หลี่หยุนฟางนั่งอยู่ในร้านขายของชำขนาดเล็กที่ต่อเติมแยกออกมาจากตัวบ้าน หน้าร้านติดกับถนนเส้นหลัก แต่คนที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สนใจที่จะแวะเวียนเข้ามาจับจ่ายสินค้ามากอย่างที่ควรจะเป็น
มีบ้างที่เดินเข้ามาซื้อไข่ไก่ด้วยคูปองที่จำกัด เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองค่ารถในการเข้าไปซื้อในตัวเอง และซื้อธัญพืชเพื่อไปทำอาหารด้วยเงินไม่กี่เหมา[1] และลูกกวาดที่ห่อกระดาษหลากสีแค่ไม่กี่เฟินเท่านั้น
คนที่ต้องการซื้อของเข้าบ้านในปริมาณเยอะเดือนละครั้ง ส่วนมากจะไปซื้อที่ร้านค้าในตัวเมืองกันมากกว่า เพราะจ่ายค่าน้ำมันรถเพียงรอบเดียวและได้แวะซื้อของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย
ดังนั้นของจุกจิกที่รัฐบาลไม่ได้ควบคุมการซื้อขายด้วยคูปอง จึงสามารถขายออกได้บ้าง
หญิงสาวสังเกตการจัดวางข้าวของที่วางเป็นระเบียบ แต่หากดูดีๆ แล้ว ภายใต้ความเป็นระเบียบนั้นก็ยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อย เพราะไม่มีการจัดแยกหมวดหมู่สินค้าอย่างชัดเจน
ถั่วและธัญพืชจัดเรียงรายแต่กลับไปปนอยู่กับในส่วนของของใช้จำพวกสบู่และแชมพู
ส่วนลูกกวาดหลากสีก็ไปวางอยู่หน้าร้าน ใกล้กับเครื่องปรุงและไข่ไก่ เพื่อดึงดูดสายตาให้คนเข้าร้าน
การจัดวางที่สะเปะสะปะนี้ ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดและอยากจัดร้านเสียใหม่
หลี่หยุนฟางใช้เวลาที่ร้านไม่ค่อยมีลูกค้า ค่อยๆ ปัดฝุ่นทำความสะอาดและจัดเรียงสินค้าให้ดูเป็นหมวดหมู่ขึ้น
เครื่องปรุง ไข่ไก่ ธัญพืช รวมถึงพวกสมุนไพรเครื่องเทศต่างๆ ที่ใช้ ปรุงอาหาร เธอจะเอาไว้เป็นหมวดหมู่เดียวกันทางด้านซ้าย
ของใช้ส่วนตัว สบู่ แชมพู ใบมีดโกน ก็จะวางไว้ฝั่งขวา โดยให้กลางร้านเป็นทางเดินในการหยิบจับสินค้า
จากนั้นก็วางลูกกวาดไว้ที่หน้าโต๊ะจ่ายเงิน เพราะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถหยิบจับได้ง่ายป้องกันการขโมยที่เกิดขึ้น การตั้งวางที่หน้าร้านจะดึงดูดสายตาเด็กได้ดีกว่าก็จริง ก็แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกขโมยได้ง่ายกว่า
ขณะที่เธอจัดร้านอยู่ก็มีคนแวะเวียนเข้ามาซื้อของบ้าง และชื่นชมกับการจัดวางร้านในรูปแบบใหม่ที่หาของได้ง่ายขึ้น พร้อมกับบ่นเรื่องคูปองที่จำกัด
หญิงสาวจึงฉุกคิดได้ว่าระบบคูปองนั้นมีผลต่อการซื้อสินค้าจับจ่ายของผู้คนก็จริง แต่ว่ารัฐบาลกำลังจะปล่อยให้มีการค้าขายด้วยตนเองอย่างเสรีมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ หญิงสาวทำงานอยู่ฝ่ายการตลาด ดังนั้นประวัติเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการค้าขายของจีนจึงได้เคยร่ำเรียนมา จึงจำได้ว่าช่วงยุค 70 นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าเกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่เธอมาอยู่ที่นี่พอดี
“ขอให้เปลี่ยนแปลงเร็วๆ ด้วยเถอะ”
หญิงสาวพึมพำแล้วจัดร้านต่อไป จนกระทั่งเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงยิ้มชื่นชมในฝีมือของตัวเอง
“สินค้าจำนวนเยอะก็จริง แต่ประเภทสินค้าน้อยเกินไปไม่ค่อยหลากหลาย” หญิงสาวกอดอกมองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อวิเคราะห์ปัญหา
ของส่วนใหญ่เป็นของที่คนซื้อหาได้ง่ายก็จริง แต่กลับมีให้เลือกอย่างจำกัด อย่างเช่นแชมพูก็มีอยู่เพียงยี่ห้อเดียว สบู่มีให้เลือกสองยี่ห้อ
บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาหนึ่งที่คนไม่ค่อยอยากเข้ามาเลือกซื้อของที่นี่ เพราะตัวเลือกไม่หลากหลาย
“กลับมาแล้ว” เสียงของเฉินเซียนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ
“วิ่งมาทำไม บ้านกับร้านก็อยู่ห่างกันแค่นี้เอง” หญิงสาวถามในขณะที่มองดูใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจนั้น
“ก็ฉัน.. เอ่อ ผมคิดถึงคุณนี่” เขาพูดเสียงนุ่ม อุ้งมือหนาวาดไปเกาศีรษะด้านหลังด้วยความขัดเขินกับสรรพนามที่เปลี่ยนไป
“เอาดีๆ สิ ทำไมถึงได้วิ่งมาแบบนี้” หญิงสาวเอ็นดูความพยายามจะหยอดคำหวานของเขา แต่เธอคิดว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น
“มีข่าวดีนะสิ วันนี้ตอนที่ผมเอาคูปองไปแลกเป็นเงิน ทางการแจ้งว่าต่อไปนี้จะเปิดให้มีการค้าขายอย่างเสรีมากขึ้น บางอย่างยังสามารถใช้คูปองได้อยู่ แต่ก็สามารถจับจ่ายด้วยเงินสดได้ ไข่ไก่ เนื้อหมู ข้าวสาร และของใช้ต่างๆ ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยการจับจ่ายด้วยคูปองอีกต่อไป”
หลี่หยุนฟางยิ้มอย่างพอใจ สิ่งที่เธอคิดเอาไว้เป็นไปตามคาด แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นนิมิตหมายอันดี บางทีเหตุผลที่เธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ในเวลานี้ สวรรค์อาจส่งเธอมาช่วยเฉินเซียนปรับปรุงร้านของเขาก็เป็นได้
‘เหตุผลแค่นั้น ไม่ต้องส่งฉันมาก็ได้นะคะ’ คิดแล้วก็อดตัดพ้อกับโชคชะตาของตัวเองไม่ได้
เมื่อเฉินเซียนมองไปรอบๆ ร้านหลังจากแจ้งข่าวดีแล้ว พลันสายตาของเขาก็เบิกกว้างปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นว่าภายในร้านค้าของตนเองมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาก
“นี่คุณจัดร้านหรืออาฟาง”
“ใช่แล้วล่ะ เดิมทีคุณก็วางของเป็นระเบียบนะ เพียงแต่ว่ามันกระจัดกระจายไม่เป็นหมวดหมู่ ฉันเลยจัดให้ใหม่น่ะ คงไม่ว่ากันใช่ไหม” หญิงสาวเกรงว่าเขาจะไม่พอใจ เธอลืมคิดไปว่าต้องถามความเห็นเขาก่อน
“ไม่ว่าเลย ดีเสียอีก ว่าแต่ทำไมเอาลูกอมไปวางไว้ที่โต๊ะคิดเงินล่ะ ต้องวางไว้ด้านหน้าสิ เวลาที่เด็กๆ ตามพ่อแม่มาซื้อของ เขาก็จะได้อ้อนขอให้ซื้อ เราก็จะขายได้ง่ายขึ้น”
“วางไว้หน้าร้านดึงดูดเด็กๆ ได้ก็จริง แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกขโมยได้ง่ายน่ะ บางคนอยากมาซื้อของใช้ที่จำเป็นแต่ก็ไม่กล้ามาเพราะกลัวลูกๆ งอแง แบบนี้จะทำให้ผู้ใหญ่เข้าร้านได้เยอะขึ้นด้วย” เธออธิบายให้เขาเข้าใจ ในวัยยี่สิบห้าปีมีประสบการณ์มากกว่าเขา แม้ตอนนี้จะอยู่ในร่างหญิงสาววัยสิบแปดก็เถอะ
เฉินเซียนพยักหน้ารับฟังปัญหาที่เขามองข้าม สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยจริงๆ ลูกกวาดมักจะหายไปบ่อยๆ เสมอโดยที่เขาไม่ทันสังเกต และเวลาผู้ใหญ่พาเด็กมาซื้อของด้วยก็มักบ่นเรื่องลูกกวาดเหล่านี้อยู่เสมอ แต่เขาก็มองข้ามไป
“จริงสิ วันไหนว่างให้แม่มานั่งเฝ้าร้านให้เราชั่วคราว แล้วคุณกับฉันก็ไปซื้อของในเมืองมาเพิ่มนะ”
“แต่ของเราเต็มร้านเลยนะ ยังขายไม่ออกเลย ดูสิยังเหลืออีกเยอะแยะ” เฉินเซียนถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
“แต่มันมีตัวเลือกน้อย คนที่นี่บางคนเขาก็ไม่ได้ใช้แชมพูยี่ห้อนี้แล้ว ซีอิ๊วก็มีหลายยี่ห้อให้เลือก ทุกอย่างมันมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง บางคนอาจจะไม่ชอบยี่ห้อที่คุณซื้อมาก็ได้”
เฉินเซียนรับฟังอย่างเปิดใจ เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลย เพราะคนเก่าคนแก่หากชอบใช้อะไรแล้วส่วนมากก็จะไม่ค่อยเปลี่ยนกัน แต่ลืมไปว่ายุคสมัยย่อมมีการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่อาจจะอยากใช้ของยี่ห้อใหม่ๆ อย่างที่เธอบอก
“อืม เป็นความคิดที่ดีนะ ขอบคุณมากเลยนะ อาฟาง คุณช่วยผมได้เยอะเลย”
“ต้องขอบคุณอะไรเล่า ฉันเป็นภรรยาคุณนะ” หญิงสาวพูดโดยไม่ได้คิดอะไร
ในขณะที่เฉินเซียนได้ยินอย่างนั้นก็หน้าแดง ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รู้สึกถึงหัวใจของตนที่เต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาด้านนอก
************************
[1] หน่วยเงินของจีน 10 เฟิน มีค่า 1 เหมา และ 10 เหมา มีค่าเท่ากับ 1 หยวน