“ตกนรกน่ะสิไม่ว่า ว้าย!"
ตะลิงปลิงร้องเสียงหลงเมื่อถูกเจ้าบ่าวตวัดเกี่ยวร่างเข้าไปกอดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“ยิ้มสิ” มโนกระซิบคนในอ้อมกอด พลางสูดกลิ่นกายหอม ๆ ของเจ้าสาวเข้าปอดแรง ๆ กลิ่นช่างหอมละมุน มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม แต่มันเป็นกลิ่นแป้งเด็ก เป็นกลิ่นที่ไม่คิดว่าผู้หญิงวัยสาวจะใช้กัน
“ปล่อยฉันนะ” หล่อนพยายามขืนตัวเองไม่ให้ร่างบดเบียดไปกับเจ้าบ่าว
“ยิ้มสิ ทุกคนรอเราอยู่นะ ถ่าย ๆ ไปเถอะ สร้างภาพน่ะเป็นไหม” มโนเอ่ย ก่อนจะหันไปยิ้มให้กล้อง และมันเป็นยิ้มที่เขายิ้มเต็มปาก เป็นยิ้มที่ไม่เสแสร้งและยิ้มของมโนก็ทำให้เพื่อนรักทั้งสี่ของเขาต้องหันมาสบตากันด้วยคำถาม
“ดีมากจ้า...น่ารักมาก ๆ เลยลูก ๆ เพื่อนเจ้าบ่าวมาถ่ายกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้แล้วจ้ะ”
เพ็ญศรีบอกเพื่อนเจ้าบ่าวตัวป่วนเข้าไปถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วเพื่อนเจ้าสาวก็มาร่วมเฟรมถ่ายรูปได้ เพื่อนเจ้าสาวของตะลิงปลิงมีแต่เด็ก ๆ อายุ 7 ขวบ 8 ขวบ เลยทำให้เพื่อนเจ้าบ่าวใจแป้ว เพราะคิดว่าเพื่อนเจ้าสาวจะสวยเหมือนเจ้าสาว แต่ก็ผิดคาด
เวลาผ่านไปไม่นาน พิธีช่วงเช้าก็จบลงเมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนที่เพ็ญศรีเชิญมา เมื่อตอนนี้ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย ก็ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกตัวไปพัก รอเวลาสองทุ้มสิบสามนาทีก็ถึงฤกษ์ดีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอบนห้องที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ทั้งสองต้องพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมนี้เป็นเวลาสามวันสามคืน
ตะลิงปลิงเดินวนเวียนไปมาหลายรอบแล้วตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จ
จะเหลือก็แต่ฤกษ์ส่งตัวเข้าห้องหอ หญิงสาวกระวนกระวายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาชนิดาเพื่อนรัก แต่ก็เงียบ สงสัยงานศพของพ่อคงไม่เสร็จจึงรับสายเธอไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องกำโทรศัพท์ไว้ในมือเมื่อผู้เป็นพ่อเปิดประตูเข้ามาหาในห้องพัก
“หนูแสบเป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม อดทนหน่อยนะลูกอีกเดี๋ยวก็ได้เข้าหอแล้ว” ธนพลเดินมาลูบหัวแก้วตาดวงใจตนด้วยความอ่อนโยน พร้อมดึงตามตนไปนั่งที่โซฟา
“ลูกไม่เหนื่อยเท่าต้องฝืนใจแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นหรอกค่ะพ่อพล” หล่อนตัดพ้อ
“ไม่เอาสิลูก ตอนนี้ลูกเป็นคนของบ้านเหลืองอร่ามทองคำส่องแสงระยิบระยับรุ่งเรืองพราวฟ้าแล้วนะลูก”
“ให้ตายเถอะพ่อ นามสกุลบ้าอะไรยาวยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีน ใครจะไปจำได้ พ่อพูดใหม่อีกทีสิคะ” หล่อนตกใจตั้งแต่เห็นนามสกุลที่ตนต้องเปลี่ยนตั้งแต่ตอนจรดปลายกาเซ็นชื่อในใบทะเบียนสมรสแล้ว
“หนูแสบล้อพ่อเล่นรึเปล่าลูก” ธนพลยิ้มขำ กว่าเขาจะท่องจำได้ก็ใช้เวลานาน และเหมือนจะพูดได้ครั้งเดียวด้วย
“ช่างเถอะ ไม่เห็นต้องจดจำอะไรเลย เดี๋ยวไม่นานก็ต้องหย่าอยู่ดีใช่ไหมคะพ่อพล เพราะพ่อพลบอกว่าถ้าอยู่ไม่รอด พ่อพลอนุญาตให้แสบหย่าได้” หญิงสาวทวงคำพูดก่อนที่ตนจะตกลงแต่งงานกับมโน
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ลูกแน่ใจเหรอว่าลูกจะไม่หลงรักพี่เขา พี่เขาหล่อออกปานนั้น ขนาดพ่อเป็นผู้ชายด้วยกันยังอดชื่นชมไม่ได้เลยนะ”
หากว่าในอนาคตข้างหน้าชีวิตคู่ของลูกสาวไปไม่รอด เขาก็ให้สิทธิ์เธอตัดสินใจเอง เพราะแค่เรื่องแต่งงานก็ถือว่าบังคับจิตใจของตะลิงปลิงมากพอแล้ว ต่อไปนี้หากเธออยากทำอะไรเขาก็จะตามใจลูกสาวทุกอย่าง และเคารพทุกการตัดสินใจของเธอด้วย
อีกห้องถัดกันไปนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวก็กำลังพูดคุยกันสนุกปาก
โดยเฉพาะเพื่อนเจ้าบ่าวที่พากันพูดหยอกล้อเจ้าบ่าวในวันนี้ไม่หยุดปาก หัวเราะเริงร่ากัน แต่จะมีก็แต่เจ้าบ่าวคนเดียวเท่านั้นไม่ขำด้วย เพราะเจ้าตัวเองแต่นิ่งเงียบเมื่อเข้ามาอยู่ในห้อง จนตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่กี่นาทีก็ได้เวลาส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว
“ยิ้มหน่อยสิโน เจ้าสาวมึงก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรซะหน่อย”
ฝันดีตบไหล่เพื่อนรักเมื่อคิดถึงหน้าของเจ้าสาวเพื่อนก็อดยิ้มกริ่มไม่ได้ เมื่อเจ้าหล่อนนั้นช่างสะดุดตาของเขาเหลือเกิน ตั้งแต่นาทีแรกที่เธอก้าวเดินเข้ามาให้เห็น หัวใจหนุ่มก็เต้นเร่า และนาทีนั้นเองที่เขารู้สึกอิจฉาเพื่อนรักในวันนี้และอดเสียดายไม่ได้ ยอมรับว่าเขาหวั่นไหวกับเจ้าหล่อนทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะตะลิงปลิงเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเพื่อนรักเรียบร้อยแล้ว
“มึงก็มาเป็นกูสิ ถูกบังคับแต่งงานทั้ง ๆ ไม่ได้รัก” มโนตอบเพื่อนรักพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขยับชุดสูทของตนก่อนจะพูดต่อ “มึงชอบก็เอาไปสิ กูไม่คิดจะอยู่กับเด็กนั่นนานหรอก กูจะหาทางหย่าให้ได้ อีกอย่างก็แค่เมียไม่ได้รัก แบ่งเพื่อนกินได้อยู่แล้ว เหมือนที่เราเวียนสาวกันใช้ไงล่ะ”