวนี้ครับ เลยแวะมาสวัสดีพี่กรครับ”
“รับงานเยอะ ผลการเรียนแย่ลง พี่เล่นงานเราหนักเลยนะ” กรวิกาพูดขู่แต่แอบยิ้ม เพราะรู้ดีว่า ชายหนุ่มที่ตัวเองดูแลส่งเสียค่า
เล่าเรียนอยู่นั้นไม่มีทางเป็นอย่างที่แอบขู่แน่นอน
“พี่กรไม่เท่าไรนะ ผมว่า แต่แม่สิ สงสัยเอาตายแน่” ปกป้องหัวเราะ
“นินทาแม่ เดี๋ยวเจอคราวหน้าจะฟ้อง”
“ทำงานอยู่หรือเปล่าครับ ผมไปดูด้วยได้ไหมครับ” ปกป้องพูดขออนุญาตอันที่จริงอยากขอมาฝึกงานกับกรวิกา แต่ทาง
อาจารย์ที่ปรึกษาอยากให้ฝึกงานกับสถานที่ ซึ่งสามารถออกใบรับรองให้ได้ ส่วนทางกรวิกาไม่ได้เปิดเป็นรูปแบบบริษัทฯ หรือองค์กร แต่รับงานเป็นส่วนตัวทำให้ปกป้องไม่ ได้รับอนุญาตจากทางมหาวิทยาลัยในเรื่องการฝึกงาน
“ได้สิ เห็นแม่บอกว่า ป้องขายภาพได้เอาเงินไปให้แม่”
“ไม่กี่สตางค์หรอกครับ” ปกป้องยิ้มอายๆ
“เก่งนะเรา ตอนพี่เรียนไม่มีใครมองเลย รูปกองเต็มบ้าน” กรวิกาหัวเราะและเดินนำปกป้องเข้าไปบริเวณห้องทำงาน
“แต่อาจารย์ไม่ได้บอกผมเหมือน พี่กร พูดนะครับ” ปกป้องอมยิ้ม
“อาจารย์เรา แอบนินทาพี่ล่ะสิ” กรวิกายิ้ม
“ชมมากกว่าครับ ชอบไปเล่าให้นักศึกษาฟังว่า มีเพื่อนเป็นศิลปิน” ปกป้องอมยิ้ม เมื่อนึกถึงเวลาอาจารย์บอกเล่าเรื่องราว
ของกรวิกา
“อันที่จริง ก็แค่วาดรูปขายนะ”
“ถ่อมตัวล่ะสิครับ พี่กรทำงานเถอะครับ ผมขอนั่งดูเงียบๆ” ปกป้องบอก กรวิกาจึงกลับเข้าประจำที่และเริ่มทำงานของตัวเอง แต่ยังคงชวนคนที่มาเยี่ยมเยียนพูดคุยอยู่เรื่อยๆ
“เอองานที่วัดจะเริ่มเมื่อไร พี่ว่าจะไปปลีกวิเวกสักหน่อยก่อน”
“อุโบสถอีกสักสามสัปดาห์พวกเราคงเริ่มงานภายในได้ครับ เพราะเห็นว่าจะให้ดำเนินการเรื่องอุโบสถก่อน ค่อยซ่อมแซมกุฏิพระ หลวงลุงเห็นว่างานภายในที่เราจะทำกันต้องใช้เวลา และอีกอย่างแรงงานหลักส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาทั้งนั้นเลย ท่านเกรงว่า จะ
ไปรบกวนเวลาเรียนครับ เลยอยากเร่งเรื่องอุโบสถก่อน
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรอก่อน อยากไปหาที่เงียบๆ อยู่”
“ที่บ้านไงครับ พี่กร เงียบแน่นอน” ปกป้องบอกแล้วหัวเราะ
“โอ๊ยเกรงใจ ไปอยู่นานๆ เดี๋ยวแม่จะรำคาญ” กรวิกาพูดยิ้มๆ
“มีบ้านใกล้ๆ ครับ ถ้าพี่กรจะอยู่เป็นเดือนขอเช่าได้ครับ ติดกับบ้านผมเลย บ้านช่องสะอาดสะอ้าน เพราะจ้างให้แม่ดูแลอยู่ครับ” ปกป้องบอกทำให้กรวิกาทำท่าใช้ความคิดและวางพู่กันลงทันที
“ไปดูกันเลยไหม” กรวิกาบอกทำเอาปกป้องขมวดคิ้วเป็นปม
“ใจร้อนเหมือนกันนะ พี่กร” ปกป้องยิ้มๆ
“ขับรถไปส่งบ้านด้วย สบายกว่านั่งรถเมล์นะ” กรวิกาบอก
“กราบครับ ขอบพระคุณครับ”
“งั้นพี่เก็บของก่อน ไปขออาศัยแม่นอนสักคืนสองคืนชิมลาง”
“แม่ดีใจตายแน่เลยครับ ครั้งก่อนยังบ่นๆ ว่า พี่กรเกรงใจคงไม่กล้ามาพักที่บ้านเรา”
“เดี๋ยวไม่ต้องโทรศัพท์ไปบอกก่อนนะ อยากลุ้นเองว่า แม่จะทำกับ ข้าวอะไรมื้อเย็น” กรวิกาหัวเราะหึๆ
“ผมจะโดนด่าสิครับ พี่กร” ปกป้องพูดเสียงอ่อยๆ
“เดี๋ยวพี่รับหน้าเอง ไม่โดนด่าหรอก”
“เครื่องมือทำงานเอาไปด้วยเลยไหมครับ เผื่ออยู่ยาว ผมเก็บให้”
“ดีเหมือนกันนะ แต่พี่มีอีกชุดหนึ่งไว้ใช้นอกสถานที่ ป้องยกลงไปใส่รถเลยก็ได้” กรวิกาหยิบอุปกรณ์วางรวมไว้เพื่อขอแรงปกป้องช่วยจัดการ
“ได้เลยครับ ถ้าอย่างนั้น ผมลงไปรอข้างล่างเลยนะครับ”
“ขอบคุณครับ รบกวนด้วยนะครับ” ปกป้องนับถือกรวิกาแทบจะทุกๆ เรื่องราวในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของงาน แต่ยังรวมถึงการใช้ชีวิตและน้ำใจไมตรีที่ปกป้องได้ส่งต่อให้กับคนที่มีโอกาสน้อย เหมือนครั้งหนึ่งที่เขาเคยได้รับ ซึ่งได้กลายเป็นลูกโซ่ของการทำดี กรวิกาอมยิ้มมองดูชายหนุ่มที่กุลีกุจออาสาช่วยเหลือ
กรวิกาเดินไปทางท่าน้ำ หลังจากเห็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเคยเห็นเมื่อคืนก่อนจอดอยู่ ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจเอาไว้ว่า จะไปกราบเจ้าอาวาสท่านก่อน ตอนที่อยากพบอยากเจอโอกาสช่างมีน้อย แต่เวลาที่ไม่อยากพบเจอดูเหมือนจะได้เจอกันอย่างง่ายดาย
“สวัสดีครับ พี่ยุ่ง” ปกป้องเดินลิ่วๆ ไปทักทายปยุดาทำเอาคนที่เดินตามมาถึงกับหยุดชะงักครู่หนึ่ง
“สวัสดี จะกลับบ้านหรือ” ปยุดาถาม เพราะคุ้นเคยและรู้จักปกป้องมาพักใหญ่ โดยเฉพาะทราบจากเจ้าอาวาสเรื่องที่ปกป้องกับเพื่อนๆ จะมาช่วยเรื่องบูรณะจิตกรรมฝาผนังของอุโบสถ ปกป้องหันมาทางกรวิกาที่เดินจ้ำอ้าวผ่านไป ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองคนที่ยืนพูดคุยอยู่กับปกป้อง ทั้งๆ ที่เจ้าบ้านอยากแนะนำให้ทั้งสองสาวได้รู้จักกันเอาไว้ ปกป้องได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ มองสบตากับปยุดาซึ่งยิ้มน้อยๆ แอบมองคนที่เดินลงไปรออยู่ในเรือพร้อมกับข้าวของจำนวนหนึ่ง
“ไปเถอะ ให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีไว้ค่อยคุยกัน” ปยุดาบอกตบบ่าปกป้องเบาๆ ชำเลืองมองไปทางคนที่อยู่ในเรือ เมื่อเห็นปยุดามองมา กรวิกาจึงทำเป็นมองไปทางอื่นเหมือนไม่ได้สนใจ
“ไปทานข้าวบ้านผมไหมครับ ขากลับผมพายเรือมาส่ง”
“คนในเรือจะไม่ผลักพี่ลงน้ำหรือ” ปยุดาพูดยิ้มๆ ปกป้องเองแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“ใจดีออกครับ เจ้าของทุนการศึกษาผมครับ ไปนะครับ พี่ยุ่ง”
“ดีเหมือนกันนะ กำลังหิวเลย ว่าจะกลับตั้งนานแล้ว มัวมายืนดูนาข้าวเสียจนเพลิน” ปยุดาอมยิ้ม เห็นท่าทางหยิ่งๆ ของคนใน
เรือเลยอยาก จะแกล้งให้อึดอัดเล่น
“เชิญครับ” ปกป้องเบี่ยงตัวให้ปยุดาเพื่อลงไปบริเวณท่าน้ำ
กรวิกานั่งหน้านิ่งมองดูคนที่เดินนำลงมา เห็นดูรองเท้าส้นสูงซึ่งสาวเจ้าสวมแล้วถอนใจ แต่เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ จึงลุกขึ้นและยื่นมือให้คนที่ยืนรั้งรออยู่ สายตาของกรวิกาที่มองไปยังรองเท้าทำให้ปยุดายิ้ม นึกขอบคุณมือที่ยืนมาช่วยประคอง จึงก้มลงถอดรองเท้าและยิ้มน้อยๆ ให้กับคนที่ยื่นมือให้และทำหน้านิ่งอยู่ ด้วยมัวแต่อยากแกล้งทำให้เสียหลักตอนที่ก้าวลงไปในเรือทำให้เซถลาเข้าไปกอดกรวิกาเอาไว้เสียแน่น คนที่ถูกกอดนั้นพยายาม จะทรงตัวเอาไว้ แต่ต้านทานแรงของคนที่เซเข้ามาไม่ไหว ทำให้ทั้งสองสาวตกลงไปอยู่ในลำคลอง เสียงร้องด้วยความตกใจของทั้งสองจึงดังขึ้น
กรวิกาจับมือปยุดาเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าจะจมลงไปด้วยกันทั้งคู่แต่ได้ประคับประคองฉุดดึงกันขึ้นมา ทำเอาปกป้องใจหายใจคว่ำ แต่รู้ดีว่าคนหนึ่งนั้นว่ายน้ำเป็น ปกป้องตั้งท่าจะลงไปช่วยแต่เมื่อเห็นสองสาวโผล่ขึ้นมาโดยกรวิกาช่วยประคองปยุดาเอาไว้และพามาที่ท่าน้ำ เพื่อให้ปกป้องช่วยดึงตัวขึ้นมา
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” กรวิกาถามและมองตามเนื้อตัวของปยุดา
“เปล่าไม่เป็นไร คุณล่ะ” ปยุดาถามมองดูมือของกรวิกาที่ยังจับมือเธอเอาไว้ทั้งๆ ที่ขึ้นมานั่งที่ท่าน้ำแล้ว
“ไม่เป็นไร” กรวิกายิ้มจางๆ เมื่อเห็นปยุดามองไปที่มือจึงรีบปล่อยในทันที
“อยากเล่นน้ำกันก็ไม่บอก” ปกป้องหัวเราะ เมื่อเห็นทั้งสองสาวดูจะเป็นมิตรกันไปโดยปริยาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“เดี๋ยวจะโดนนะ นายป้อง” กรวิกาพูดดุ ยิ้มๆ มองสบตากับปยุดาที่ยิ้มน้อยๆ ให้อยู่
“มีเสื้อผ้าติดรถมาหรือเปล่าครับ” ปกป้องถาม เพราะถ้าขืนกลับไปทั้งที่ตัวเปียกอย่างนี้อาจจะทำให้ปยุดาป่วย
“มี แต่มอมขนาดนี้ พี่กลับเลยดีกว่า” ปยุดาบอก
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานข้าวก่อนดีกว่าครับ”
“เราเห็นด้วย เดี๋ยวจะไม่สบายไป” กรวิกาบอก
“ถ้าอย่างนั้น ขอไปเอาของที่รถก่อนนะ” ปยุดาบอกกับกรวิกา
“กระเป๋าครับ พี่ยุ่ง”
“ถามจริง ชื่อ ยุ่ง จริงๆ หรือ” กรวิกาถามปกป้อง เมื่อปยุดากำลังไปที่รถเพื่อเอาของ
“เดี๋ยวก็ชินครับ ตอนแรกๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าเรียกนัก ชื่อแปลกดี” ปกป้องอมยิ้ม
“ไม่น่าจะชิน เจอปุ๊บได้เรื่องเลย ดูสิ เสื้อสีขาวเป็นสีดำเลย” กรวิกาบ่นพึมพำ แต่ยิ้มและมองตามปยุดาไป
“แหมเห็นช่วยเหลือกัน นึกว่าญาติดีกันแล้วเสียอีก” ปกป้องรำพึง
“ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย ญาติดงญาติดีอะไรกัน” กรวิการีบบอก
“เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักกัน ตกลงตามนี้นะครับ มาโน่นแล้ว”
“นายป้อง” ปกป้องไม่ได้อยู่ฟังกรวิกา แต่รีบไปช่วยปยุดาถือของ
“ขอบคุณครับ” ปยุดาบอกกับปกป้อง
“พี่ยุ่งเป็นคนที่ออกค่าใช้จ่ายซ่อมแซมวัดครับ พี่กรเป็นคนที่จะมาดูแลพวกผมเรื่องจิตรกรรมฝาผนังครับ เอาเป็นว่า พี่สองคน
รู้จักกันแล้วนะครับ ไปกันเถอะครับ ผมหิวข้าวแล้ว” ปกป้องพูดเสียงอ่อยๆ ทำเอาทั้งสองสาวแอบยิ้ม กรวิกายื่นมือให้ปยุดาเหมือนเดิม แต่ช่วยประคองให้ลงเรือไปก่อนถึงได้ตามลงไป เสียงจามของปยุดาทำให้กรวิกาแอบยิ้ม ปยุดายิ้มมองด้านหลังของกรวิกาที่อยู่หัวเรือช่วยปกป้องพายซึ่งคงจะทำให้ไปถึงเร็วขึ้น
“ทำเป็นหน้าเข้ม ตกน้ำปุ๊บกอดไว้ซะแน่นเชียว ว่ายน้ำไม่เป็นมิจม น้ำตายไปด้วยกันหรือไง ยัยขี้เก๊ก” ปยุดาอมยิ้มมองดูคนที่นั่งหันหลังให้อยู่