“คุณนุสบา แล้วนักดนตรีคนเมื่อกี๊นี้เธอไปไหน เธอเล่นแค่เพลงเดียวเท่านั้นหรือ?”
“คุณมัสมินนะหรือคะ?...เห็นเธอบอกดิฉันว่าไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับที่พักของเธอก่อนค่ะ คุณปรีชา”
คำตอบของนุสบาอาจแค่ผ่านหูของปรีชาหากทว่าสำหรับลอวเรนซ์มันเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความมากจริตของมัสมินที่คงตกใจและอยากหนีหน้าเพราะคิดไปไม่ถึงว่าจะมาพบเขาที่นี่
“ฉันกลับห้องพักก่อนนะปิเอโร่ เนื้อออสเตรเลี่ยน วากิว ค่อยจัดเป็นเบรคฟาสต์ให้ฉันที่ห้องพักพรุ่งนี้ตอนเช้าก็แล้วกัน”
ปรีชาได้แต่ยกมือเกาหัวแกรก ๆ เมื่อหุ้นส่วนสั่งเสร็จแล้วก็กลับห้องพักไปตามความเข้าใจของเขา ชายหนุ่มหันกลับมายังผู้จัดการสาวและยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
“ขอบคุณคุณนุสบามากที่หานักดนตรีฝีมือดีมาเล่นให้แขกฟัง คุณมัสมินเล่นไวโอลินได้เยี่ยมมาก ลอวเรนซ์คงชอบเห็นนั่งฟังจนจบเพลง”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณปรีชา ดิฉันมีหน้าที่รับผิดชอบให้ห้องอาหารของเซลิโน่มีชีวิตชีวาสำหรับแขกที่มาพัก เขาจะได้คิดว่าที่นี่คือสวรรค์บนดินจริง ๆ อย่างไรล่ะคะ”
คำกล่าวของนุสบาสร้างความพึงพอใจแก่ผู้นั่งฟังที่พยักหน้ารับเป็นที่ยิ่ง
********************
ร่างระหงในชุดราตรีไหล่เบี่ยงสีขาวก้าวยาว ๆ ไปบนรองเท้าส้นสูงซึ่งทำให้หญิงสาวที่ต้องหิ้วกระเป๋าไวโอลินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ทางออกของโรงแรมเดินได้ไม่เร็วอย่างใจคิด ความหวาดหวั่นและอัดอั้นที่เข้าโจมตีความรู้สึกเมื่อครู่ทำให้เธอแทบกุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่
พระพรหมเล่นตลกอะไรกับโชคชะตาของเธอ! ให้เธอเลือกเดินไปในทางอันเปลี่ยวเหงาพอไม่นานเรื่องเศร้าก็เกิดขึ้นอีก เธอไม่ควรพบเขาเลย แล้วนี่อะไรกัน...ในเมื่อการพบกันครั้งนี้ช่างเป็นเรื่องยากลำบาก ลอวเรนซ์กลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของเซลิโน่ รีสอร์ท แอนด์ เรสสิเด้นท์
หญิงสาวกำลังสังวรตัวเองไว้ ไม่ว่าจะรักเขามากแค่ไหน ไม่ว่าความคิดถึงซึ่งยากนักจะห้ามหักนั้นมากมายเท่าใด เธอก็คงเป็นได้แค่มัสมิน ผู้หญิงเห็นแก่เงินที่อยู่อีกฟากฝั่งไม่เห็นเส้นทางระหว่างเธอและเขาจะมาบรรจบกันได้
เอี๊ยด!!
ร่างเพรียวระหงต้องหยุดกึกและรีบกลืนก้อนน้ำรื้นกลับเข้าไปเมื่อรถสปอร์ตคันหรูสีน้ำเงินเบรคลงกะทันหันห่างจากตัวเธอแค่คืบ มัสมินรู้สึกตกใจเมื่อเห็นประตูข้างคนขับถูกเปิดออกโดยมีร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยนก้าวลงมายืนประชิดร่างของเธอซึ่งรูปร่างอย่างชาวยุโรปข่มหญิงเอเชียให้ดูเล็กไปถนัดตา
“ริค!...”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะรูม่านตาขยายเต็มที่รับภาพอันชัดเจนใต้แสงจันทร์สาดส่องของบุรุษผมสีน้ำตาลเข้มประกายทองซึ่งเธอพบเขาที่ห้องอาหารเมื่อครู่
“คุณยังจำผมได้หรือ...มิวซีอา แล้วนี่รีบร้อนจะไปไหน”
ลอวเรนซ์ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบหากทว่าประกายตากลับกล้าแข็งสวนทางกับท่าทีนิ่มนิ่งนั้น
“นุ่น...เอ้อ...ฉันกำลังจะกลับที่พักค่ะ ขอตัวนะคะ...อุ๊ย!”
มัสมินร้องออกมาเบา ๆ เมื่อแขนเรียวถูกมือหนารั้งเอาไว้ด้วยท่าทีไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ผมจะไปส่ง!”
“ฉันกลับเองได้ค่ะ...โอ๊ย! ริค...ฉันเจ็บนะคะ!”
หญิงสาวร้องดังขึ้นเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบนต้นแขนจากแรงบีบของบุรุษใบหน้าหล่อเหลาทว่าเหี้ยมเกรียมนัก
“ที่ร้องออกมานี่ ไม่อยากไปจริง ๆ รึแค่มารยา...ต้องให้เขียนเช็คให้รึไงถึงจะตกลงใจไปกับผู้ชายคนไหนก็ได้!”
“คุณพูดเกินไปแล้วนะคะ ริค! ฉันจะกลับที่พักของฉัน!”
“คุณยังไปไหนไม่ได้ มิวซีอา! คุณต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้ ต้องไปกับผมเท่านั้น!”
มัสมินตัวปลิวไปตามแรงกระชากซึ่งในที่นั้นไม่มีใครแม้สักคนเดินผ่านไปมา เขาเหวี่ยงร่างของเธอเข้าไปในรถสปอร์ตอย่างไม่ปราณีปราศรัยก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพ้นออกไปจากป้ายแกรนิตขนาดใหญ่ใต้แสงสปอร์ตไลต์ของสวรรค์บนดินอย่างเซลิโน่
มัสมินไม่พูดอะไรกับ เขา คนเคยรักไปตลอดทาง มีแต่ความหวาดหวั่นแล่นจับขั้วหัวใจอันเหน็บหนาว เธอกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ที่รู้ตัวดีว่าอาจแก้ได้ไม่ตก ท่าทีที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวานของลอวเรนซ์เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแล้วในตอนนี้
หนุ่มอิตาเลี่ยนคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตั้งแต่เธอพาตัวเองออกห่างจากชีวิตของเขาแลกกับเงินก้อนใหญ่เพื่อยื้อลมหายใจของปัทมาซึ่งเธอไม่เคยบอกลอวเรนซ์เลยว่าน้องสาวของเธอกำลังเผชิญโรคร้ายในระยะวิกฤติ
ทว่าเธอก็ตัดสินใจไปแล้ว เฉือนหัวใจตัวเองทิ้งไปทั้งรู้ก็รู้ว่าเจ็บปวดทุรนทุรายเหลือที่ แต่ทุกอย่างก็น่าจะเหมาะควร ลูกชายมหาเศรษฐีอย่างจิอานนี่ควรมีอนาคตอันงดงามกับคนที่คู่ควรกับเขามากกว่าเธอ
หญิงสาวอยากร้องไห้ทั้งไม่กล้าหันไปมองใบหน้าขึ้งเคียดด้วยครั่นคร้ามต่อความโมโหของลอวเรนซ์ เธอยังคงนึกถึงคำพูดของจิอานนี่ที่กล่าวถึงบุตรชายของเขาและยังจำมันได้ดี
“ลูกชายของผมมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำยังไงผมก็ยังกำราบเขาไม่ลง เขาเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากและหัวแข็งจนไม่เคยอ่อนข้อให้ใครเลยแม้แต่พ่อของเขาเอง ถ้าเขาเชื่ออะไรแล้วก็จะยึดติดกับความเชื่อของตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกว่าเขาจะค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดเป็นเรื่องที่ผิด”