เมื่อชีวิตมีโอกาสจะได้กลับขึ้นไปยืนบนฝั่งอีกครั้ง…เธอจะไม่คว้าเชือกเส้นนั้นเอาไว้เชียวหรือ?
หญิงสาวรำพึงในใจและตั้งคำถามให้กับตัวเอง
ในวันที่ชีวิตแทบจะไม่เหลือใคร นอกจากยายคนเดียวที่นอนป่วยหนัก…ด้วยอาการเป็นตายเท่ากันอยู่ที่โรงพยาบาล
“ตกลงค่ะ”
ทอรุ้งรับปากคุณประภาษอย่างไม่เรื่องมาก ด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก เมื่อนึกถึงโอกาสทางการศึกษาตามที่คุณทนายได้อธิบายให้ฟังตามที่พินัยกรรมระบุไว้ เพราะทอรุ้งเองก็เป็นเด็กที่รักเรียนและมีผลการเรียนดีเยี่ยมมาตลอด
แม้จะตัดสินใจไปแล้ว ทว่าหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่อยากจะนำเรื่องที่ถือว่าเป็นข่าวดี และถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตไปบอกให้ผู้เป็นยายได้รับรู้ เพราะเธอเชื่อว่ายายจะต้องดีใจและอนุญาตอย่างแน่นนอน
ทว่าเมื่อไปถึงโรงพยาบาล หญิงสาวก็ต้องเจอกับความเศร้าและความสูญเสียอีกครั้ง
เมื่อพบว่าผู้เป็นยายซึ่งญาติคนเดียวและคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่… ได้สิ้นลมหายใจลงแล้ว ก่อนหน้าที่เธอจะมาถึงเพียงชั่วอึดใจ
หญิงสาวสะอึกสะอื้น ทว่าน้ำเสียงและแววตาของทนายประภาษที่มีแววโอบอ้อมอารีอยู่ในที ก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกอุ่นใจและวางใจขึ้นมาบ้าง แม้จะมีความสงสัยในบางประการผุดพรายขึ้นในใจเกี่ยวกับมูลเหตุแห่งพินัยกรรมฉบับนี้
‘หากตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะมาตั้งข้อสงสัยใดๆ ยังมีเวลาอีกมากมายที่จะไขข้อข้องใจในภายหลัง’
ทอรุ้งคิดในใจ
“ลุงเสียใจด้วยนะ ยายของหนูท่านหมดกรรมแล้ว”
มือของทนายประภาษลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆ ปลุกปลอบตามประสาผู้ใหญ่ที่เข้าใจถึงความสูญเสียของเด็กสาว เขาสาอาจะยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องงานศพด้วยตัวเอง
“ลุงจะพาหนูไปอยู่บ้านหลังใหม่ ลุงเชื่อว่าหนูจะต้องชอบ และลุงมั่นใจว่าคุณไรอันผู้เป็นทายาทคนเดียวของคฤหาสน์จะทำหน้าที่ผู้ปกครองดูแลหนูเป็นอย่างดี ในฐานะน้องสาวคนหนึ่ง”
ทนายประภาษกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน ให้ความเชื่อมั่นกับทอรุ้ง
ในวันรุ่งขึ้นทนายประภาษก็พาทอรุ้งขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับคฤหาสน์ของไรอัน ทำตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายเอาไว้ในพินัยกรรม หลังจากช่วยจัดการเรื่องงานศพคุณยายของทอรุ้งจนเสร็จสิ้น
‘คุณไรอันคนนี้จะดุไหม? เขาจะดีต่อเธอไหม? หน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไร? ทำไมชื่อเป็นฝรั่ง?’ ทอรุ้งครุ่นคิดในใจถึงชีวิตใหม่ บ้านหลังใหม่ ผู้ปกครองคนใหม่ที่รอคอยเธออยู่ข้างหน้า
ตอนที่ 3
รถตู้คันสีขาวที่มีลุงชิตเป็นคนขับ พร้อมด้วยทนายประภาษและเด็กสาวที่ชื่อทอรุ้ง พากันกลับมาถึงคฤหาสน์จนเกือบค่ำ เมื่อรถตู้ได้แล่นผ่านประตูอัลลอยด์สูงใหญ่ที่ประดับประดาเอาไว้ด้วยเลื่อมลายเหล็กดัดสีเงินยวงทั้งบานประตู ที่ด้านซ้ายและขวาของประตูเชื่อมต่อด้วยกำแพงรั้วสูงตระหง่าน เป็นกำแพงรั้วที่ก่อขึ้นด้วยหินศิลาแลงก้อนใหญ่ ดูแน่นหนาเหมือนป้อมปราการ
แนวรั้วทอดตัวยาว ขนาบทั้งขวาซ้ายเหมือนอ้อมแขนที่เอื้อมโอบคฤหาสน์ทั้งหลังเอาไว้ ปราการรั้วสีเขียวเข้มที่เกิดจากต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยระขึ้นปกคลุมไปตลอดทั้งแนวรั้ว จนแทบมองไม่เห็นสีส้มของก้อนหินศิลาแลง เพราะถูกแทนที่ด้วยใบสีเขียวของต้นตีนตุ๊กแกที่แผ่คลุมจนทั่วทั้งรั้ว
ความอลังการที่ไม่คาดคิดไม่คาดฝันว่าในชีวิตจะได้มาสัมผัสพบพาน ทำให้ทอรุ้งเผลอแนบหน้าไปกับกระจกของรถตู้อย่างไร้เดียงสา
ลมหายใจอุ่นๆของเด็กสาวกระทบเข้ากับกระจกที่ฉาบไอเย็นจากแอร์ในรถจนเกิดเป็นฝ้า ทอดสายตามองผ่านกระจกบานกว้างของรถตู้ แลดูสิ่งรายรอบที่แปลกใหม่และไม่คุ้นเคยด้วยสายตาอยากรู้
‘ทำไมบ้านของพี่ไรอันใหญ่โตอลังการขนาดนี้’ เด็กสาวพึมพำในใจ
และจากสิ่งที่ได้เห็น ยิ่งเร่งเร้าให้ทอรุ้งอยากเจอหน้าของไรอันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในฐานะผู้ปกครองซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อทอรุ้งค่ะ” ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเต็มทั้งบนล่างของเด็กสาว ขยับเบาๆ อย่างน่าเอ็นดู
“ไหว้พระเถอะหนู”
นมช้อยกล่าว
สายตาจ้องมองใบหน้าหวานหยาดและดวงตาใสๆของเด็กสาวตรงหน้าด้วยความตะลึงลาน
‘ไม่น่าเชื่อว่าเด็กบ้านไร่ท้ายฟาร์มจะมีหน้าตาที่งดงามถึงเพียงนี้’
“หน้าตาสะสวยอะไรอย่างนี้!”
นมช้อยอุทาน เมื่อเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของเด็กสาวที่ซ่อนอยู่ในเงาของความสลัวของยามเย็น เผยเด่นออกมาชัดเจน เต็มดวงหน้า
“วันนี้คุณไรอันไม่อยู่ แต่ได้ฝากให้นมจัดการเรื่องห้องหับไว้ให้กับหนูแล้ว”
นมช้อยบอก
ทอดสายตามองดูเด็กสาวที่อยู่ในอาการสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ทอรุ้งนิ่งนานจนนมช้อยไม่อาจคาดเดาได้ว่าเด็กสาวกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด กระทั่งทอรุ้งเอ่ยออกมา
“หนูจะได้เจอคุณไรอันเมื่อไรคะ?”
ทอรุ้งถามด้วยความใจร้อน
“ยังมีเวลาอีกถมเถค่ะ...แต่หนูไม่ต้องกังวล วันนี้คุณไรอันเธอมีงานยุ่ง อาจจะกลับค่ำๆ หรือบางทีก็อาจจะไม่กลับ แต่ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะป้าดูแลหนูเอง”
นมช้อยกล่าวให้เด็กสาวอุ่นใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เอ่อ..ขออนุญาตให้หนูเรียกคุณว่าป้านะคะ” เด็กสาวเอ่ย
นมช้อยหันมายิ้มกับเด็กสาวบ้านนอกที่ดูมีกิริยามารยาทจนน่าแปลกใจ
“ได้สิคะ เรียกนมช้อยว่าป้าหรือจะเรียกว่านมช้อยก็ได้ ตามใจหนู แต่คุณไรอันเธอมันจะเรียกป้าว่านมช้อยจนติดปาก เพราะป้าเป็นแม่นมของคุณไรอัน เลี้ยงดูคุณไรอันมาตั้งแต่เล็กๆ”
นมช้อยอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ…นมช้อย”
เด็กสาวรู้สึกได้ถึงแววของความโอบอ้อมอารีที่ทอดทออยู่ในดวงตาของนมช้อย
“หนูควรจะเรียกคุณไรอันว่าอย่างไรคะนมช้อย?”
เด็กสาวถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ่อ...หนูควรจะเรียกคุณไรอันว่า ‘พี่ไรอัน’ ต่อจากนี้พี่ไรอันจะเป็นผู้ปกครองของหนู ซึ่งหมายความว่าต่อไปนี้หนูจะเป็นเด็กในปกครองของคุณไรอัน” นมช้อยพยายามอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย
“แล้วหนูต้องทำอย่างไรบ้าง?”
เด็กสาวยังไม่หยุดสงสัย
นมช้อยระบายยิ้มเมื่อเห็นเด็กสาวตั้งคำถามไม่หยุดหย่อน
“ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำตัวให้ดี ตั้งใจเรียน และเชื่อฟังพี่ไรอัน” นมช้อยกล่าว
“ค่ะ…รุ้งจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียน และจะเชื่อฟังพี่ไรอันค่ะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับช้าๆ
แม้เธอจะไม่เข้าใจทั้งหมดว่าการทำตัวให้ดีนั้นมีรายละเอียดครอบคลุมไปถึงเรื่องใดบ้าง? ซึ่งพี่ไรอันของเธอนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร? สูงต่ำดำขาวแค่ไหน? นิสัยใจคอจะเป็นอย่างไร? ดุหรือใจดี?…เด็กสาวก็ยังไม่อาจจะล่วงรู้ได้
แม้ความรู้สึกในใจจะเร่งเร้าเพราะความอยากรู้สักเพียงใด หากเด็กสาวจำต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะเดินตามนมช้อยก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆอย่างว่าง่าย เพื่อจะไปดูห้องนอนตามที่นมช้อยบอก
เมื่อได้เข้ามาในบ้าน ยิ่งได้เห็นความอลังการ ได้เห็นการประดับตกแต่งบ้านด้วยเครื่องเรือนราคาแพง พื้นที่ทุกตารางนิ้วในบ้านปูด้วยพรมสีน้ำตาลอ่อนผืนใหญ่
เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความนุ่มของพรม เมื่อเท้าน้อยๆของเธอเหยียบย่างตามนมช้อยไปตามผืนพรมช้าๆ ด้วยสายตาตะลึงพรึงเพริดกับความงดงามภายในคฤหาสน์หลังนี้