หลี่หยุนฟางกินขนมตรงหน้า พลางมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจ้าบ่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัด
เขานั่งมองเธอกินไม่ขยับลุกไปไหน ความทรงจำเดิมคือเฉินเซียนหมั้นหมายกับตนตั้งแต่วัยเด็ก
ในตอนนั้นร้านค้าของชำของบ้านสกุลเฉินรุ่งเรืองและร่ำรวย ครอบครัวของตนจึงได้ตกลงที่จะหมั้นหมายเอาไว้ เฉินเซียนจึงปักใจให้แก่ตนตั้งแต่วัยเพียงเจ็ดขวบ ขณะที่เธอนั้นคิดกับเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนเล่นในวัยเด็กไม่ได้จริงจังอะไร
แต่พอบิดาได้เสียชีวิตไป มารดาแต่งงานใหม่และมีพ่อเลี้ยงเข้ามาอยู่ในบ้าน พร้อมกับลูกชายที่เกิดมาเป็นโซ่ทองคล้องรัก หญิงสาวก็กลายเป็นลูกที่พวกเขาไม่ต้องการ
เมื่อการซื้อสินค้าด้วยคูปองเริ่มส่งผลกระทบต่อร้านขายของชำ สกุลเฉินเริ่มตกต่ำลงเพราะนโยบายที่ให้ใช้คูปองในการจับจ่าย
ร้านขายของชำหลายที่ที่ไม่เข้าร่วมระบบการขายของด้วยคูปองจึงเริ่มปิดตัวลง เพราะคนส่วนใหญ่ จะใช้จ่ายผ่านคูปองตามที่รัฐบาลจัดสรร ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะใช้เงินจับจ่ายสินค้าประเภทอื่น
เมื่อบ้านสกุลเฉินเริ่มถึงคราววิกฤต พ่อเลี้ยงที่มีกิจการขายพะโล้หมูตุ๋นกับแม่ของเธอเองจึงเร่งให้เธอรีบแต่งงาน เพื่อที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่ต่างเมืองเพราะเกรงว่าสกุลเฉินจะมารบกวนหยิบยืมเงินทองของตน
วันที่แต่งงานพอสินสอดถึงบ้าน พวกเขาก็ย้ายของไปโดยไม่สนใจเธอด้วยซ้ำ ยิ่งความทรงจำเหล่านี้ฉายชัดขึ้นเท่าไร ก็เข้าใจความรู้สึกของร่างเดิมที่ซดยาพิษหวังปลิดชีพตัวเอง
“อาเซียน เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ นายจะใส่ชุดนี้ไปอีกนานเท่าไรเชียว ไม่ร้อนหรือ”
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะอาฟาง เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ” เฉินเซียนเป็นคนที่ซื่อๆ ตรงและไร้พิษสง
แต่ใบหน้าหล่อเหล่าของเขากับความซื่อตรงนี้ไม่ได้ทำให้ร้านขายของชำเจริญรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อย บางทียังถูกเอาเปรียบเสียด้วยซ้ำ เพราะมีบางคนปลอมคูปองมาซื้อของ แล้วยังมีร้านขายของแบบครบวงจรมาเปิดในเมือง ทำให้คนแห่ไปซื้อที่อื่นมากกว่า
ไหนจะต้องเอาเงินเก็บมาจัดงานแต่งงานอีก ถึงจะเป็นพิธีเล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็น่าจะหมดไม่ต่ำกว่า หนึ่งร้อยหยวน
เฉินเซียนเปลี่ยนเป็นชุดที่เตรียมตัวเข้านอน เขายังคงจ้องมองเธอจนหลี่หยุนฟางตัดสินใจที่จะพูดกับเขาตรงๆ เพราะหากเป็นเจ้าของร่างเดิมก็คงไม่เต็มใจร่วมหอกับเขาแน่
“อาเซียน เรามีเรื่องที่จะต้องตกลงกัน” น้ำเสียงที่จริงจัง และขนมที่เธอวางลง ทำให้เจ้าบ่าวลดยิ้มลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองอีกฝ่ายว่าตั้งใจจะพูดอะไรออกมา
“เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก นายก็น่าจะรู้ว่าฉันคิดกับนาย”
“ฉันรู้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมแต่งงานกับฉัน ฉันดีใจมากเลย” เขาพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
หลี่หยุนฟางสูดลมหายใจ รวบรวมความกล้าที่จะพูดบางสิ่งที่สำคัญกับเขา และสำคัญต่อชีวิตของเธอที่ต้องติดอยู่ในยุคนี้
“ฉันขอบอกตามตรงนะ เดิมทีฉันนัดคุณชายซิ่วให้พาฉันหนีงานแต่งงานในวันนี้ แต่เขาไม่มาตามนัด ฉันจึงต้องแต่งงานกับนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ประโยคนั้นราวกับเอามีดมากรีดแล้วจ้วงแทงกลางใจของเฉินเซียน เขามีใบหน้าที่เศร้าลง แววตา เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนหญิงสาวรู้สึกผิด
ด้วยความที่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา จึงไม่อยากเสแสร้งหรือปิดบังอะไรออกไป ยกเว้นเรื่องที่ตนทะลุมิติมาอยู่ในร่างเจ้าสาวนี้
“แต่ในเมื่อเราได้แต่งงานกันแล้ว ฉันก็จะตัดใจจากเขา และจะซื่อสัตย์ต่อนายและสกุลเฉิน ให้เวลาฉันหน่อยได้หรือไม่” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและมั่นคง
เฉินเซียนยิ้มออกมาด้วยความดีใจอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อหูว่าเธอจะเป็นฝ่ายขอโอกาสในการปรับตัวเข้าหาเขาด้วยตนเอง
“ดะ ได้สิอาฟาง ได้แน่นอนอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยความดีใจ แล้วขยับเข้ามานั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าแสดงความยินดีและรักใคร่อย่างเปิดเผย
“ดังนั้น จนกว่าฉันจะรักนาย เราจะยังไม่ได้ร่วมหอกัน นายเห็นว่าอย่างไร”
“ได้สิ ขอแค่มีเธออยู่ข้างๆ ฉันจะรอวันที่เธอรักฉันด้วยหัวใจ ถึงตอนนั้นหากเธอยินยอมพร้อมใจเราก็จะเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์” เฉินเซียนคนซื่อพูดด้วยความยินดี
เขาเองก็ไม่อยากฝืนใจใคร และในเมื่อเธอขอร้องเขา ทำไมสามีคนนี้จะให้ไม่ได้ ในเมื่อเขาก็รักเธอมาเนิ่นนานแล้ว
“ขอบใจนะอาเซียน” หญิงสาวยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ และโล่งใจที่อีกฝ่ายตอบตกลงข้อเสนอง่ายได้กว่าที่คิด
อย่างน้อยเธอก็มีเวลาที่จะทำความคุ้นเคยกับเขาก่อน หากหาทางกลับไปไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเป็นคุณนายเฉินอยู่ที่นี่ต่อไป และต้องหาทางปรับตัวอยู่ให้ได้
************************
ในตอนเช้า หลี่หยุนฟางลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองไปยังรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเศร้า เมื่อเธอยังอยู่ในห้องและข้างๆ มีเฉินเซียนกำลังนอนหลับอยู่
หญิงสาวมั่นใจแล้วว่าไม่ได้ฝันไป เธอทะลุมิติย้อนมาอยู่ในปี 1976 ตามความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างนี้ที่ทยอยกลับคืนสู่สมองจนอัดแน่นไปด้วยข้อมูล
เฉินเซียนยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงนอนไม้ที่เข้ากับยุคสมัย เธอลงจากเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนการนอนของเขา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่สบายแล้วเดินออกไปสำรวจภายในบ้าน
บ้านสกุลเฉินนอกจากจะมีเฉินเซียนแล้ว ก็ยังมี โจวชิงหลิน มารดาของเขาอีกหนึ่งคน
เธอล้มป่วยจนทำให้เดินไม่ได้ และต้องนอนติดเตียงในห้อง ดังนั้นหน้าที่เปิดร้านขายของชำในยามเช้าจึงเป็นของเฉินเซียนแต่เพียงผู้เดียว
ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรเป็นอันดับแรกหลังจากที่แต่งงานเข้ามาอยู่บ้านสามี เฉินเซียนก็ตื่นนอนแล้วเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”
“อืม หลับสบายดี ว่าแต่มีอะไรให้ฉันช่วยทำหรือไม่ ฉันยังไม่รู้หน้าที่ของตัวเองเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่พูดให้ตัวเองดูดี
“ปกติแล้ว พอฉันตื่นมาก็จะมาพาแม่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ให้ท่านเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยพาท่านไปนั่งอยู่ที่หน้าบ้าน หลังจากนั้นฉันก็จากมาเข้าครัวทำกับข้าว เสร็จแล้วฉันก็จะเปิดร้าน” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ลดยิ้มลงเล็กน้อย
บ้านสกุลเฉินกำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่มีระบบคูปองบิดาของเขาก็ตรอมใจกับเรื่องนี้จนล้มป่วยและเสียชีวิตไป เงินเก็บที่มีก็ใช้ในการหมุนเวียนใช้จ่ายจนแทบจะไม่เหลือเก็บแล้ว
“เอาอย่างนี้ หน้าที่ดูแลแม่ เดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบเอง ส่วนเรื่องทำกับข้าวก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน นายมีหน้าที่เปิดร้านเท่านั้นก็พอ”
“อืม ขอบใจนะอาฟาง” เฉินเซียนยิ้มด้วยความยินดี ชีวิตหลังแต่งงานกับเธอดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ภรรยาในนามไม่ได้มีท่าทีเศร้า หรือเอาแต่คิดถึงชายคนอื่น แต่เธอตัดสินใจที่จะปรับตัวเข้าหาเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เฉินเซียนประทับใจเป็นอย่างมาก เชื่อว่าสักวันเธอจะต้องรักเขาในที่สุด
************************