ตอนที่ 4 แผนซ้อนแผน
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นเดินออกไป เสี่ยวถงก็เปลี่ยนชุดทันที นางแต่กายคล้ายคลึงกับคุณหนู สวมหมวกสานปิดบังใบหน้าเอาไว้ วางท่าราวกับเจ้าของหอสุราตงเทียนตัวจริง เดินไปยังห้องว่างที่นัดหมายพูดคุย
อาถงหรือเสี่ยวถงนางมีความรู้ไม่มากและก็ไม่น้อยจนเกินไป นายของนางร่ำเรียนอันใดสาวใช้เช่นนางก็ได้ร่วมร่ำเรียนด้วยไม่แพ้คุณหนูน้อย อาถงนั่งลงที่ห้องกว้าง ข้างในนั้นมีผู้คุ้มกันติดตามนางมาด้วยหนึ่งคน ท่าทางของนางช่างดูเย่อหยิงจองหองไม่น้อย ผิงอันนึกเอ็นดูสาวใช้ผู้นี้เหลือเกิน
ตรงกลางห้องว่างมีม่านกันสีดำโปร่งบางเบาอยู่ด้วย เจ้าของหอสุราตงเทียนตัวจริงนั่งอยู่ข้างในนั้นกับเหล่าผู้คุมกันของนางอีกสามคน สตรีสวมหมวกสานสีดำปกปิดใบหน้า นั่งลิ้มรสสุราที่หวานละมุนด้วยท่าทีเป็นสุขยิ่ง
แม้ว่าดวงตาของนางจะหมองหม่นเพียงใด เมื่อนึกถึงภาพบาดตาบาดใจ ระหว่างนางกับเขาไม่มีทางรักกันได้เชียวหรือ เหตุใดกันพี่ชายที่แสนดีจึงปันใจให้หญิงอื่นเช่นนี้ คำพูดของเขาวันนั้นนางคงจำได้ดี พูดจาหวาน หว่านล้อมบอกกล่าวว่านางจะเป็นว่าที่ภรรยาของเขาในอนาคต
แต่ครานี้กลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน หรือแท้จริงแล้วหัวใจของเขามิเคยมีนางอยู่เช่นนั้นจริง ๆ หรือ มือเรียวหยิบจอกสุราขึ้นสูดดมกลิ่นหอมละมุน หลับตาพริ้มสูดดมกลิ่นหอมหวานก่อนจะยกขึ้นจิบช้า ๆ และกระดกเพียงรวดเร็วจนหมดจอก
“คุณหนูอย่าดื่มมากขอรับ เดี๋ยวจะเมามายเสียก่อน” หนึ่งในผู้คุ้มกันเอ่ยเตือนสตินาง สีหน้าของนางนั้นมองไม่ออกว่าร้องไห้หรือดีใจกันแน่ หญิงงามพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนพยักหน้าตอบกลับให้อีกฝ่าย
ผู้คุ้มกันทุกคนมักจะถือกระบี่เอาไว้ พวกเขายืนนิ่งราวกับรูปปั้นหยกแกะสลัก ใบหน้าดูราบเรียบซ่อนกลิ่นอายน่าหวาดกลัวเอาไว้ ฝีมือของพวกเขานั้นเรียกว่าทัดเทียมพอ ๆ กับแม่ทัพ นายกองทั้งหลาย ด้วยที่ว่าพวกเขานั้นได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา มองผ่านม่านโปร่งบางเบาเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางสง่าผ่าเผยยิ่งนัก มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ เพราะห่างอยู่ไกล อาถงนั่งกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น แต่ยังคงท่าทีสงบเย็นยะเยือกคล้ายคลึงคุณหนูผิงอันเจ้าของหอสุราตัวจริง
หญิงสาวแสร้งเป็นเจ้าของหอสุราได้เงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยจิตใจที่เต้นโครมครามระส่ำระสาย มิใช่ว่านางรู้สึกถูกใจชายหนุ่มผู้นี้ หากแต่ว่าชายผู้นี้นั้นคล้ายคลึงกับสตรีนางหนึ่ง นางมารหัวใจของคุณหนูน้อยของอาถง
อ้ายฟง หย่อนก้นนั่งลงทอดสายตามองไปยังผ้าม่านโปร่งที่ขั้นกลางห้องเอาไว้ แน่ชัดว่ามีสตรีสองคน ใครกันคือเจ้าของหอตงเทียนตัวจริง อีกไม่นานก็คงจะรู้ว่าคือใครกันแน่ มองซ้ายทีขวาทีอย่างเปิดเผยมิได้ซ่อนเร้นอำพรางอันใด ชายหนุ่มกดยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขา ส่งยิ้มเล็กน้อยให้สตรีที่นั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าท่าทางดูเหย่อหยิ่งไม่เบา นั่งหลังตรงคอตั้งทีเดียว “เถ้าแก่เนี้ย” เขาเปิดปากเอ่ยขึ้นมาก่อน สายตาของเขายังมิได้ละจากสตรีทั้งสอง
ต้องมีคนหนึ่งคนใดเป็นเจ้าของตัวจริงแน่ คิดว่าคนเช่นเขาจะโง่งมดูไม่ออกเชียวหรือ ลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนี้พอจะเดาทางได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเช่นเดียวกันว่าคือใคร คนที่อยู่เบื้องหน้าหรือหลังม่านนั่นกันแน่
“ท่านอยากจะพบข้ามีอะไรให้ข้าช่วยรึ” อาถงวางท่าทางถอดแบบคุณหนูมาไม่ผิดเพี้ยน น้ำเสียงกระด้างกระเดื่องนั่น ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ
“ข้าไม่มีอะไรให้ท่านช่วยหรอก ก็แค่อยากจะร่วมดื่มสุราพูดคุยกับท่านก็แค่นั้นเอง อ้อ อยากจะรู้จักโฉมงามเช่นท่านมิได้เชียวรึ” คนผู้นี้พูดทีเล่นทีจริง เสี่ยวถงขมวดคิ้วกำลังครุ่นคิดสิ่งที่เขากำลังจะสื่อออกมา
ฟางผิงอันกำลังดื่มสุราย้อมใจ นึกถึงเมื่อครั้งที่นางห้าหนาว ถูกอสรพิษตัวร้ายฉกเข้าให้ นางกึ่งเป็นกึ่งตายก็ได้พี่ชายที่แสนดีดูดพิษช่วยเหลือ จนเขาล้มป่วยลงมาต้องนอนรักษาอาการเป็นแรมเดือน ด้วยที่ว่าพิษนั้นร้ายแรงนัก ทำให้เขาหมดสตินอนราวกับผักเน่า
ยามนั้นนางห้าหนาว พี่ชายที่แสนดีก็สิบห้าปี จากวันนั้นจนถึงวันนี้ นางยังคงซาบซึ้งตรึงตราตรึงใจในน้ำใจที่เขายอมเสียสละตัวเองปกป้องนาง แม้รู้ว่าพิษนั้นร้ายแรงเพียงใด
“หากท่านไม่มีธุระสำคัญข้าก็ขอตัว” อาถงลุกขึ้นยืนอย่างถือดี นางไม่คิดว่าชายคนนี้จะมาแค่นี้แน่ ย่อมวางแผนการเอาไว้ อาถงจึงได้บ่ายเบี่ยงมิอยากพูดคุย เรื่องของคุณหนูไป๋ถูกรายงานอย่างรวดเร็ว สตรีเช่นนั้นใคร ๆ ก็รู้จักเป็นอย่างดี
นางเป็นบุตรีขุนนางไป๋ กิริยาแช่มช้อย น่ารัก เรียบร้อยอ่อนหวาน บุรุษน้อยใหญ่ก็อยากจะครอบครองนาง นั่นเพราะนางเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของแดนเหนือ อาถงได้ยินเรื่องราวยังหัวเราะขบขันสตรีนางนั้นนะรึ จะเทียบความงามของคุณหนูนางได้กัน
“เดี๋ยว ก่อนสิขอรับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นดูจะเนิบนาบชักช้า อีกทั้งเขาดูน่าเกรงขามไม่น้อย สตรีหลังม่านจับจ้องชายหนุ่มผู้นี้ไม่วางตา ทั้งน้ำเสียงการพูดจากิริยาว่ามีท่าทางคุกคามหรือไม่
“ข้าขอพูดคุยสักเล็กน้อย” ชายคนนี้ยังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่เขาต้องการบอกอะไรที่สำคัญ “นั่งลงก่อนอย่าเพิ่งรีบร้อน ตัวข้าหาได้ทำอันใดท่านไม่” เขายังกล่าวได้หน้าตาเชย ชายหนุ่มผู้คุ้มกันยืนนิ่ง ทว่าแววตาของเขายังจดจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มวางท่าคนนี้
อ้ายฟงเห็นแล้วนึกหวาดระแวงหลังม่านนั่นมีผู้ใดอยู่กันแน่ มีผู้คุ้มกันมากด้วยฝีมือยิ่งทำให้เขาคิดหนัก ครั้นจะทำการอันใดย่อมต้องขบคิดให้ถี่ถ้วน มิเช่นนั้นเป็นเขาเองที่จะเสียเปรียบหากคิดทำการใหญ่ต้องรอบคอบเข้าไว้
“มีอะไรอีกเชิญว่ามา หากคิดจะมาระรานหาเรื่องก็เชิญที่อื่น ตัวข้าทำมาค้าขายเวลาเป็นเงินเป็นทองมิได้ว่างพูดคุยหยอกเย้ากับใคร!” น้ำเสียงหวานไพเราะราวกับกระดิ่งกังวานเอื้อนเอ่ยแต่ละคำทำให้ชายหนุ่มหันมองมาตามเสียงหวานใส ไปยังผ้าม่านโปร่งสีดำนั่น
ดวงตาสีน้ำหมึกจ้องมองผ่านผ้าม่าน กลับเห็นเพียงแค่เงาสีดำนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ด้านหน้านั้นมีกาสุราและจอกสุราวางอยู่ ข้างกายของน้ำเสียงหวานจับใจมีเงาชายร่างใหญ่ยืนอยู่ในนั้นอีกสามคน หากเขาบุกรุกเข้าไปเกรงว่าคงจะจบชีวิตลงแน่
“แท้จริงแล้วเถ้าแก่เนี้ยก็คือท่าน” อ้ายฟง ยืนกอดแผงอกของตนเอง ท่าทีของเขายังไม่ได้คุกคามหรือเดินเข้ากระทำการอันใด ผู้คุ้มกันข้างในดึงกระบี่วาววับออกมารอรับการจู่โจมของอีกฝ่าย ผิงอันแย้มยิ้มมิได้หวาดกลัวอันตรายอันใด
จริงอยู่สตรีเช่นนางมิได้มีวรยุทธ์ไว้ปกป้องตนเอง ทว่าผู้คุ้มกันของนางแต่ละคนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก ฝีมือเหล่านายกองหรือไม่ก็แม่ทัพใหญ่ คนพวกนี้ถูกส่งมาดูแล อีกอย่างนางก็หาใช้บุตรีคหบดีธรรมดาไม่
นางเป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้าสำนักคุ้มภัย มีหรือคนพวกนี้ที่ส่งมาฝีมือจะอ่อนด้อย หากอยากตายเร็วก็เข้ามา นางมิได้แยแสต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกแล้ว
“มีอะไรเชิญพูดมา!” น้ำเสียงคนงามนั้นดูจะแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย อ้ายฟงคิดว่านางจะเป็นสตรีอ่อนแอปวกเปียกเสียอีก สืบข่าวมาได้ว่านางเป็นคนตระกูลฟาง มีหอสุราตงเทียน แท้ที่จริงนางเป็นเจ้าของหอสุราและเหลาอาหารนี่เอง นับว่าร่ำรวยไม่น้อย
เขาจึงคิดได้ว่า ท่านแม่ทัพหยางมิถอนหมั้นกับนางเป็นแน่ นั่นเพราะนางร่ำรวยช่วยเหลือเขาได้มากมีแต่ผลประโยชน์ตามมา ส่วนบิดาและครอบครัวเขามิได้ช่วยหนุนหลังเกื้อกูลยามเกิดเรื่องร้ายต่าง ๆ การถอนหมั้นจึงเป็นเรื่องยาก
“ข้ามาขอโทษท่านแทนน้องสาวของข้า” เขาเห็นท่าไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแผนการ เอ่ยออกไปเช่นนี้เขาก็หาได้คิดเช่นนั้นไม่ หากมีโอกาสสตรีนางนี้จะต้องอยู่ไม่สู้ตาย
หรือให้นางอับอายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แววตาของเขาเหยียดยิ้มอย่างน่าหวาดกลัว โชคดีที่อาถงไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว นางถูกนำออกไปข้างนอกเมื่อเห็นว่าคุณหนูยกมือขึ้นโบกไปมาสองสามครั้ง
“เก็บคำขอโทษของท่านกลับไป!” ฟางผิงอันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นนางก็เดินออกอีกประตูหนึ่ง ตรงไปยังห้องทำงานของนางเอง ขณะเดียวกันนั้น อ้ายฟงเดินออกไปจากห้องดังกล่าว เขามิได้รั้งรออยู่ดื่มสุราอีก เมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้า หาได้มีไมตรีต่อกันไม่
มื้อเย็นของวันนี้ช่างดูจะหวานหอมนัก มีหนึ่งหญิงชายนั่งรับอาหารอยู่ในศาลากลางสระบัว ท่านแม่ทัพเห็นคนรักคนงามใบหน้าขาวซีดจึงเห็นใจ เขาเอ่ยถามน้ำเสียงห่วงใยว่า
“ชิงชิง กินข้าวต้มรองท้องเสียหน่อยเถิด” หยางเฟยเทียนนั้นมีแววตาที่ดูลึกลับนัก ทำให้อวี้ชิงคาดเดาไม่ออกว่า เขาคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เห็นเพียงแค่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้นางหลงลืมไปหมดสิ้น
นางจึงแสร้งร้องไห้ออกมาอีกครั้งทำให้นางดูน่าสงสารอ่อนแอ และน่าเห็นใจยิ่งนักในสายตาของชายที่นางหลงรัก นางจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามาไม่ว่าจะด้วยวิธีอันใดก็ตาม นางจะนำมาใช้ให้หมด
“เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน เดี๋ยวข้าจะพูดคุยกับท่านพ่อ พี่ใหญ่ของเจ้าเอง” น้ำเสียงของเขานั้นกำลังมีบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ “มากินข้าวเสียหน่อยเถิด” เขายกชามข้าวต้มส่งให้นาง แต่ทว่านางส่ายหน้าน้อย ๆ ทำให้เขาจนปัญญา และไม่คิดจะป้อนข้าวต้มนางเสียด้วยซ้ำไป
“ท่านแม่ทัพรีบกลับไปหาคู่หมั้นของท่านเถิดเจ้าค่ะ ท่านอย่ามัวมาเสียเวลากับข้าเช่นนี้เลย ข้าป่วยเพียงแค่นี้ไม่เป็นอันใดหนักหนา กินยาก็หายแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณหนูฟางจะเป็นเช่นไร นางจะเสียใจหรือไม่ ที่ท่านตวาดนางอย่างนั้น” ไป๋อวี้ชิงเอ่ยขึ้น นางอิงแอบซบที่ไหล่กว้างของเขา มือเรียวโอบกอดเอวสอบของเขาเอาไว้
ใบหน้าซบลงที่ไหล่นั้น นางกำลังออดอ้อนออเซาะเขา รอยยิ้มผุดผายขึ้นบนใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมาดร้าย แววตาหาได้อ่อนโยนเหมือนน้ำเสียงไม่ มีแต่ความมักใหญ่ใฝ่่สูงทะเยอทะยานอยู่เช่นนั้น
“อย่าห่วงเลย แค่นี้มันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ กับสิ่งที่นางได้ทำเอาไว้กับชิงชิงของข้า”