4

1412 Words
ร้านศรัญญาเบเกอรี่ ร้านกาแฟและเบเกอรี่ขนาดสองคูหาในตึกแถวริมถนนสายธุรกิจที่มีผู้คนพลุกพล่าน มากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นคนไทยและชาวต่างชาติที่สัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ส่งเสริมให้ร้านค้าร้านขายต่างๆ ในย่านดีพลอยขายดีไปด้วย ร้านแห่งนี้ก็เช่นกัน มีลูกค้ามาใช้บริการต่อเนื่อง ยิ่งช่วงเที่ยงจะมีลูกค้ามากเป็นพิเศษ ทำให้พนักงานในร้านและเจ้าของร้าน ชงเครื่องดื่มตามออเดอร์แทบไม่ทัน ร้านดังกล่าวเปิดได้เพียงหนึ่งปี แต่มีลูกค้าขาประจำมาซื้อเบเกอรี่ที่มีอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมปังไส้ต่างๆ แยมโรล พายและขนมเค้ก โดยเฉพาะเค้กเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ เนื่องจากเจ้าของร้านทำสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร และนั่นทำให้มีออเดอร์สั่งยาวเหยียดนานหลายเดือน แล้วดูเหมือนว่า ออเดอร์จากลูกค้าจะมีต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี ไพลินสาวมั่น ฝีปากกล้า ไม่กลัวคนเดินฉีกยิ้มเข้ามาในร้านอย่างคุ้นเคย หญิงสาวมองลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วยิ้มกับความสำเร็จของเพื่อน ที่นับวันจะมีลูกค้ามากขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ที่มีพนักงานรับออเดอร์ลูกค้า “นก แก้วอยู่ไหม” ไพลินถามหาเพื่อนรักกับดวงกมลพนักงานในร้าน “อยู่ค่ะ อยู่ด้านหลังค่ะ” ดวงกมลตอบ “ขอบใจนะ” เมื่อรู้ว่าศรัญญาอยู่ที่ใด เธอก็เดินไปหาเพื่อนทางด้านหลังที่เป็นห้องขนาดพอดีไว้สำหรับทำขนม ในห้องนี้มีพนักงานร้านคอยช่วยศรัญญาทำงานอยู่สามคน คนที่ไพลินมาหากำลังแต่งหน้าเค้กอยู่อีกมุมหนึ่ง “ตอนบ่ายสองคนยังเต็มร้าน ตอนเที่ยงจะขนาดไหนเนี่ย” ไพลินเพื่อนสนิทศรัญญาเจ้าของร้านทักเพื่อน เมื่อเข้ามาในร้าน “รวยใหญ่แล้วเพื่อนฉัน” “รวยก็ดีสิ แต่ก่อนรวยขอใช้หนี้ย่าเล็กก่อนนะ ท่านให้เงินมาลงทุนทำร้านนี้ตั้งสองล้าน กว่าฉันจะใช้หนี้ย่าเล็กหมดก็คงอีกหลายปี” ร้านศรัญญาเบเกอรี่เป็นร้านที่ศรัญญาใฝ่ฝันจะทำมาตั้งแต่วัยรุ่น เธอจึงไปเรียนทำเบเกอรี่และลองทำสูตรใหม่ๆ เสมอ เพื่อวันหนึ่งจะได้เปิดร้านตามความตั้งใจ ทว่าด้วยฐานะที่พอกินพอใช้ แต่ไม่พอเก็บ เธอจึงไม่มีเงินลงทุนมาทำร้านแห่งนี้ มีทางเดียวที่จะสานฝันของตนให้สำเร็จคือ เก็บหอมรอมริบทีละน้อย เป็นความโชคดีของศรัญญา นภาพรรณผู้เป็นย่า ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับนภาพร พี่สาวต่างบิดา เพื่อหยิบยืมเงินทุนมาให้หลานรัก นภาพรไม่ปฏิเสธมอบเงินสองล้านมาให้หลานสาวสานฝัน คราแรกศรัญญารู้สึกเกรงใจไม่อยากรับเงินก้อนนี้ เนื่องจากตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นภาพรช่วยเหลือครอบครัวตนหลายอย่าง ช่วงหนึ่งบริษัทของบิดาขาดสภาพคล่อง ปิดกิจการโดยไม่ให้เงินชดเชยพนักงานเลยสักคน ประจวบเหมาะกับมารดาของเธอล้มป่วย ใช้เงินในการรักษาไม่น้อย บ้านก็ติดจำนองกับธนาคาร เมื่อบิดาตกงานจึงขาดรายได้ นภาพรก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ และเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในบ้านให้ทั้งหมด รวมถึงค่าเล่าเรียนของเธอด้วย ศรัญญาเกิดความเกรงใจขึ้นมา เพราะเงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมรับ ด้วยเหตุผลที่นภาพรบอกตนว่า จะได้เป็นหลักเป็นฐานให้ครอบครัว และอีกเหตุผลหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ “แกต้องใช้คืนย่าเล็กด้วยเหรอ ฉันนึกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่แกจะต้องแต่งงานกับหลานชายของคุณปู่ซะอีก” ไพลินถามอย่างสงสัย เพราะเธอคิดว่า เงินจำนวนนี้แลกกับการถูกคลุมถุงชน ถูกจับแต่งงานกับหลานชายสามีของย่าเล็ก ซึ่งเธอก็แปลกใจไม่น้อยที่เพื่อนยินยอมเข้าพิธีวิวาห์กับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า และไม่มีความรักต่อกัน “ฉันอยากใช้คืนเองแหละ ฉันอยากให้ร้านนี้เป็นร้านของฉันอย่างสมบูรณ์ ต่อไปในอนาคตฉันจะใช้ร้านนี้เลี้ยงดูครอบครัวของฉัน ยืนด้วยลำขาของตัวเอง” ศรัญญาถูกลิขิตและนภาพรขอร้องให้เข้าพิธีแต่งงานกับจอมทัพ แต่ทั้งสองไม่ได้บังคับเธอ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอเองว่า จะยินยอมตามที่ทั้งคู่ขอร้องหรือไม่ เธอยอมรับว่าคิดหนักเป็นการตัดสินใจที่ยากมากที่สุดในชีวิต เพราะตนต้องใช้ชีวิตอยู่กับจอมทัพ ที่ไม่เคยรู้นิสัยใจคอ รู้จักเพียงหน้าตาที่ลิขิตนำภาพถ่ายมาให้ดูเท่านั้น ศรัญญาใช้เวลาคิดทบทวนเพียงหนึ่งวันโดยมีบิดามารดาคอยให้คำปรึกษา เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วเธอจึงตัดสินใจยอมรับคำขอร้องของสองสามีภรรยา เหตุผลที่ยอมคือ ทดแทนบุญคุณลิขิตที่เธอเพิ่งรู้ว่า เป็นเจ้าของเงินทั้งหมดที่นภาพรนำมาช่วยเหลือครอบครัวของตนในยามวิกฤต อีกทั้งบิดามารดาก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของตน และอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้ “ฉันถามแกจริงๆ นะ แกเต็มใจแต่งงานจริงเหรอ ไม่ใช่ถูกบังคับแน่นะหรือว่าเขาเอาอะไรมาหลอกล่อแก” ไพลินยังสงสัยไม่หาย ที่อยู่ๆ เพื่อนรักก็ตอบรับการแต่งงาน “ฉันเต็มใจ คุณปู่กับย่าเล็กไม่ได้บังคับฉัน แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมาหลอกล่อด้วย” ศรัญญาตอบตามความจริง และเลือกที่จะไม่บอกเหตุผลสำคัญของลิขิต ที่บอกให้ตนเก็บไว้เป็นความลับ ซึ่งเธอก็รักษาสัญญาไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ แม้แต่บิดามารดา “ที่ฉันพูดเพราะเป็นห่วงแก แต่ถ้าแกบอกว่า แกเต็มใจ ไม่ได้ถูกใครบังคับ ฉันก็เชื่อตามนั้น” ไพลินเคารพการตัดสินใจของเพื่อน ทว่าก็อดห่วงศรัญญาไม่ได้ “แต่แกเคยคิดบ้างไหมว่า ชีวิตคู่ของแกจะราบรื่นและมีความสุข ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใจให้กัน ขนาดรักกันปานจะกลืนกินยังเลิกกันเลย นับประสาอะไรกับกรณีของแก” ศรัญญานิ่งไปชั่วครู่ ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่คิดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดีก็ตาม “ฉันตัดสินใจไปแล้ว ผลจะออกมายังไงฉันยอมรับทั้งนั้น” ศรัญญาพูดเหมือนปลง “ว่าแต่แกเถอะ มาซะป่านนี้ไม่ทำงานหรือไง ระวังนะเจ้านายตัวดีของแกจะไล่ออก” เจ้าของร้านเปลี่ยนเรื่อง “ก็ที่มาตอนนี้ก็เพราะเจ้านายจอมวุ่นวายของฉันน่ะสิ คิดดูนะ ตอนเที่ยงฉันมีเวลากินข้าวแค่สิบนาที ก็ต้องกลับมาทำงานด่วนให้ ทำเสร็จยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องมาทำธุระที่ตึกข้างๆ ให้อีก พอฉันทำเสร็จฉันก็เลยมาหาแก พักให้หายเหนื่อยบ่ายสามโมงค่อยกลับบริษัท” ไพลินทำหน้าเซ็งเมื่อเอ่ยถึงเจ้านายจอมกวนประสาท ใช้งานเธอราวกับเป็นทาส ถ้าไม่ติดว่า ได้ทำงานในบริษัทติดอันดับของเมืองไทย เงินเดือนดี สวัสดิการเยี่ยม รับรองว่าเธอลาออกตั้งแต่เดือนแรก “ฉันว่า ฉันไปชงชาร้อนๆ ให้แกดื่มดีกว่านะ แกจะได้อารมณ์ดีหายเครียด หายเหนื่อย วันนี้ฉันทำชีสเค้กของโปรดแกด้วยนะ ฉันจะเอามาให้แกกิน แกจะได้มีแรงไปปะทะกับเจ้านายแกไง” เจ้าของร้านละมือจากกการแต่งหน้าเค้กที่เสร็จพอดี เดินนำเพื่อนออกไปจากส่วนห้องทำขนม ไปนั่งโต๊ะตัวหนึ่งตรงหัวมุมร้าน จากนั้นจึงไปทำชาร้อนและนำขนมเค้กมาให้เพื่อนสนิทรับประทาน ไพลินมองศรัญญาด้วยสายตาเป็นห่วง แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามพูดและสีหน้าที่ทำให้คิดว่า ไม่มีความวิตกกังวลในการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เธอรู้ว่า ในใจศรัญญาไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ไพลินมีความรู้สึกว่า ความทุกข์กองใหญ่กำลังรอเธออยู่เบื้องหน้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD