“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ” กรวรรณยกมือขึ้นไหว้อีกครั้งแล้วพูดออกมาดังๆ “ขอให้ผู้ชายในภาพเป็นเนื้อคู่ของเพื่อนข้าพเจ้าที่ชื่อ ขวัญชีวา อริยะสัตย์ ด้วยเถิด โอมเพี้ยง”
“แกนี่บ้าเข้าขั้นจริงๆ เลิกพูดเรื่องคนอื่นแล้วหันมาสนใจฉันบ้างยายนก”
กรวรรณยิ้มกว้างกับคำค่อนขอดดังกล่าวก่อนเก็บแท็บเล็ตใส่กระเป๋าแล้วเอียงคอจ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนนิ่ง “ฉันก็บอกแล้วว่าแกสวยขึ้นกว่าเก่าจมไง สำนวนไทยที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งนี่เป็นเรื่องจริง สำหรับผู้หญิงที่เกือบสวยจึงต้องแต่งตัว แต่ของแกนี่เรียกว่าสวยอยู่แล้วแต่ไม่รู้จักแต่งจนเกือบเสียของ”
ขวัญชีวาฟังแล้วก็หัวเราะอย่างอดขำไม่ได้ ทำให้ลืมเรื่องที่คุยกันไปก่อนหน้านั้นทันที “แกนี่ช่างสรรหาคำพูดมาเปรียบเปรยจริงๆ”
เจ้าของร้านที่เพิ่งกลับจากรับโทรศัพท์ได้ยินที่ทั้งคู่คุยกันพอดีจึงเดินยิ้มเข้ามาหา “น้าเหมียวเห็นด้วยกับนกนะที่ว่าหนูเกือบปล่อยให้ความสวยของหนูเสียของ” พูดพลางก็เชยคางมนของขวัญชีวาขึ้นมอง “หน้าของหนูวาไม่ต้องแต่งอะไรมากก็สวยแล้ว อย่างผมที่น้าเหมียวตัดให้หลังหากสระเสร็จใหม่ๆ เช็ดผมไม่ต้องแรงมาก แล้วค่อยๆ หวีให้เข้าทรง แค่นี้ก็สวยแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณน้าเหมียวมากค่ะ แล้วทั้งหมดเท่าไหร่คะ”
เมื่อรู้ราคาค่าเสริมสวยคนถามก็อึ้งไปชั่วเสี้ยววินาที เพราะแม้จะได้ลดราคาเป็นพิเศษแล้วแต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เสียเงินกับเรื่องแบบนี้อย่างขวัญชีวาถึงอย่างไรก็มองว่ายังแพงอยู่ดี แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ได้หญิงสาวก็ตัดใจ หลังจ่ายเงินเสร็จก็หันไปถามผู้เป็นเพื่อน “แล้วแกจะไปไหนอีกหรือเปล่า”
คนถูกถามพูดโดยไม่ต้องคิดนาน “ไปเดินห้างกันเถอะ เผื่อเจอเสื้อผ้าสวยๆ ต่อจากนั้นก็ไปกินอาหารญี่ปุ่น”
“ตกลงตามนั้น”
ภายในรถยนต์สีขาวคันหรูสมรรถนะเยี่ยมที่จอดอยู่ริมถนนย่านสุขุมวิท ชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนสีดำกับเสื้อยืดแขนยาวสีขาว หน้าตามองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทย จากนัยน์ตายาวรี คิ้วเข้มพาดเฉียง รวมทั้งผิวขาวจัดซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถ เจ้าตัวกำลังหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจจนเสียงดังลั่นตามมาด้วยคำพูดเป็นภาษาจีนเร็วปรื๋อ
“รู้ไหมครับว่าตอนนี้นายกลายเป็นคนดังภายในชั่วพริบตาจริงๆ มีคนบอกว่าหน้านายเหมือน เอ็ดดี้ เผิง”
คำพูดดังกล่าวทำเอาร่างชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงสวมกางเกงยีนสีเข้ม เสื้อยืดแขนยาวสีขาวปกลายสกอตยี่ห้อดังจากเมืองผู้ดี ซึ่งเอนตัวเหยียดยาวราวกับเกียจคร้านอยู่บนเบาะโดยสารข้างคนขับ มีหมวกสีขาวปิดอยู่บนใบหน้าส่งเสียงจึ๊กจั๊กออกมาอย่างขัดใจ
“แกอย่าลืมสิเดฟ เวลาอยู่กับฉันสองต่อสองต้องพูดภาษาไทยเท่านั้น จำใส่ใจเอาไว้” พูดจบคนพูดก็ปรับเบาะเปลี่ยนจากเอนนอนเป็นตั้งขึ้นนั่ง หมวกที่คลุมหน้าอยู่จึงเลื่อนหลุดหล่นลงบนพื้นรถ เผยให้เห็นดวงหน้าขาวจัดค่อนไปทางรูปไข่ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความอ่อนช้อยของมารดาชาวไทยกับเชื้อสายจีนจากบิดาชาวไต้หวัน ผมดำสนิทหยักศกน้อยๆ ปรกอยู่บนหน้าผาก
นัยน์ตาดำจัดค่อนข้างดุภายใต้คิ้วเข้มโค้งจดหางตา จมูกโด่งคมเหนือเรียวปากหยักแดงจัด ดวงหน้าที่เห็นเพียงผิวเผินครั้งแรกอาจดูคล้ายผู้หญิง ถ้ารูปร่างไม่เพรียวแกร่งกับมีรอยเคราเขียวๆ บนใบหน้า ใครต่อใครคงมองว่าเจ้าตัวเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน
“ครับนาย ต่อไปผมจะพยายามไม่ลืม”
จางซี่โม่วหรือเดฟตอบเป็นภาษาไทย แม้จะไม่ถึงกับชัดเจนมากแต่ก็ฟังรู้เรื่อง พลางมองเผิงอวี้เยี่ยหรือฌอนผู้เป็นเจ้านายซึ่งมีชื่อเป็นภาษาไทยว่าพชรด้วยสายตาขบขัน ทำให้คนถูกมองเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาในทันควัน
“แล้วใครวะ เอ็ดดี้ เผิง ที่แกพูดถึง”
หลังจากกลั้นอาการหัวเราะเอาไว้อย่างยากเย็น เดฟที่นอกจากจะทำหน้าที่ขับรถแล้วยังเป็นองครักษ์ฝีมือฉกาจรวมทั้งทำหน้าที่เลขาฯ ก็กดแท็บเล็ตที่ถืออยู่ในมือหาอะไรอยู่ครู่หนึ่งจึงยื่นให้ผู้เป็นนายดู “คนนี้ไงครับที่ใครต่อใครบอกว่านายหน้าเหมือน ตอนนี้เป็นดาราที่กำลังโด่งดังมากในไต้หวัน”
ฌอนยื่นมือรับเจ้าแท็บเล็ตพลางมองภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แล้วคิ้วเข้มก็พลันขมวดเข้าหากัน ตามมาด้วยนัยน์ตาคมที่ฉายแววไม่ยินยอมพร้อมใจก่อนจะส่งคืนให้ “ฉันดูดีกว่านะ หรือแกคิดว่าไงเดฟ”
ดวงหน้าของคนถูกถามเรียบสนิททว่าดวงตาที่เห็นไหวระริก “นายตัวสูงกว่าครับ”
คนถูกว่าแค่ตัวสูงกว่ามองคนพูดที่เขาไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นคนอื่นไกลนอกจากคนในครอบครัวแล้วก็อดนึกขันในใจไม่ได้ เพราะปกติยามเจ้าตัวอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรือคนแปลกหน้าจะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มค่อยพูดนัก บิดาของเขาเล่าให้ฟังว่าเจอเดฟขณะอายุเพียงห้าขวบกำลังนั่งกอดศพผู้เป็นแม่ที่ถูกรถชนร้องไห้อยู่ข้างถนนจึงลงไปช่วยนำส่งโรงพยาบาล แต่คนเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจตายเสียก่อน
หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยผู้เป็นบิดาจึงพาเด็กชายที่กลายเป็นเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดูคู่กับเขาซึ่งตอนนั้นอายุได้สามขวบ ให้การศึกษาเท่าเทียมกับเขาทุกประการ ประหนึ่งเป็นคนในครอบครัว ทำให้เดฟรักและเทิดทูนในตัวบิดา ความรู้สึกที่ว่าก็พลอยมาถึงตัวเขาด้วย
กระทั่งปัจจุบันเดฟทำหน้าที่ติดตามตัวเขาดุจเงาตามตัว เรียกว่าสามารถตายแทนเลยก็ว่าได้ เรียกเขาว่านายน้อยจนติดปาก จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนต้องปล่อยเลยตามเลย แต่ต่อมาก็ขอตัดคำว่าน้อยออกไปเหลือแค่นายเท่านั้น