ตีสองเป็นเวลาหนุ่มหูกระต่าย ได้แต่ยืนมองน้ำสีอำพันหมดเกลี้ยงไปจากขวดราคาหลายพัน ส่วนคนดื่มก็ฟุบคาเคาน์เตอร์อยู่ตรงนั้น อาการส่ายหน้าน้อยๆ จึงเกิดขึ้น
ก่อนจะคว้ามือถือไปหาเจ้านายให้มาจัดการกับแขกประจำ มาอาศัยบาร์แห่งนี้เป็นเตียงนอน และใช้เหล้าเป็นนิทานขับกล่อมให้หลับใหลมาหลายคืนแล้ว
ผู้จัดการผับรีบกดมือถือโทรตามเพื่อนๆ แก๊งเดียวของเขาทันควันเพื่อให้มาเก็บซากหนุ่มขี้เมากลับเข้าบ้าน ไม่นานสามหนุ่มที่ผู้จัดการคุ้นหน้าคุ้นตาดีก็มาถึง
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ภาธรเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เยื้อแย่งคนรักของเขาไปต่อหน้าต่อตาในความคิดของคนเมานั่นเอง แต่สำหรับเพื่อนคนอื่นแล้วกลับถือเป็นเรื่องปกติที่เมื่อมีการแข่งขันก็ย่อมมีคนแพ้คนชนะ
“แกสองคนหิ้วมันกลับไปขึ้นรถเลย เดี๋ยวฉันจะขับรถมันตามเอง”
ภาธรบอกสองเพื่อน หลังจากควักกระเป๋าจ่ายค่าเหล้าและค่าน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้จัดการไปหลายใบ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วเดินตามออกไป
“มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานหรือเปล่าวะ กูล่ะเหนื่อยตามมาเก็บซากมันเต็มทีแล้ว”
รหัทหิ้วปีกซ้ายคนเมาเดินไปบ่นไป ด้วยเสียงหอบนิดๆ เพราะน้ำหนักเจ้าของปีกไม่เบาเลย
“จะคิดมากทำไมวะไอ้เปิ้ล ช่วยๆ กันไปสิ ไม่แน่เกิดวันหนึ่งข้างหน้าแกอกหักแล้วเป็นอย่างมันบ้าง มันจะได้ตามมาช่วยแกคืนไงล่ะ”
วัทน์ เพื่อนสนิทหิ้วปีกขวาย้อนด้วยน้ำเสียงหอบไม่แพ้กัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ช่วยกันหิ้วปีกเจ้าของร่างใหญ่ไร้สติขึ้นไปส่งถึงห้องนอน
โดยมีพิไลพรรณ พงษ์พันธุ์สถาพร ผู้เป็นแม่ยืนจ้องมองสภาพลูกชายเพียงคนเดียวอย่างระอาใจ ในอาการอกหักรักคุดของลูกชายคนเดียว
“ขอบใจมากนะจ๊ะหนุ่มๆ กลับบ้านกันเถอะที่เหลือแม่จัดการเอง หรือถ้าขี้เกียจขับรถจะนอนที่นี่ดี แม่จะได้ให้เด็กไปดูห้องหับให้”
คุณแม่ที่ยังเปล่งปลั่งประดุจสาวรุ่น แม้อายุจะเข้าเลขห้าแล้วส่งยิ้มให้เพื่อนๆ ของลูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“กลับดีกว่าครับคุณแม่”
ภาธรตัดสินใจให้ตัวเองและเพื่อนทั้งสอง พิไลพรรณจึงหันไปพยักหน้าให้สุดา แม่บ้านคู่ใจเพื่อดูแลลูกชายให้ก่อน จะได้เดินลงไปส่งสามหนุ่มตามมารยาทเจ้าบ้านที่ดี ที่ยึดถือมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ผมเสียใจครับคุณแม่ ที่เป็นต้นเหตุให้หนึ่งต้องเป็นแบบนี้ ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ครับ”
ภาธรส่งน้ำเสียงและสีหน้าที่รู้สึกผิดไปหาแม่เพื่อนด้วยความจริงใจ
“อย่าคิดมากเลยจ้ะเป้ แม่เข้าใจดี เรื่องของหัวใจ จะโทษใครได้ที่ไหนล่ะ เป้ไม่ต้องห่วงตาหนึ่งมาก จนไม่เป็นอันจัดการจัดงานแต่งตัวเองซะล่ะ ช่วงนี้ก็ปล่อยๆ ตาหนึ่งก่อน อีกหน่อยก็คงจะทำใจได้ล่ะมั้ง กลับบ้านกันเถอะจะได้รีบไปนอน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว”
สามหนุ่มไหว้ลาเจ้าบ้านอย่างนอบน้อม ไม่นานร่างในเสื้อคลุมผ้าเนื้อดี ก็เดินตามบันไดขึ้นไปดูลูกชายนอนหมดสภาพอยู่กับเตียง
จนแม่กับคนสนิทอย่างสุดาต้องช่วยกันเปลื้องผ้าออก แล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ หาชุดนอนมาใส่ให้อย่างทุลักทุเลเต็มที เพราะหนุ่มขี้เมามีรูปร่างสูงใหญ่แถมไม่มีสติเอาเสียเลย
“คุณหนึ่งนะคุณหนึ่ง แค่ผู้หญิงคนเดียวทำไมถึงต้องเป็นขนาดนี้ด้วย”
สุดาผู้เป็นเสมือนแม่นมที่เลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่แรกเกิด บ่นน้อยๆ ควบคู่กับอาการหอบเหนื่อย หลังจากช่วยกันจับร่างยักษ์พลิกหน้าพลิกหลังกว่าจะเสร็จ
“นั่นน่ะสิ ทำยังกับจะหาใครไม่ได้อีกอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ผู้หญิงออกจะเกลื่อนเมือง ในเมื่อเขาเลือกคนอื่นเราก็หาใหม่ได้ ไม่เห็นจะต้องทำตัวอย่างนี้เลย”
พิไลพรรณไม่เข้าใจ ว่าทำไมลูกถึงได้รักนักรักหนากับคนที่เลือกชายอื่น แม้จะเสียดายอดีตว่าที่สะใภ้ที่เหมาะสมทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ฐานะการเงินทางครอบครัว ฐานะทางสัมคม
รวมทั้งชาติตระกูลอยู่มาก แต่เมื่อรู้ถึงเหตุผลสำคัญที่ฝ่ายหญิงสลัดรักครั้งนี้มาจาก ไม่อยากได้ลูกคนเจ้าชู้ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดลงมาไปทำพ่อพันธุ์แล้ว
เพราะเกรงกลัวในตัวลูกชายคนเดียว จะได้เชื้อไม่ดีเรื่องนี้ติดตัวไปด้วย และอาจจะถ่ายทอดลงไปสู่ลูกหลานต่อๆ กันอีกหลายต่อหลายรุ่น ด้วยพ่อทางฝ่ายหญิงก็เจ้าชู้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนัก
สองสายเลือดไหลไปรวมกันคงจะสนุกไม่น้อย สำหรับพ่อแม่ที่ต้องคอยตามเช็ดตามล้างลูกหลานที่เป็นผู้ชายไปไข่ทิ้งไว้ไม่เลือกที่
พิไลพรรณก็ไม่คิดจะเสียดายอีกเลยแม้จนนิดเดียว ถ้าเหตุผลที่ใช้ตัดสินใจคนทั้งคน ด้วยการยกเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ด้วยเชื่อมั่นว่าลูกตัวเองไม่มีทางเป็นแบบที่พวกนั้นเกรงกลัวแน่
เพราะลูกได้บทเรียนราคาแพง ที่ถูกพ่อทอดทิ้งให้อยู่กับแม่ แล้วไปรื่นเริงที่บ้านเล็กบ้านน้อยมาตั้งแต่จำความได้แล้ว
“แต่จะว่าไป เรื่องของหัวใจก็สั่งกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะคุณผู้หญิง คงอีกนานล่ะค่ะกว่าจะฟื้น ก็คุณหนึ่งทั้งรักทั้งหลงคุณเอขนาดนี้ หมายหมั้นปั้นมือว่าจะขอแต่งงานจริงจังขนาดนี้ ก็ต้องเจ็บหนักและนานเป็นธรรมดาล่ะค่ะ”
สุดาอดเห็นใจไม่ได้
“งั้นเราควรจะรีบพากันไปนอนดีกว่าสุดา จะได้เก็บแรงไว้ทำแบบนี้อีก ส่วนพ่อตัวดีของฉันก็ทิ้งไว้ในห้องนี่ล่ะ พรุ่งนี้สายๆ ถ้าไม่เห็นลงไปเราค่อยขึ้นมาปลุก”
สองสาวใหญ่ ต่างเดินตามกันออกจากห้องและแยกย้ายกันไปคนละทางอย่างเหนื่อยอ่อน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่เหนื่อยทั้งกายอ่อนทั้งใจกับอาการของลูก และยิ่งเหนื่อยหนักเข้าไปอีก
เมื่อใกล้จะเที่ยงแล้วยังไม่เห็นลูกลงไปข้างล่างจนต้องตามขึ้นมาดู ก็ยังคงเห็นนอนทอดร่างในสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย