ปยุดาแวะไปร้านไอศกรีมก่อนที่จะเข้ามาที่ร้านเครื่องประดับและรู้ว่าคนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คงทวงค่าภาพเขียน ด้วยความอยากแกล้งเลยทำเป็นนิ่งเฉยรอดูว่า จะทวงถามหรือไม่ แต่ยังคงนั่งเงียบๆ อยู่หรือสิ่งที่บอกไว้เป็นเพียงการพูดหยอกล้อเท่านั้น ปยุดาพอนั่งโต๊ะทำงานมักจะลืมเรื่องอื่นๆ ไป กรวิกานั่งมองดูคนที่ขะมักเขม้นกับการตรวจดูเอกสารจากแฟ้มและกำลังเริ่มขีดๆ เขียนๆ ซึ่งเดาไม่ยากนักเมื่อเห็นเริ่มหยิบดินสอสีขึ้นมา
“กลับดีกว่า เหมือนมารบกวนเวลาทำงานเลย” กรวิกาพูดขึ้น
“โห โลกสวยหน่อยสิตัว คิดว่ามาเป็นกำลังใจดีกว่าไหม” ปยุดาอมยิ้มแอบมองคนที่นั่งยิ้มอยู่เช่นกัน
“เพิ่งรู้นะว่า เป็นคนโลกสวย”
“มีบ้าง บางเวลา” ปยุดาหัวเราะ เพราะความโลกสวยไม่มีทางได้เข้าใกล้ตัวเธอแน่เพียงแค่พูดแหย่กรวิกาเท่านั้น อยากรั้งไว้ให้อยู่ด้วยนานๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งๆ ที่ไม่ค่อยชอบให้ใครอยู่ด้วยเวลาทำงานออกแบบเครื่องประดับ อันที่จริงแทบจะทุกงานนั่นแหละ นอกเสียจากว่างานนั้นจำ เป็นจะต้องมีผู้ช่วยอยู่ด้วย
“ให้ช่วยไหม สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะ” กรวิกายิ้มให้คนที่เงยหน้าขึ้นมามองสบตาด้วย
“จริงดิ คิดเงินหรือเปล่า” ปยุดายิ้มๆ และแลบลิ้นล้อคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ
“นั่งนี่เลย” ปยุดาลุกขึ้นให้กรวิกานั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง ส่วนตัวเธอนั้นลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ มองดูคนที่จ้องมองแบบที่เพิ่งเริ่มวาดโครงไปบ้างเล็กน้อย อยากรู้เหมือนกันว่า กรวิกาเห็นอะไรหรือคิดอะไร เหมือนหรือแตกต่างจากที่ตัวเองคิดไว้
“ปลาดาว” กรวิกาพูดขึ้นหันมามองสบตากับคนข้างๆ
“บ้าดูตรงไหนเป็นปลาดาว” ปยุดายื่นหน้ามาอยู่ใกล้ๆ กรวิกาอมยิ้มหัวใจรู้สึกสดใสขึ้นมาทันทีทันใด ยามได้อยู่ใกล้ๆ กัน
“ยุ่งร่างรูปดาวไม่ใช่หรือ”
“ใช่ แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นปลาดาว” ปยุดาถาม
“รู้สึกได้ ลองดูมะ เดี๋ยวลองวาดและลงสีให้ ถ้าตลาดคนทำงานหรือวัยรุ่นหน่อย สีสันสดใสน่าจะเหมาะ เช่น ฟ้า ชมพู เหลือง เขียว ได้เยอะแบบเลยล่ะทีนี้” กรวิกาไม่ได้รอคำตอบหยิบสีเขียวขึ้นมาก่อน ปยุดาเริ่มชักจะไม่แปลกใจกับคนที่ทำไมถึงได้คิดคล้ายใจตรงกัน รู้ได้อย่างไรว่าโครงรูปดาวนั้น คือ จุดเริ่มต้นของแบบที่จะออกมาเป็นปลาดาว ซึ่งปยุดาคิดเหมือนที่กรวิกาพูดเอาไว้เปี๊ยบเลย
“นึกว่า จะหยิบสีฟ้าเสียอีก” ปยุดาบอก
“กร นึกถึงสีเขียว น่าจะแปลกดีนะ”
“ใจตรงกันเลย” ปยุดาอมยิ้มชะเง้อมองคนที่เริ่มลงมือออกแบบโดยใช้สีเขียวเป็นสีหลัก กรวิการู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อได้ยินปยุดาพูดพยายามก้มหน้าเพื่อหลบสีหน้าของตัวเอง ไม่อยากให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นสังเกตเห็นอาการเขินอายที่เกิดขึ้น
“ใจอยู่ตรงไหน ถึงคิดว่า ตรงกัน” กรวิกาพูดขึ้น หลังจากเงียบไปพักใหญ่
“โห โคตรสวยเลย” ปยุดาตาลุกวาว ความคดโค้งที่มีความเป็นคลื่นบริเวณขอบทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมามาก ปยุดาเองไม่ได้คิดถึง
ขนาดนี้ คิดเพียงแค่เป็นรูปปลาดาวและสร้างสีสันเพียงเท่านั้น แต่คนที่คลุกคลีอยู่กับศิลปะจริงจังได้ทำให้งานออกมาดูดีที่สุด
“สวยเฉยๆ ก็ได้มั้ง ชอบไหมล่ะ” กรวิกายังคงบรรจงลงสีไปบนแผ่น กระดาษสีขาวนั้น สังเกตดูให้สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำ
ได้
“วันๆ กินอะไรบ้าง ไอ้พวกอาหารบำรุงสมอง บำรุงความคิดน่ะ ทำไมคิดเร็ว ออกแบบได้เร็วมาก งดงามอีกต่างหาก บอกหน่อย
นะจะได้ไปซื้อมากินบ้าง” ปยุดาหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ เผลอเอาคางไปเกยไว้ที่ไหล่ของกรวิกาโดยไม่รู้ตัว คนที่ลงสีสันบนกระดาษนิ่ง
ไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ว่าถูกเบียดตัวจนแนบชิดเสียจนเรียกได้ว่า ลมหายใจของปยุดากระทบที่แก้มของ กรวิกาเลยทีเดียว
“อยู่ใกล้ไปแล้ว ใจคอไม่ดีนะ” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“หวงตัวหรือไง” ปยุดาพูดแหย่ แต่ขยับออกไปเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่างานที่ทำอยู่ต้องใช้สมาธิอยู่พอสมควร ถึงแม้จะเป็นเพียง
การลงสีและเก็บรายละเอียดเท่านั้น
“เป็นสาวเป็นนาง ควรหวงบ้างอะไรบ้างสิ”
“ดีแล้ว หวง” คำว่าหวงนั้นทิ้งระยะห่างจากคำว่า ดีแล้ว อยู่พอ สมควร ปยุดายิ้มเพราะรู้ดีว่า สาวสวยแถมฉลาดอย่างกรวิกาคง
เข้าใจความ รู้สึกของเธอ
“ต้องดีใจสินะ” กรวิกายิ้ม แต่ปยุดาหัวเราะ จับมือซ้ายของกรวิกาซึ่งวางอยู่และเริ่มสวมวงแหวนเพื่อวัดขนาดนิ้วของกรวิกาที่พยายามดึง แต่สู้แรงของปยุดาที่ใช้สองมือไม่ไหว
“อยู่เฉยๆ ทำงานไป อย่าอู้”
“ยุ่งนั่นแหละ ชอบยุกยิก ทำให้งานเสร็จช้า” กรวิกาบ่นพึมพำ
“ได้แล้ว ไม่ยุกยิกแล้วก็ได้ อยู่ใกล้นิด ใกล้หน่อย ทำมาแก้มแดงใส่” ปยุดาอมยิ้ม เมื่อเห็นกรวิกาก้มหน้างุดๆ เมื่อได้ยิน
“ไม่ได้ทำสักหน่อย มันแดงเอง”
“สีเขียวนะ เจ้าของแบบ” ปยุดาบอก กรวิการีบหันหน้ามาในทันที
“หมายถึงอะไร” กรวิกาหันมาถาม
“แหวนหัวเป็นปลาดาวสีเขียว”
“ไม่เอาล่ะ” กรวิกาพูดปฏิเสธ
“เสียใจนะ ถ้าไม่รับน่ะ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“ก็ได้” กรวิกาถอนใจเบาๆ เพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ถาโถมเข้ามาโดยที่ตัวเองไม่ยอมจะถอยหนี กลับพร้อมที่จะเดินเข้าไปเผชิญหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะทำให้มีปัญหาและสร้างความไม่สบายใจขึ้นในสักวัน แต่ความเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เมื่อพบเจอความสุขอยู่ตรงหน้า จึงแทบจะลืมเรื่องเหตุและผลที่จะตามมาในภายหน้า
“อันนี้ เค้าอยากให้เอง ขอบคุณที่มาอยู่ตรงนี้” ปยุดาสวมสร้อยคอซึ่งมีจี้เป็นรูปคล้ายดวงตา โดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังหันมามอง
“ไม่เอาได้ไหม”
“ตาตัวเองนะ นั่นน่ะ ไม่เอาแล้วจะมองเห็นหรือ” ปยุดาอมยิ้มเมื่อเห็นกรวิกาก้มมองจี้ที่ห้อยอยู่
“ดวงตา” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ ปยุดาอยากเห็นดวงตาคู่สวยของกรวิกา จึงเดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องมอง
“แบบนั่นน่ะ มาจากดวงตาคู่สวยของตัว วันนั้นที่เจอกันที่ร้านกาแฟ เค้าตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้ามีโอกาสจะมอบให้ตัวอยู่แล้ว” ปยุดายิ้มและยังคงจ้องมองไปที่ดวงตาวาววับของกรวิกาซึ่งดูสุกสกาวสดใสเหมือนวันแรกที่ได้เห็น
“นั่งอยู่ตั้งไกล มองเห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือ”
“แน่ะ จำได้ด้วย” ปยุดาพูดแหย่ จนเห็นรอยยิ้มเขินอายของกรวิกาซึ่งไม่กล้าที่จะสบตาด้วย
“เหมือนโดนต้อนเข้ามุมยังไงไม่รู้เนอะ”
“ขอให้เป็นมุมที่ทำให้ตัวมีความสุขก็แล้วกัน ไม่ว่ามุมนั้นจะเป็นมุมไหน มุมของใคร” ปยุดายิ้มจางๆ ให้
“เสร็จแล้วจ้ะ” กรวิกาถอนใจกับสิ่งที่ปยุดาได้พูดออกมา
“ไว้แบบจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นรูปแหวนเสร็จแล้ว เค้าจะส่งให้ตัวดูก่อนนะ เผื่ออยากเปลี่ยนสี” ปยุดาถอนใจ เมื่อหวนคิดเรื่อง
มุมที่พูดออก ไป แต่สิ่งที่ได้พูดไปนั้นออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หวังว่าคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรง หน้าจะมีความสุข
“สีที่ยุ่งเลือก ดีแล้วล่ะ”
“เค้ากอดได้ไหม” ปยุดาลุกขึ้นเดินเข้ามาหากรวิกาที่ลุกขึ้นยืนและเข้าสวมกอดปยุดาเอาไว้
“ได้สิ เมื่อไรก็ได้นะ” กรวิกากระชับอ้อมกอดเล็กน้อย แต่แน่นไม่เท่าอ้อมกอดของปยุดา
“อยู่ในชีวิตเค้าไปเรื่อยๆ นะ เค้ารู้ว่า เค้าไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่เค้าอยากมีตัวอยู่ในชีวิต ไม่ว่าตัวจะแต่งงานหรือมีลูก เค้าจะเป็น
ป้ายุ่งให้หลานนะ” ปยุดากอดกระชับกรวิกาจนแน่นสุดแรงที่มี
“ไม่เอาล่ะ สงสารลูก กลัวลูกจะเหมือนป้าล่ะสิ” กรวิกาหัวเราะกลบเกลือนไม่อยากให้คนที่ถูกกอดอยู่ไม่สบายใจ
“สมบัติป้าเยอะนะเว๊ย” ปยุดาสัมผัสได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างจากอ้อมกอดของกรวิกา น่าแปลกนะคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ความ
รู้สึกเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกัน รู้สึกผูกพัน ห่วงใยในความรู้สึกของกันและกัน แววตาคู่นั้นทำให้รู้สึกสุขใจ อบอุ่นและ
สบายใจ
“ค่อยน่าสนใจหน่อย กรจะเป็นป้าของหลานเหมือนกันนะ”
“เป็นแม่คุณเลยดีกว่ามั้ง”
“ตกลงตามนั้น” สองสาวคลายอ้อมกอดออกจากกัน หันเหความสนใจในเรื่องความรู้สึกมาที่ผลงานบนแผ่นกระดาษแทน
กรวิกามองดูจี้ที่สร้อย ซึ่งคนออกแบบบอกเอาไว้ได้ต้นแบบมาจากดวงตาของเธอ จ้องมองจากกระจกเงาดูทำท่าขยิบตาแล้วอดที่จะขำไม่ได้คงเพียงแค่เห็นดวงตาแล้วเอามาจินตนาการออกมาเป็นงานออกแบบ
“สวยดีเหมือนกันนะ” กรวิกายิ้ม เมื่อนึกถึงคนที่สวมสายสร้อยให้แต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้กรวิกาถอนใจ เพราะรู้
ดีว่าคงจะเป็นภูดิทผู้ที่อยากรู้เรื่องราวของปยุดาเป็นแน่แท้
“เปิดเครื่องแป๊บเดียว ก็โทรฯ เข้ามาเลย นกรู้มากนะยะ” กรวิกาบอกกับภูดิทที่หัวเราะหึๆ ให้ได้ยินดูมีเลศนัยชอบกล
“เล่ามาเดี๋ยวนี้ ไปสนิทสนมกันตอนไหน หรือจะใช้ผู้ชายคนเดียว กันยะ” ภูดิทดูท่าไม่ค่อยชอบปยุดาสักเท่าใดนัก เพราะได้ยิน
พูดมาตั้งแต่ครั้งแรกถึงกับใช้คำว่า มั่ว ไปหมด
“ดูพูดเข้า เสียหายหลายคนเลยนะ นั่น”
“เอ๊าจะโดนฉกผู้ชายไปแล้ว ยังจะไปญาติดีด้วยอีก” ภูดิทพูดบ่น
“รู้จักเขาจากข่าว จากโซเชียลมีเดียเท่านั้น หรือเปล่า”
“แล้วไง ข่าวดีๆ มีซะที่ไหน โดยเฉพาะคนมีเจ้าของน่ะ” ภูดิทถอนใจ
“เท่าที่เจอ ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยนะ มีน้ำใจ เป็นมิตรที่ดีทีเดียวยังให้ฉันฟังโทรศัพท์ตอนที่พี่ตุลย์โทรฯ มาอ้อนให้ไปกินข้าว
ด้วยเลย” กรวิกา สาธยาย ไม่อยากให้ภูดิทคิดไม่ดีกับปยุดา บางทีอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ เพราะจากที่โทรฯ ไปเรื่องเห็นปยุดาดื่มอยู่
คนเดียวเมื่อวันก่อนถือได้ว่า ภูดิทยังคงมีความห่วงใยอยู่ เพราะปยุดานั้นเป็นผู้หญิง
“เออ เมื่อกลางวันตอนเจอกันที่สตูดิโอ นึกว่าจะโดนเชิดใส่เสียอีก”
“อ้อ ฝากมาบอกว่าเครื่องประดับที่ร้าน ถ้าหล่อนสนใจลดได้ 30% เลยนะคะ ในฐานะที่มีน้ำใจเมื่อคืนก่อน” กรวิกาบอก เพราะรู้ดี
ว่าปลายสายคงดีใจกระโดดโลดเต้นกับการได้รับส่วนลด
“แม่เจ้า ใจดีเหมือนกันวุ๊ย แล้วไอ้ข่าวแย่ๆ น่ะ มันมาจากไหน”
“ถ้าเป็นข่าวฉัน หล่อนจะเชื่อไหมล่ะ ข่าวเสียๆ หายๆ น่ะ” กรวิกาถามเพราะเชื่อว่า หากภูดิทได้พบ ได้พูดคุยกับปยุดาน่าจะ
เปลี่ยนความคิดเรื่องข่าวต่างๆ ที่ได้ยินมา
“ก็อาจจะนะ ไม่รู้สิ แต่ดิฉันกับเขาคงไม่ค่อยได้โคจรมาเจอกันนักหรอกมั้ง หล่อนไปทำความรู้จักคนเดียวแล้วมาบอกด้วยว่า
ตกลงเป็นแบบไหนแต่ระวังหน่อยนะ จะถูกฉกพี่ตุลย์ไป กว่าจะรู้ตัวก็โสดเสียแล้ว” ภูดิท พูดเตือน ซึ่งกรวิการับรู้ได้ว่า เป็นความหวังดีล้วนๆ
“เออมีงานบุญ ต้องใช้ฝีมือ ซ่อมแซมสีจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์แถวชานเมือง เผื่อมีเวลาว่างวันหยุด ลืมหมดหรือยังจ๊ะที่
เรียนมาน่ะ”
“นังกรคะ พอได้อยู่ค่ะ แค่ฝีมือได้ไม่เท่าเสี้ยวหล่อนเท่านั้นเอง เริ่มไปบ้างหรือยังล่ะ” ภูดิทถาม
“ยังๆ ยังซ่อมพวกโครงสร้างอยู่ เร็วๆ นี้แหละ แล้วจะบอกอีกทีนะ”
“ได้ ถามจริงสนิทกับสาวไฮโซนั่นหรือ ทำไมรู้จักกันไวจัง เพิ่งเจอเมื่อวันก่อนดูท่าทางเหมือนคนรู้จักกันมานานมากแล้ว สังเกต
ตอนที่เจอกันที่สตูดิโอวันนี้” ภูดิทยังคงข้องใจ โดยเฉพาะสายตาแปลกๆ ที่ปยุดาจ้องมองเพื่อนรักของตัวเอง
“ต้องใช้เวลามากมายหรือ ถ้าจะเป็นมิตรกันน่ะ” กรวิกาหัวเราะ
“เปล่า กลัวจะกินทั้งผู้ชาย ผู้หญิงล่ะสิ ระวังเนื้อระวังตัวด้วยนะยะ ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี เดี๋ยวนี้มีเยอะทีเดียวเชียวจะบอกให้ ขอ
แค่พึงใจ”
“นี่ก็คิดไปได้นะ เออเรื่องงานของลูกค้าหล่อนได้สัก 60% แล้วนะโดนถามถึงบ้างหรือยัง” กรวิกาเปลี่ยนมาพูดเรื่องงาน ไม่อยากได้ยินอะไรที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับปยุดา ถึงแม้จะเป็นความห่วงใยจากภูดิทก็ตาม
“น่ารักที่สุด ไม่ได้ถามหรอก เพราะบอกไปแล้วว่า เมื่อไรก็เมื่อนั้น คนอยากได้ รอได้อยู่แล้วล่ะ” ภูดิทยิ้มกับความมีน้ำใจของเพื่อนที่ช่วยเหลือ
“เดี๋ยวถ่ายรูปในส่วนที่วาดไว้ให้ดู เผื่อจะให้ลูกค้าเป็นระยะ ถ้าไม่ชอบใจหรือไม่โอเคค่อยว่ากันใหม่”
“ขอบคุณหลายๆ นะจ๊ะ อยู่คอนโดแล้วหรือ”
“ถึงสักพักแล้ว ขอบใจนะที่เป็นห่วง”
“แน่สิ ฉันรักหล่อนนะยะ ถ้าเขาดีกับหล่อนเป็นมิตรด้วยจริงๆ ฉันก็พร้อมเป็นมิตรกับเขานะ” ภูดิทปากกับใจตรงกันเสมอ ไม่ชอบคือไม่ชอบเหมือนที่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้และตอนนี้คงพร้อมที่จะเปิดใจหากปยุดาเป็นคนดีและเป็นมิตรอย่างที่กรวิกาบอก
ปยุดาเปลี่ยนใจนำภาพเขียนมาติดเอาไว้ในห้องนอน คงดีกว่าเอา ไว้ที่ทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะก้มหน้าก้มตากับเอกสารและงานออกแบบเสียเป็นส่วนใหญ่ คิดดีแล้วว่าคงไม่มีเวลามองดูภาพๆ นั้นสักเท่าไร แต่ช่วงเวลาก่อนที่จะเข้านอน รวมถึงช่วงเช้าได้มองเห็นน่าจะดีกว่า
“ไม่คิดว่า ตัวจะมีความวุ่นวายในใจมากมายขนาดนี้เลยนะ” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ มองดูภาพเขียน ซึ่งได้รับการติดตั้งจากฝีมือคนขับรถของมารดาที่บ่นๆ ว่าอิจฉาลูกสาว ไฟหัวเตียงถูกปิดลงแต่ภาพเขียนของกรวิกายังคงสามารถมองเห็นได้อยู่ อาจจะเพราะสีที่ใช้นั้นเป็นสีที่ร้อนแรงปะปนกับสีฉูดฉาด รวมถึงมีสีสะท้อนแสงอยู่ด้วย ทำให้แม้จะอยู่ในความมืดแต่ยังคงสามารถมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่ จนกระทั่งหลับไปและมารู้สึกตัวเมื่อร่างกายถูกสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นๆ เข้าที่บริเวณไหล่และลำคอ ปยุดาหอบหายใจถี่กระชั้นขึ้น พลิกตัวเพื่อหันมาดูว่า ริมฝีปากที่ทาบทับมาบนเรือนร่างของตัวเองนั้นเป็นริมฝีปากของใครกัน ทำไมถึงทำให้ร่างกายร้อนรุ่มได้มากมายเพียงนี้
กรวิกานอนยิ้มอยู่ในความมืด เลือกที่จะเปิดผ้าม่านเอาไว้เพื่อมอง ดูพระจันทร์เสี้ยวผ่านบริเวณหน้าต่างห้องนอน ซึ่งสามารถ
เปิดหน้าต่างได้เพราะอยู่ชั้นสูงและห้องของตัวเองอยู่ทางด้านริมแม่น้ำ กรวิกามองดูเมฆที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังดวงจันทน์ แต่ไม่สามารถที่จะบดบังความสวย งามไปได้กลับทำให้ดูมีเสน่ห์ดูลึกลับ เหมือนจี้ที่คล้ายรูปดวงตาซึ่งกรวิกายังคงสวมใส่อยู่และตั้งใจจะใส่ติดตัวตลอด กรวิการูปไล้เบาๆ ไปที่จี้จับขึ้น มาแตะที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา