‘เอานะ... คุณคิดชั่วโมงเท่าไหร่ละ’
‘บ้า! ทะลึ่ง! ลามก! อย่าเอาความคิดสกปรกมาตีราคาฉันนะ’
‘เอ้ย!คุณนั้นแหละคิดอกุศล ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะจ่ายค่าลวงเวลาให้’
‘โยษิตา’ หญิงสาววัยยี่สิบสองปีบัณฑิตหมาดๆ ที่ตระเวนหางานทำด้วยความหวังที่จะดูแลยายและหลานสาวตัวน้อย ทว่าระหว่างที่ยังหางานประจำไม่ได้เธอทำงานพิเศษเป็นพนักงานกรอกแบบสอบถามและในวันนั้นเองเธอได้พบกับ ‘ฟีรูซ เรกิวลุส’ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขาคือนานแบบหนุ่มสุดฮอตที่แสนจะเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตัวเอง
ในชีวิตของ ‘ฟีรูซ เรกิวลุส’ ชายหนุ่มที่ใครต่อใครอิจฉาเพียบพร้อมไปทุกอย่างและเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลเรกิวลุส แต่ชีวิตครอบครัวที่แท้จริงกลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว เขามีพี่ชายต่างมารดา ‘ฮาคีม’ ที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างจนถูกจับเปรียบเทียบเสมอ แม้กระทั่งกับสิริมา-พี่สาวที่เกิดจากแม่ที่เป็นคนรับใช้ทำให้แม่ของเขาปวดใจไม่น้อย ฟีรูซถูกเลี้ยงด้วยความตามใจจากคุณหญิงกาญจนาผู้เป็นแม่แท้ๆ แต่ความรักที่มากล้นนั้นทำให้เขาอึดอัดและกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว แล้วชีวิตเรื่อยเปื่อยของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเจอกับหญิงสาวดวงตากลมโตอย่างโยษิตา
เพราะฝีมือแม่ไม้มวยไทยของโยษิตาช่วยเอากระเป๋าสตางค์ของเกวลิน-คู่หมั้นของฮาคีมไว้ได้จากพวกโจรวิ่งราว แต่กลับถูกเกวลินเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับโจรนั่น! แต่ฮาคีมเชื่อใจในแววตาใส่ซื่อของโยษิตาและช่วยให้เธอมาทำงานที่บริษัทเดียวกับเขา ความใกล้ชิดสนิทสนมของโยษิตากับศรุติทำให้เกวลินไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ‘อเล็กซ์ แมคเกิล’ เพื่อนของฮาคีมมาเมืองไทยเพราะสนใจธุรกิจท่องเที่ยว แต่เนื่องจากฮาคีมวุ่นวายกับคู่หมั่นที่แสนจะเอาแต่ใจทำให้สิริมาต้องมาดูแลแทน แล้วความรอยยิ้มทะเล้นของ อเล็กซ์ ก็สามารถละลายหัวใจน้ำแข็งของสิริมาได้สำเร็จ
ฟีรูซ เรกิวลุส ตั้งใจจะหาเรื่องแกล้งโยษิตาที่เคยทำเขาเสียหน้ามาก่อนโดยการให้เธอมาเป็นเลขาส่วนตัว โยษิตาไม่อยากตกงานจึงจำใจยอมรับข้อเสนอแม้ว่าจะต้องทนกับเจ้านายที่เอาแต่ใจและหาเรื่องเธอสารพัด แต่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นกลับผูกพันหัวใจสองดวงไว้อย่างไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรียกว่า ‘ความรัก’ พวกเขาก็เกือบจะสูญเสียมันไปตลอดกาล.
..........
แท็กซี่ยังไม่ทันจอดเทียบฟุตปาธหน้าสถานีหัวลำโพงได้สนิทดีนัก ร่างของหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสองปี ถลาออกจากรถทันทีโดยไม่รอรับเงินถอนจากคนขับรถ เธอวิ่งฝ่าฝูงชนมากมายที่ล้วนต่างที่มาและต่างจุดหมาย เธอเดินเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งไปถึงห้องพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟโทรศัพท์ติดต่อเธอไว้เมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
“พี่ตามาแล้ว!”
“ข้าวซอย!”
โยษิตาเผลอตะโกนเรียกชื่อเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีฟ้าหม่น เด็กน้อยจอมยุ่งกระโดดลงจากเก้าอี้เข้ามาสวมกอดญาติผู้พี่อย่างคิดถึง เจ้าหน้าที่กระแอมไอสองสามครั้งก่อนเรียกโยษิตาไปตักเตือนที่ปล่อยให้เด็กหญิงวัยสิบขวบเดินทางมาคนเดียวเพียงลำพัง โดยการแอบซ่อนตัวในห้องน้ำของรถไฟตั้งแต่ลำปางจนมาถึงหัวลำโพง
“ค่ะ…ค่ะ…จะไม่ไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
ข้าวซอยเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวที่ดำเป็นเหนี่ยง ช่างผิดกับคำพูดที่ว่าสาวเหนือจะผิวขาวสวย เมื่อเคลียร์ปัญหากับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยโยษิตาก็ได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องโครกครากจนเจ้าน้องสาวตัวแสบหัวเราะ
“พี่ตาเลี้ยงอะไรไว้ในท้องเหรอคะ”
“สัตว์ประหลาดมั้ง!”
หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่ แต่ดูเหมือนเด็กจอมซนจะไร้ความกลัวเกรง ก็นั่นซินะ! ถ้าขี้ขลาดคงไม่กล้าหนีออกจากบ้านมาถึงนี่ได้ โยษิตาได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินจูงมือหลานเข้าไปหาอะไรกินนอกสถานีรถไฟ เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เธอกำลังช่วยคุณยายละเอียดกวาดหยากไย่ตามมุมบ้าน จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟ ให้มารับเด็กหญิงข้าวซอยที่แอบขึ้นรถไฟมากรุงเทพฯเพียงลำพัง เธอต้องตาลีตาเหลือกออกจากบ้านมาทั้งสภาพมอมแมมแบบนี้เพราะความเป็นห่วงน้องสาวตัวซน แต่พอมาเห็นแววทโมนเหมือนลูกลิงน้อยและวีรกรรมที่สร้างขึ้นเธอก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ
“พี่ตาโกรธหนูหรือจ๊ะ” ข้าวซอยถามเบาๆ แววตาสำนึกผิด
“ไม่ได้โกรธแต่พี่ตาเป็นห่วง” โยษิตาใจอ่อนกับแววตาคู่นี้เสมอ เธอมองดูจานข้าวหมูแดงที่ว่างเปล่า เมื่อสัตว์ประหลาดในท้องไม่ส่งเสียงรบกวน เธอก็จ่ายเงินค่าอาหาร
“เรารีบกลับบ้านกันเถอะป่านนี้คุณยายคงรอแย่แล้ว”
“คุณยายจะโกรธหนูไหมคะพี่ตา” แววตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่ดูเศร้าหม่นกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
‘แววตาแบบนี้ใครจะโกรธได้ลงนะ’
หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ แค่เห็นว่าน้องสาวตัวน้อยไม่มีร่องรอยบุบสลายตรงไหนก็โล่งใจแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวของ ‘ป้าอำภา’ ผู้เป็นพี่สาวของมารดาเธอหนีออกจากบ้าน กี่ครั้งกี่คราแล้วเธอก็ลืมนับมันไปแล้ว ข้าวซอยสะพายเป้สีชมพูขะมุกขะมอมเดินตามโยษิตาขึ้นรถแท็กซี่ ระหว่างทางเด็กน้อยมองทิวทัศน์รอบกายอย่างสนุกสนาน ไม่ได้มีแววสำนึกผิดเหลืออยู่เลย จนโยษิตาชักไม่แน่ใจว่า แววตาเศร้าๆ เมื่อครู่ของแท้หรือเทียม!