อีกประมาณสามสิบนาทีการรับประทานอาหารจึงแล้วเสร็จ ทั้งสามชีวิตเดินออกมาจากร้านอาหาร สองสาวรีบตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที โดยมีหนุ่มชื่อตะวันยืนถือของรอข้างนอก
“รู้หรือเปล่าว่าตะวันมันจีบรุ้งอยู่?” อัญญาณีถามขึ้น หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย และเป็นครั้งแรกในรอบวันที่อยู่กันตามลำพัง
“รู้” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ หน้าแดงนิดๆ
“รู้แล้วจะให้รับซื้อขนมจีบมันหรือเปล่า?” สาวตัวอ้วนถามต่อไป
“ไม่รู้” คนที่ตอบยังคงความเขินอายได้เป็นอย่างดี
“ไม่รู้แน่เหรอ ไม่รู้แล้วทำไมให้ตะวันขับรถไปส่งล่ะ หรือว่าเกรงใจเกตุ?”
“ก็ตอนนี้ไม่รู้ไง แล้วก็ไม่ได้เกรงใจเกตุด้วย” หทัยชนกตอบเพื่อนตัวอ้วนไม่เต็มเสียงนัก อีกข้อเธอเองก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย
“รุ้ง เกตุอยากจะบอกว่า ตะวันมันก็นิสัยโอเคนะ ตั้งแต่คบกันมามันก็จีบผู้หญิงมาเยอะ แต่ไม่มีใครที่มันจะทุ่มทุนสร้างขนาดขับรถไปส่งถึงเชียงใหม่เลยสักคน อย่างมากก็แค่ไปส่งที่บ้านเท่านั้น เกตุอยากจะให้รุ้งพิจารณามันซักหน่อย ถ้าใจรุ้งตอบว่าไม่ก็คือไม่ บอกมันไปตรง ๆ ตะวันจะได้รู้ตัว ไม่มาวอแวกับรุ้งอีก ไม่ต้องห่วงว่าเกตุจะเคืองที่ทำตะวันอกหัก เพราะมันคนละเรื่องกัน ความรักมันบังคับกันไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่ที่รุ้งนะ ถ้าคิดว่าไม่ก็บอกมันไปว่าอย่ามายุ่ง รุ้งไม่คิดกับตะวันเกินกว่าคำว่าเพื่อน ถ้าหากใจของรุ้งตอบว่าใช่ก็ลองเปิดใจรับตะวัน แค่นี้เอง”
อัญญาณีหันมาพูดกับเพื่อนด้วยท่าทางจริงจัง เธอไม่ต้องการให้หทัยชนกให้ความหวังกับตะวันมากเกินไป ชี้ชัดไปเลยว่าต้องการรับซื้อขนมจีบจากอีกฝ่ายหรือไม่ ถ้าไม่ซื้อก็บอกไปตรง ๆ ทุกอย่างมันจะได้จบ ตะวันก็จะได้รู้ตัวเองว่า สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่
“ตอนนี้รุ้งยังไม่รู้ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน” หทัยชนกตอบตามความรู้สึกของตนเอง
“แล้วรู้สึกยังไงกับตะวันล่ะ เกตุหมายถึงตอนนี้น่ะ?”
“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก บอกได้แค่เพียงว่า เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่มาจีบรุ้ง ใจมันสั่นๆ หวิวๆ ตอนที่ตะวันพูดหยอกล้อหรือว่าพูดเชิงจีบ ซึ่งรุ้งเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหน รุ้งตอบเกตุได้เท่านี้แหละ”
หทัยชนกที่พร้อมจะเปิดใจกับอัญญาณีได้ในทุกเรื่องบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้กับเพื่อนสนิทได้รับฟัง ตอนนี้ประตูหัวใจของเธอเปิดแง้มทีละนิด เพียงแค่ว่ายังเปิดไม่มากพอที่หทัยชนกจะรู้หัวใจของตัวเอง ทว่าอีกไม่นานเธอก็คงจะรู้คำตอบที่เด่นชัด
คำตอบของเพื่อนสนิททำให้อัญญาณีรู้ว่า เพื่อนสาวของตนเริ่มมีใจให้กับตะวัน แต่ยังไม่รู้หัวใจของตัวเองเท่านั้น ตามประสาคนที่ไม่เคยมีความรัก สักวันหนึ่งที่เธอคิดว่าไม่นาน หทัยชนกจะได้รู้คำตอบของหัวใจ
“เกตุว่าสักวันรุ้งจะหาคำตอบของหัวใจได้ แล้ววันนั้นรุ้งค่อยตอบเกตุก็แล้วกันนะ เราออกไปจากห้องน้ำกันดีกว่าป่านนี้ตะวันมันยืนถือของนิ้วหักแล้วมั้ง”
อัญญาณีพูดตัดบท เธอไม่ต้องการเร่งรัดหทัยชนกมากเกินไป ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิตของแต่ละคน เช่นเดียวกับหัวใจที่ไม่อาจบังคับใครได้
วันเดินทาง
ตะวันขับรถมารับหทัยชนกที่บ้านตามวันเวลาที่นัดหมาย ก่อนที่เขาจะขับรถมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ทันที ระว่างทางตะวันก็ชวนคนที่นั่งเบาะข้างๆ คุยไปด้วย ซึ่งเธอเองก็คุยตอบโต้กลับไปอย่างเป็นกันเอง
“เดี๋ยวเราแวะพักที่จุดพักรถก่อนนะ จะได้ลงไปยืดเส้นยืดสาย หาของกินกัน”
“ก็ดีเหมือนกัน ตะวันจะได้พักบ้าง อีกตั้งไกลกว่าจะถึง” หทัยชนกเห็นด้วยกับความคิดของตะวัน การขับรถระยะไกลหากได้พักเปลี่ยนอิริยาบถบ้างก็ดีไม่น้อย
พอมาถึงจุดพักรถขนาดใหญ่ที่มีรถบัสหลายคันรวมทั้งรถส่วนตัวจอดอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทั้งคู่ลงมาจากรถเดินไปยังอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่ที่มีอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งเครื่องอุปโภคหลายรายการจำหน่ายให้กับผู้เดินทาง ทั้งสองเลือกที่จะทานข้าวต้มรองท้อง แล้วนั่งพักอีกราวยี่สิบนาที จึงเดินกลับไปยังรถยนต์ของตะวัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังถนนสายหลัก
เสียงพูดคุยของตะวันและหทัยชนกเริ่มเงียบลง เมื่อเปลือกตาสาวปิดสนิท เธอเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาเกือบห้าทุ่ม ตะวันหันมามองร่างสาวที่นั่งคอพับคออ่อนด้วยรอยยิ้ม เพ่งพิศมองดวงหน้าของเธอด้วยความสุข เขาคิดไม่ผิดและไม่ผิดหวังที่ขับรถหลายร้อยกิโลไปส่งเธอให้ถึงจุดหมาย มันคุ้มเกินคุ้มกับการกระทำในครั้งนี้
ตะวันหักรถจอดข้างทาง เพื่อทำการบางอย่าง เขาปรับเบาะที่ หทัยชนกนั่งหลับให้เอนไปทางด้านหลัง เพื่อให้ท่วงท่าการนอนของเธอสบายขึ้น จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำที่อยู่เบาะหลังมาคลุมช่วงบนของหญิงสาว นั่งมองหน้าสาวเจ้าที่เขาหลงรักชั่วครู่ คล้ายกับว่าเติมพลังให้กับร่างกาย ก่อนจะหันกลับไปทำตามหน้าที่ของตนเอง
“รุ้ง รุ้ง” เสียงเรียกชื่อและแรงเขย่าตรงลำแขน ทำให้คนที่นอนหลับงัวเงียตื่นขึ้นมา
“ขอโทษนะที่ต้องปลุก ตอนนี้ตะวันขับรถเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่แล้ว บ้านรุ้งอยู่ที่ไหน ตะวันจะได้ขับรถไปถูก?”
ตะวันเอ่ยถามคนที่เพิ่งตื่น ความดีใจที่จะได้มาส่งเธอทำให้เขาลืมถามไปว่า บ้านของหทัยชนกนั้นอยู่ในตำบล อำเภอใดและจุดไหนของจังหวัดเชียงใหม่ จะเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะปลุกเธอให้ตื่นจากนิทรา แล้วถามทาง
“ไม่เป็นไร รุ้งผิดเองที่ลืมบอกตะวัน รุ้งอยู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ใกล้ๆ ห้าง...”
“นอนต่อเถอะ ถึงตัวเมืองแล้วตะวันจะปลุก”
“ไม่นอนแล้ว เดี๋ยวรุ้งช่วยตะวันดูทางด้วยไง เผื่อตะวันขับหลง” สาวที่เพิ่งตื่นพูดเสียงใส
“เอางั้นก็ได้” ตะวันพูดจบก็ออกรถบึ่งไปตามถนนสายหลักที่ทอดตัวยาวสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ทันที ราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ทั้งสองจึงเดินทางถึงที่หมาย
บ้านของหทัยชนกเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูง อยู่บนพื้นที่ราวเจ็ดสิบตารางวา ต้นไม้น้อยใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่น หน้าบ้านปลูกมะยมตามความเชื่อของคนโบราณที่ว่า หากมีมะยมไว้หน้าบ้านคนจะนิยมชมชอบ ข้างๆ ต้นมะยมยังมีไม้มงคลอีกหลายชนิดตามความเชื่อ