01-ล้มได้ต้องลุกเป็น

1844 Words
"อัปเดตสถานการณ์โควิด 19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่าหมื่นราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น....." จอทีวีดับลง หลังจากที่ปลายนิ้วเรียวกดลงที่ปุ่มปิดบนรีโมท เสียงทีวีที่เปิดเพื่ออัปเดตข่าวสารสงบลง 'เหมย' เด็กสาวที่ควรจะได้ชีวิตวัยรุ่นอย่างมีความสุข เธออุตส่าห์เรียนจบมัธยมแล้วแท้ๆ แต่ชีวิตมหาลัยที่ควรสดใส ดันมาเจอวิกฤตโรคระบาดจนทำอะไรไม่ได้ ซ้ำร้ายร้านอาหารที่เคยสร้างรายได้ให้ครอบครัวของเธอเป็นกอบเป็นกำต้องมาปิดตัวลง เพราะขายไม่ได้ หนี้สินก็รุมเร้าจนบริหารจัดการไม่ไหว "อันนี้ยกขึ้นรถเลยนะป๊า" เธอถอดปลั๊กไฟออก ก่อนจะหันไปถามผู้เป็นพ่อ ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการขนข้าวของใส่รถเร่ ที่จ้างมาขนของกลับต่างจังหวัด “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวป๊ายกเอง” เล้งรีบร้องตอบลูกสาว การตัดสินใจกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างจังหวัดในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจของ ‘เล้ง’ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว เขาเองมองไม่เห็นทางอื่นแล้วจริงๆ สถานการณ์ในตอนนี้ดูท่าจะไม่ดีนัก ทั้งโรคที่กำลังระบาดอย่างหนัก และดูไม่มีทีท่าจะลดลงเลย เศรษฐกิจก็ไม่สู้ดีเปิดร้านก็ไม่ได้ถึงเปิดได้ก็ไม่คุ้ม ไหนจะเงินซื้อข้าวปลาอาหาร เงินค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าตึก เงินค่าจ้างลูกจ้างในร้าน เงินที่กู้มาทำทุนอีก สู้กลับไปอยู่บ้านนอกที่ค่าครองชีพต่ำ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวปลาอาหารถูกกว่าอยู่กรุงเทพดีกว่า แม้ว่าเหมยลูกสาวของเขาจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะเพิ่งจะเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยไป แต่เพราะทางเลือกนี้ เป็นทางออกที่ดีที่สุด ทุกคนจึงต้องยอม ก่อนหน้านี้เล้งและครอบครัวเคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังที่กำลังจะย้ายไปมาก่อน แต่หลังจากที่เล้งเดินทางไปทำงานต่างประเทศจนได้วิชาการทำอาหารติดตัวมาเปิดร้านอาหาร ด้วยรสชาติที่อร่อยถูกใจลูกค้าทั้งไทยและเทศทำให้ร้านของเขามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจนต้องเรียกตัวภรรยาให้ไปช่วยกัน ส่วนเหมยก็ต้องอยู่กับย่าที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งวันที่ย่าสิ้นบุญไปด้วยโรคประจำตัว เหมยจึงต้องย้ายตามพ่อกับแม่ไปอยู่ที่กรุงเทพ และชีวิตของเธอก็ดูจะไปได้สวย ใครกันจะไปคาดคิด ว่าวันหนึ่งต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ หลังจากที่ขนข้าวของทุกอย่างขึ้นรถเร่จนหมดแล้ว ก็เหลือแต่ข้าวของสำคัญ กับสัมภาระเสื้อผ้าของแต่ละคนที่จะเอาขึ้นรถส่วนตัวไปเท่านั้น “ไม่คิดเลยนะเฮีย ว่าวันหนึ่งเราจะต้องขายร้านนี้” มล ภรรยาของเล้งยืนมองดูตึกที่เธออาศัยอยู่มานานนับสิบปี ที่นี่เป็นทั้งบ้าน และบ่อเงินบ่อทองที่สร้างเนื้อสร้างตัวให้กับครอบครัวของเธอ ถึงวันที่ต้องทิ้งที่นี่ไป มันก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย “เฮ้อ...เฮียเองก็ใจหาย แต่เอาเถอะทุกสิ่งบนโลกตั้งอยู่แล้วก็ดับไป วันนี้เราไม่เหลืออะไร เราก็ยังมีครอบครัว มีรถให้ขับกลับไปบ้าน บ้านที่เราเคยจากมา วันนี้ล้มก็นั่งพักไปก่อน พรุ่งนี้เราค่อยคิดกันใหม่ ว่าจะสู้ต่อไปยังไง ถ้าเราไม่ยอมแพ้เราต้องเริ่มต้นใหม่ได้แน่นอน” เหมยได้แต่ยืนดูพ่อกับแม่กอดกันน้ำตาไหลพราก ที่ต้องจากที่นี่กลับไปบ้านนอก เธอเองไม่ได้ผูกพันกับที่นี่อะไรนักหนา ใจอยู่กับเพื่อน กับห้างสรรพสินค้า กับชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งเจริญหูเจริญตา ไม่ใช่ท้องไร่ท้องนาที่ไม่มีแม้แต่ตึกสูงๆ สักหลัง อยากเดินห้างทีก็ต้องไปไกลเป็นร้อยกิโล รถสาธารณะอะไรก็ไม่มีสักอย่าง “ไปกันยังป๊า ช้าเดี๋ยวถึงที่โน่นเย็นนะ ไหนว่าต้องไปทำความสะอาดอีกไง” เสียงของลูกสาวทำให้ชายหญิงที่กำลังเศร้าโศกพลันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับลูกสาวผ่านหน้ากากอนามัยที่จำต้องใส่อยู่ตลอดเวลา เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็พากันขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังบ้านหลังเก่า เหมยหันไปถ่ายรูปตึกที่ถูกยกป้ายร้านลงและขนของออกจนหมด ก่อนจะอัปเดตสถานะในบัญชีโซเชียลฯ ของเธอ ‘จะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป...ลาก่อน’ แน่นอนว่าเธอไม่ได้อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น เพียงแค่อยากให้เพื่อนๆ ในแวดวงของเธอทุกคนได้รับรู้ว่า เธอนั้นกำลังจะจากที่นี่ไปแล้วจริงๆ ‘ใจหายเลยว่ะ’ ‘จะไปจริงๆ เหรอวะ’ ‘เดินทางปลอดภัยนะ’ เหมยนั่งอ่านและตอบความคิดเห็นของเพื่อนๆ ในใจก็แอบรู้สึกใจหาย กับเพื่อนที่สนิทมากๆ แม้จะมีน้อยแต่เธอก็รักและผูกพันอยู่ไม่น้อย การจากกันครั้งนี้ ไม่รู้เธอจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า เรื่องมหาวิทยาลัยก็อาจจะต้องลาออกไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน เธอเชื่อเหลือเกินว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางยอมให้เธอมาอยู่กรุงเทพตัวคนเดียวแน่ อีกอย่างค่าเทอมก็แพง ครอบครัวเธอในตอนนี้นั้นมีหนี้สินมากมาย ทั้งยังขาดรายได้หลักจากการทำร้านอาหารไปแล้ว และยังไม่มีหนทางหารายได้จากทางอื่นเลย นอกจากค่าเช่านาที่พ่อปล่อยให้ชาวบ้านเช่า แต่รายได้ตรงนั้นก็ได้เป็นรายปี แถมก็ไม่ได้มากพอจะใช้หนี้ที่มีอยู่อีกด้วย “เหมยกินอะไรไหมลูก ป๊าจะแวะเติมน้ำมันหน่อย” เล้งหันไปถามลูกสาวที่เอาแต่นอนไถหน้าจอโทรศัพท์ ไม่พูดไม่จาอะไรเลยมาตลอดทาง เหมยหันมองดูนอกรถ เธอเห็นร้านกาแฟแบรนด์ดังตั้งอยู่ไม่ไกล ในใจจึงคิดว่าถ้าไม่กินตอนนี้ กลับไปอยู่ที่บ้านย่า ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กินอีกหรือเปล่าจึงได้หันกลับไปยิ้มกับพ่อ “ขอชาเขียวสักแก้วนะป๊า” เมื่อลูกสาวเอ่ยขึ้นแบบนั้น เล้งก็รับรู้ได้ทันทีว่าราคาของเครื่องดื่มที่ลูกอยากกินนั้น เขาต้องหยิบเอาเงินออกมาจำนวนเท่าไหร่ เล้งค้นเอากระเป๋าสำหรับเงินสำรองออกมา แล้วควักเอาเงินจำนวนห้าร้อยบาทยื่นให้ลูกสาว “ขอบคุณค่ะป๊า” เหมยรีบวางโทรศัพท์ในมือลงทันที แล้วยกมือไหว้ขอบคุณพ่อของเธอ โดยที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย หญิงสาวลงจากรถ โดยเธอนั้นเดินตรงไปยังห้องน้ำก่อน แล้วถึงจะไปที่ร้านกาแฟที่ตั้งใจ แต่เมื่อจะเดินไปยังร้านกาแฟ เธอเห็นพ่อกับแม่ของเธอกำลังยืนกินน้ำเปล่าที่กรอกมาจากบ้านก่อนจะออกเดินทางมา ความคิดบางอย่างก็ลอยเข้ามาในหัว ‘กระเป๋าที่ป๊าเอาเงินออกมา เป็นเงินที่ได้มาจากการขายตึกนี่’ เธอเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ เธอเองเคยได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้เพื่อไปใช้ลงทุนเปิดร้านข้าวเล็กๆ ขายข้าวขายก๋วยเตี๋ยว ก็น่าจะพอมีรายได้บ้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ ความลังเลใจทำให้เหมยยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ โดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย “เสร็จแล้วเหรอ?” เล้งหันไปถามลูกสาว เขาจำได้ว่าเหมยขอเงินเพื่อไปซื้อชาเขียว แต่กลับไม่เห็นว่าเธอจะถือแก้วชาเขียวกลับมาด้วย จึงได้เอ่ยถามขึ้น “เสร็จแล้ว เหมยแค่ไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ” ลูกสาวว่าพลางยื่นเงินจำนวนห้าร้อยบาทคืนให้กับพ่อ แม้ว่าในตอนนี้ครอบครัวของเธอจะไม่ได้สิ้นไร้เงินทอง แถมยังพอมีเงินก้อนใหญ่อยู่เสียด้วยซ้ำ แต่หากเธอเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างไม่มีเหตุผล เงินที่ควรจะเอาไปทำทุนก็จะเสียไปเปล่าๆ ขนาดพ่อของเธอที่เคยดื่มเหล้า ดื่มไวน์ราคาแพง ยังยอมกินน้ำเป่าที่กรอกติดรถมา นาฬิกา ทองหยองที่เคยมีก็ขายไปจนหมด หลังจากคนขับได้นั่งพักจนพอแล้ว เขาก็ขับรถต่อมาอย่างไม่เร่งรีบ สามชีวิตบนรถเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง นานหลายปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้ อากาศที่บริสุทธิ์ปราศจากมลพิษ ท้องนาสีเขียวทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา บรรจบกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ปุยเมฆขาวสาดระบายแซมกับสีฟ้าอย่าลงตัว บ้านเมืองก็ดูหนาตาขึ้นกว่าที่คิดเอาไว้ เนื่องจากความเจริญเข้ามาถึงที่นี่มากกว่าตอนที่ทั้งสามคนยังอยู่ ครั้งล่าสุดที่เล้งกลับมาที่นี่ คงเป็นตอนที่แม่ของเขาจากโลกนี้ไป ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขามารับเหมยไปอยู่ด้วยกัน เมื่อมาถึงบ้านได้ถูกทำความสะอาดบ้างแล้ว โดยอี้พี่สาวของเล้งที่ช่วยเขามาถางหน้า และทำความสะอาดบ้านให้ เนื่องจากทั้งสามคนต้องกักตัว อี้ได้โทรบอกกับเล้งว่าให้เดินทางไปกักตัวที่ไร่ของผู้ใหญ่บ้านได้เลย ส่วนข้าวของที่ขนมาจะช่วยกันกับญาติๆ จัดการให้ สถานที่กักตัวไม่ได้แย่อย่างที่เหมยคิดเอาไว้สักนิด ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับรีสอร์ตที่เตรียมไว้รองรับนักท่องเที่ยว บ้านสวนของผู้ใหญ่บ้านอยู่ท่ามกลางป่ากล้วย และป่ามะพร้าว ห่างไกลจากผู้คน เหมาะสำหรับเป็นที่กักตัวอย่างดี “เราคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าจะครบ 14 วัน ส่วนเรื่องอาหารการกิน ป้าอี้จะเอามาแขวนไว้ให้เราที่หน้ารั้วทุกมื้อ หรือถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมป๊าจะบอกป้าอี้ให้” “คงไม่มีอะไรแล้ว เหมยเตรียมของเหมยมาครบทุกอย่าง” หญิงสาวบอกด้วยความมั่นใจ ภายในบ้านมีทั้งหมด 5 ห้องนอน เหมยแยกมานอนคนเดียวที่ห้องติดกันกับห้องพ่อกับแม่ โชคดีที่ตอนนี้ไม่ได้มีคนอื่นมากักตัวรวมกับครอบครัวของเธอ ความเป็นส่วนตัวจึงได้รับอย่างเต็มที่ หลังจากเก็บข้าวของที่ต้องใช้เข้าที่เรียบร้อยแล้ว เหมยก็ออกมานั่งดูวิวที่นอกหน้าต่าง ใบกล้วยชูช่อยาวจนสุดสายตา กับความเงียบเชียบเพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน อย่าเพิ่งคิดถึงการอยู่ระยะยาวเลย แค่คิดว่าต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 14 วันก็น่าเบื่อจะตายชัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD