บทนำ
เสียงพูดคุย เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวหลายคน ปลุกให้สตรีนางหนึ่งที่นอนสลบอยู่บนพื้นห้องตื่นขึ้นมา เธอเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่หลับยาวนานพร่าปรือจนต้องกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสภาพดวงตาให้เข้ากับแสงนีออน พลางสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันร่างกายให้ลุกขึ้นนั่ง
“ที่นี่ที่ไหน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามแรกเกิดขึ้นในใจ เมื่อสายตาของเธอมองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย มองดูสตรีหลายสิบคนที่นั่งร้องไห้บ้าง ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือบ้าง บางคนก็ทุบประตูเหล็กจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงต่างๆ ในห้อง สีหน้าของหญิงสาวเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตื่นตระหนกตกใจ
“พวกเธอร้องไห้กันทำไม แล้วที่นี่ที่ไหน”
นันท์นภัสหันไปถามหญิงสาวผมทองที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัยระคนตกใจ คนที่ถูกถามเงยหน้ามามองผู้ถามน้ำตานองหน้า
“ที่นี่มันคือนรก เธอไม่รู้เหรอมันคือนรก”
สาวจากเมืองผู้ดีอังกฤษตวาดตอบ ร้องไห้ออกมาดังลั่นระบายความทุกข์ที่อัดแน่นในใจ นันท์นภัสยังรู้สึกงงกับคำตอบที่ได้รับ ความชัดเจนยังไม่เกิดขึ้นในสมอง
“เธอพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง บอกฉันหน่อยสิ” สาวชาวไทยถามอีกรอบ
สาวคนเดิมจึงหันมาตอบให้ความสงสัยของนันท์นภัสหายไป
“ที่นี่มันคือซ่องยังไงล่ะ ผู้หญิงทุกคนที่นี่กำลังจะถูกส่งไปขายตัวที่อื่น ได้ยินไหมที่นี่มันคือนรก มันคือนรก”
คนที่ได้รับคำตอบนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ใจเต้นระส่ำหาจังหวะไม่ได้ ความงวยงงจากการเพิ่งลืมตาตื่นหายเป็นปลิดทิ้ง ความตระหนกตกใจเข้ามาแทนที่ และเป็นความรู้สึกที่รุนแรงเข้ามาในจิตใจของเธอเป็นอย่างมากด้วย
‘เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’
เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในหัว นันท์นภัสใช้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดคิดไตร่ตรอง หญิงสาวจำได้ว่าตนเองกำลังเดินไปยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตอนกำลังจะถึงรถอยู่ไม่กี่ก้าว เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนมายืนซ้อนทับแผ่นหลัง ก่อนที่ลำแขนจะตวัดรัดตรงเอวเล็ก ต่อมาก็มีผ้าผืนหนึ่งปิดทับกึ่งปากกึ่งจมูก มันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก เร็วจนนันท์นภัสไม่ทันได้ต่อต้านหรือร้องขอความช่วยเหลือ ร่างกายก็อ่อนแรงลง ดวงตาปรือ ไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็มืดสนิท มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มาอยู่รวมกันกับหญิงสาวหลายคน หลากเชื้อชาติซึ่งแต่ละคนใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาทั้งสิ้น
‘เราถูกจับตัวมา’ สาวชาวไทยคิดในใจหลังจากเรียบเรียงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ตนจำได้ คำถามต้องมาก็คือ ใครกันที่เป็นคนจับตนมาที่นี่หรืออาจเป็นพวกค้ามนุษย์ข้ามชาติที่มักจับตัวผู้หญิงหญิงสาวเข้าไปในรถชนิดที่แตกต่างกันไปตามข่าวที่นันท์นภัสรับรู้มา แต่ก็ไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
นันท์นภัสมองไปรอบๆ ห้องที่เธอกับหญิงเคราะห์ร้ายหลายทั้งน้ำตา ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่มีหน้าต่างสักบ้าน จะมีเพียงช่องระบายอากาศที่อยู่ด้านบนสุดของผนัง ให้อากาศถ่ายเทเท่านั้น ตรงหน้าเธอจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ทำจากเหล็กแข็งแรงทนทานและคงพังออกไปได้ยาก ผนังสามด้านทำจากปูน แต่อีกด้านครึ่งหนึ่งเป็นกระจกหนาทึบที่มองไม่เห็นด้านนอก
เสียงดังเหมือนมีคนไขประตูดังขึ้น เรียกความสนใจให้กับหญิงสาวทั้งหลายในห้อง ก่อนที่พวกเธอจะพุ่งสายตาไปยังบานประตูเหล็กที่ค่อยๆ เปิดออก ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมถุงน่องอำพรางใบหน้าสามคนเดินเข้ามาในห้อง โดยมีอีกสองคนยืนถือปืนคุมเชิงด้านนอก
“ลุกขึ้น” เสียงชายตัวโตพูดพร้อมกับกระชากร่างสตรีผิวดำให้ลุกขึ้นยืน
“ไม่...ปล่อยนะ ปล่อยฉัน” สตรีคนนั้นขืนตัวเต็มที่ ปากร้องลั่น ชายคนดังกล่าวจึงฟาดฝ่ามือลงไปบนแก้มของเธอเต็มแรง
“ถ้าไม่อยากตาย หุบปาก”
ชายคุมซ่องตะโกนใส่หน้าหญิงสาวที่ตนเพิ่งทำร้าย ทว่าเธอก็ยังดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของมันได้ ในที่สุดเธอก็ถูกลากออกไปจากห้องเป็นคนแรก
และเมื่อหญิงสาวคนแรกถูกลากตัวออกไป เสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่เหลือในห้องก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องขอและขอความช่วยเหลือที่ดังไม่หยุด นันท์นภัสเองก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่า ชายทั้งสามคนนั้นจะไม่สนใจ ใครร้อง ใครดิ้นรน ใครขัดขืนมีอันต้องถูกทำร้ายด้วยการตบ นำพาความหวาดกลัวมาให้หญิงสาวเคราะห์ร้ายทั้งหลายเป็นอย่างมาก
หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวหรือถูกหลอกมาถูกนำตัวออกไปจากห้อง 6 คน จำนวนที่พวกชายคุมซ่องต้องการตามคำสั่งของผู้เป็นนายคือ 7 คน และคนสุดท้ายที่พวกเขาต้องการคือ นันท์นภัส
“ไม่นะ ปล่อย ปล่อย”
นันท์นภัสพูดเป็นภาษาสากล ใช้มือปัดป้องมือสกปรกของชายใจโฉดที่พยายามจะจับลำแขนของตัวเอง เท้าเล็กที่มีแรงไม่มากกระแทกไปยังลำขาของชายคนดังกล่าวหลายครั้ง ทว่าขาของมันก็เหมือนแข็งดุจหินไม่สะดุ้งสะเทือน
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ อย่าขัดขืน” ชายคุมซ่องร่างใหญ่กล่าวเตือนคว้าหมับตรงลำแขนเล็กแล้วบีบ เป็นเชิงเตือนอีกทางหนึ่ง
“ไม่นะ ไม่ ปล่อย...ช่วยด้วย”
ปากสาวขยับเปิดร้องลั่นไม่สนใจคำเตือนของชายนิสัยเลว ขืนตัวเต็มที่ไม่ให้ตนถูกลากออกไปจากห้องนี้ ทว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิด ในที่สุดร่างเล็กก็ถูกลากถูออกไปจากห้องนั้นสำเร็จ
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันถูกนำตัวไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่อีกโซนหนึ่ง นันท์นภัสกวาดตาไปรอบๆ ในสมองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวคิดหาหนทางหนี แม้ว่าหนทางหลบหนีจะน้อยนิดก็ตาม
ระหว่างทางที่พวกคุมซ่องพาสินค้าใหม่ไปตรวจสอบคุณภาพ ชายทั้งสามคนหยุดยืนที่หน้าประตูห้องหนึ่ง ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องนั้นทำให้เหลือคนคุมเพียงสองคน และดูเหมือนว่าคนคุมที่เหลือจะชะล่าใจยืนสูบบุหรี่และคุยกันอยู่หน้าห้องนั้น ไม่ใส่ใจหญิงสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังมากนัก คิดว่าคนที่พวกมันคุมไม่มีทางหนี มีหรือที่พวกเธอจะคิดเช่นนั้น ในเมื่อมีโอกาส ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หลุดมือ
นาตาลีหญิงสาวชาวอเมริกันที่ถูกคนรักหลอกมาขายใช้จังหวะที่พวกมันเผลอรีบวิ่งไปยังตามทางเดิน พอนาตาลีวิ่ง หญิงสาวที่เหลือก็วิ่งตามรวมทั้งนันท์นภัสด้วย
โลแลนกับแซคไม่ได้ยินดียินร้ายกับสตรีทั้ง 7 คนที่วิ่งไปคนละทิศละทาง เนื่องจากทางเดินที่ทอดยาวไปกว่าหนึ่งร้อยเมตรมีทางแยกซ้ายและขวา หญิงสาวต่างเชื้อชาติจึงวิ่งไปตามทางที่คิดว่า หนีพ้น
แต่หารู้ไม่ว่า ไม่มีวันที่พวกเธอจะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ นอกเสียจากพวกเขาจะพาออกไปเอง ซึ่งหมายถึงพวกเธอจะเป็นโสเภณีเต็มตัว
คนที่กำลังนำพาตัวเองให้พ้นไปจากนรกขุมนี้ต่างถูกชายฉกรรจ์ที่กระจายตัวรักษาความปลอดภัยโดยรอบจับกุมได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นสาวชาวไทยที่วิ่งแยกไปทางด้านซ้ายมือคนเดียว
“ยังขาดอีกคนนึง พวกมึงไปตามตัวมาให้ได้” หัวหน้าคุมซ่องสั่งลูกน้อง “โลแลน แซค มึงสองคนพวกมันไปตรวจสอบคุณภาพ คนไหนบริสุทธิ์ให้ไปไว้ที่ห้องเกรดเอ คนไหนผ่านผู้ชายมาแล้วมึงพาไปที่ส่งที่ซ่องของสเตลี่ย์”
ผู้หญิงทุกคนที่ถูกหลอก ถูกจับมาที่นี่จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพว่าอยู่ในระดับไหน หากเป็นสาวบริสุทธิ์ก็จะถูกแยกไว้ที่ห้องเกรดเอ รอวันประมูลขายเนื้อสดให้กับเหล่ากระทาชายที่นิยมชิมรสของสาวแรกแย้มที่ไม่ผ่านมือชาย สาวจำพวกนี้หาได้ยากและทำเงินให้อย่างงดงาม คุณภาพรองลงมาก็จะคัดไปตามเกรด แต่ที่เกรดต่ำที่สุดน่าจะเป็นซ่องของสเตลี่ย์ มันเป็นซ่องที่เปรียบเสมือนนรกสำหรับหญิงสาวทุกคน เพราะมีแต่คนรายได้น้อย นิสัยทราม ซาดิสต์นิยมมาใช้บริการ ไม่ต้องนึกเลยว่า สภาพของหญิงสาวบริการเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร
นันท์นภัสวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เธอไม่เหลียวหลังมาด้วยว่ามีคนตามมาหรือไม่ หนทางข้างหน้าคืออิสระที่ตนเองต้องไขว่คว้า เท้าเล็กเปล่าเปลือยก้าววิ่ง ดวงตาก็มองหาทางออกที่เธอมองแทบไม่เห็น สิ่งที่เห็นคือกำแพงปูนสูงเกือบสองเมตร มีลวดหนามล้อมรอบอยู่ด้านบนกำแพง หนทางหนีของนันท์นภัสจึงริบหรี่เหลือเกิน
ในความมืดมิดยังมีแสงสว่าง นัยน์ตาของนันท์นภัสมองเห็นประตูบานหนึ่งที่อยู่มุมสุดของกำแพงเปิดอ้าอยู่ มันเหมือนเส้นชัยที่เธอต้องวิ่งไปให้ถึง หญิงสาวรีบวิ่งไปยังประตูบานนั้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะเป็นความหวังสุดท้ายของเธอ
แล้วเธอก็ทำได้...นันท์นภัสนำพาร่างกายก้าวผ่านพ้นประตู แต่เธอก็ไม่หยุดวิ่ง เธอยังวิ่งต่อไปแม้ว่าจะไม่รู้ก็ตามว่าที่นี่คือที่ใด ประเทศไหน อยู่มุมใดของโลก ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวของนันท์นภัสคือ ต้องหนี หนีไปให้ไกลจากขุมนรกนี้
ตามทางที่หญิงสาววิ่งเต็มไปด้วยความมืดจากราตรีกาล ซอยแคบๆ ที่มีความกว้างเพียงเดินสวนทางกัน และไร้ซึ่งแสงไฟ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้สาวผลัดถิ่นเกิดความกลัว เพราะความกลัวที่ว่าจะถูกจับกลับไปยังสถานที่เลวร้ายนั้นมีมากกว่า เธอจึงวิ่ง วิ่งและวิ่ง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บเท้า
นันท์นภัสก้าวเท้าวิ่งต่อไปจนพ้นจากซอยแคบๆ เธอมาเลี้ยวไปทางด้านซ้ายโดยไม่คิด ไม่หยุดเท้าเพื่อพิจารณาว่าจะไปทางไหน ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นถนนที่ทอดยาวไกล มีไฟส่องนำทางเป็นระยะ ความหวังในการรอดพ้นจากขุมนรกมีมากขึ้น เธอหวังว่าจะมีรถสัญจรผ่านไปมา จากนั้นเธอก็จะขอความช่วยเหลือ แต่ทว่า...
ทำไมไม่มีคนเลย ทำไมไม่มีรถวิ่งสัญจรสักคัน
นั่นคือความคิดที่ฉุกขึ้นในสมองของนันท์นภัส เธอมีความรู้สึกว่าตนเองวิ่งมาไกลแล้วและไม่มีคนตามมา แต่ทำไมยิ่งวิ่งเธอรู้สึกเหมือนกับว่า ตนเองอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ไม่มีสิ่งมีชีวิตนอกจากเธอเพียงคนเดียว สมองคิดหาคำตอบ เท้าเล็กเปล่าเปลือยที่เริ่มมีเลือดไหลออกก็ก้าววิ่งไปไม่หยุด
และแล้วความหวังของเธอก็บังเกิดขึ้น ในจังหวะที่เธอเหลียวหลังมองว่ามีรถมาหรือไม่ ดวงตาสาวปะทะกับแสงไฟหน้ารถของรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้าใสใกล้ ด้วยความที่กลัวว่าเจ้าของรถยนต์คันนั้นจะไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ หากตนเองโบกรถ คงจะมีทางเดียวที่จะหยุดรถคันนั้นได้คือ เอาตัวเข้าขวาง
เอี๊ยดดดดดด...
เสียงห้ามรถดังไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าของรถยนต์เหยียบเบรคกะทันหันตั้งแต่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกระโดดมากางมือขวางถนน ดีที่ว่ารถแล่นมาด้วยความเร็วไม่มากนัก คนขับจึงเหยียบเบรกได้ทันท่วงที
“ช่วยด้วย” นันท์นภัสเปล่งเสียงแผ่วเบาลอดผ่านปาก แล้วพอเจ้าของรถยนต์ก้าวลงมาจากรถ ร่างสาวก็รูดลงไปนอนกับพื้นทันที
“เฮ้ย!” จัสตินอุทานดังลั่น รีบวิ่งมายังร่างของสตรีที่กระโดดมาขวางทางรถ “คุณ คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาพยุงร่างของเธอขึ้นมาแล้วร้องเรียก เมื่อไม่มีการตอบรับจากสตรีปริศนา อีกทั้งยังเห็นรอยเลือดตรงเท้าของเธอ ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นคนติดตามของมาเฟียใหญ่ ทำให้จัสตินคิดว่า ต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอคนนี้แน่นอน เขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างของนันท์นภัสไปยังรถยนต์ของตนเอง ก่อนจะนำพาร่างสลบไสลไปส่งยังโรงพยาบาล