กลับมาถึงคอนโดอีป้าก็เที่ยงกว่าแล้ว ผมวานให้ยามที่คอนโดของอีป้าช่วยขนของ
"อ้าว อีนี่ไม่เหลือบุหรี่ให้ฉันสักตัว"
ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะจากเรื่องที่เพิ่งกระแทกใจมาเมื่อครู่ เดินวนรอบห้องหาบุหรี่ไม่ได้อยากสูบนะ แต่มันไม่รู้จะทำอะไรดี เดินหาอยู่นานก็ตัดสินใจเดินลงไปซื้อดีกว่า
"จะเจอหมาพวกนั้นไหมเนี่ย คงไม่หรอกเพราะจะบ่ายโมงแล้ว"
ผมบอกกับตัวเองเพราะกลัวว่าจะไปเจออริเก่าที่สร้างไว้เมื่อวาน ผมเดินลงจากคอนโดไปแล้วชะเง้อมองตั้งแต่ยังไม่เข้าร้าน ไม่มีใคร ผมรีบเดินตรงไปยังร้านของเจ๊ทันที
"เจ๊ บุหรี่ซอง"
"อ้าวน้อง แดงเขียวจ๊ะ"
"เขียวครับ"
ผมมองหาขนมอย่างอื่นด้วยแล้วเดินไปหยิบ
"เจ๊ปิดร้านกี่โมงครับ"
ผมถามไปเรื่อยระหว่างหยิบนั่นจับนี่มารวมกัน
"แล้วแต่วันจ้า วันไหนมีบอลก็ปิดดึกหน่อย"
อ้อ อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ร้านนี้น่าะเป็นแหล่งชุมนุมของพวกเล่นบอลกัน ระหว่างที่เดินเลือกของอยู่ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะมีมือหนาๆแข็งๆมาตะปบ ที่บ่า
"เฮ้ย"
"ว่าไง คุณ วันนั้นด่าใครว่าเป็นหมา"
เสียงของเขาฟังแล้วสยองขนลุกขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าเขากำลังกัดฟันพูด ผมหันไปมองหน้า ทำใจดีสู้เสือเอาไว้ แม้จะเคยเรียนคาราเต้มาก็ตามเถอะ แต่ไม่เคยใช้เลยสักที หวาดๆอยู่เหมือนกัน ผมมองตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตามันก็ดีนะแต่ดูมอมแมมไปหน่อย ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิง ชุดหมีที่เหมือนจะเป็นเครื่องแบบของช่างประจำโชว์รูมรถทั่วๆไปก็ขมุกขมอม แต่ที่รับไม่ได้มากที่สุดคือรองเท้า ผมคิดว่าตอนซื้อมามันคงเป็นสีขาวแน่ๆแต่ตอนนี้หาพื้นที่ของสีต้นตำรับไม่เจอ เสียแล้ว ผมเผลอแสยะปากออกมา
"ว่าไง ว่าใครเป็นหมา"
มันบีบบ่าผมแรงขึ้นผมก็ขืนตัวออก
"อะไรคุณ ที่ด่าว่าเห่าน่ะเหรอ"
ผมแกล้งถามแหย่มัน
"ใช่ ว่าใคร"
"เห่าเป็นอาการของหมา ก็ต้องว่าหมาสิ คุณเป็นคนนี่ไม่เห็นเกี่ยว หรือว่าคุณเห่าเป็น"
"เฮ้ย"
มันดันหน้าเข้ามาหาผม คงคิดว่าคนอย่างนายพลจะหลบสินะ ผมก็แอ่นหน้าอกสู้
"ปากดีนะ"
มันเหมือนคิดได้ว่านี่เป็นสถานที่สาธารณะ จึงไม่ได้ง้างมือหรือทำท่าจะทำร้ายแต่อย่างใด แต่สายตามันเหมือนกำลังจะแทงผมอยู่ มือก็บีบแน่นขึ้น
"อย่างอื่นก็ดีนะ ไม่ได้ดีแต่ปาก เจ๊เท่าไหร่ครับ"
ผมร้องข้ามหัวมันไปแล้วป่ายมือของมันที่บีบบ่าผมออก ทำท่าปัดออกด้วยนะกลัวว่าคราบอะไรมันจะติด
"ยังคุยไม่จบ ทำไมว่าคนอื่นแบบนี้"
มันยังไม่ยอมง่ายๆ เริ่มแล้ว เริ่มเลือดขึ้นหน้าแล้ว ไอ้นี่มันโผล่มาจากไหน ทั้งๆที่ดูแล้วว่าไม่มีคน ผมก็จ้องตามันทันที
"ว่าใคร ผมไม่ได้ว่าใคร แต่ถ้าใครจะรับก็รับไปสิ ไม่ว่ากัน"
ผมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ ไม่ได้เกรงกลัวมันเลย
"หนอย"
"พอแล้วไอ้หลวง ไม่ไปทำการทำงานเหรอ มาหาเรื่องชาวบ้านเขาแบบนี้น่ะ"
เจ๊แว้ดเสียงปรามขึ้น มันชะงักมือ
"ก็เค้ามาว่าผมก่อนนี่เจ๊"
"ใครว่าใครก่อน วันนั้นฉันก็อยู่นี่นะ อย่าไปยุ่งกับเขา ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน แกก็รู้ว่าเจ๊ไม่ชอบนักเลงหัวไม้ ที่ค้างๆไว้น่ะ จะเอาคืนให้หมดเลย"
"โห เจ๊"
มันครางทำหน้าตาน่าสมเพช
"ไม่เป็นไรหรอกครับเจ๊"
ผมพูดแล้วยักไหล่ใส่มัน แล้วเดินไปหยิบของ
"น้องเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอจ๊ะ"
"ครับ เพิ่งมาอยู่ เจ๊เอาน้ำแข็งด้วยดีกว่า"
ผมเซ็งๆอยู่พอดี ฟาดเบอร์เบิ้นมันตั้งแต่บ่ายนี่ล่ะวะ อารมณ์เสีย
"ต๊าย จะก๊งตั้งแต่หัววันเลยเหรอ"
"เบื่อๆน่ะเจ๊ เอาไปกินกับเหล้านอก"
ผมเน้นเสียงเป็นพิเศษแล้วหันไปมองมันที่ยืนตาเขียวอยู่ พอได้ของครบจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกจากร้าน ชายตาไปมองมันก็ก็เชิ่ดใส่ ผมเห็นมันกำหมัดแน่น คงไม่เคยเจอเกย์ด่าล่ะสิ ปากตลาดนัก สม
"อะไรนะแก ไอ้เรย์น่ะเหรอคั่วเด็กมัธยม ได้ๆ อย่าเพิ่งเล่าเดี๋ยวฉันลาครึ่งวันไปเลย"
ผมอยู่คนเดียวแล้วมันงุ่นง่านหงุดหงิดยังไงไม่รู้ อยากระบายออก ถ้าจะโทรฯไปหาอีป้ามันก็คงได้แค่เล่าทางโทรศัพท์ เพราะงานที่มันทำเป็นบริษัทแต่ไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โตอะไรมากนัก อีกอย่างเจ้านายมันก็เขี้ยวไม่ยอมให้ขาดลาง่ายๆถ้าไม่ล้มลงตายต่อหน้าก็ไม่ มีวันยอม ส่วนอีพัทมันทำงานกับองค์กรต่างชาติ เป็นองค์กรกองทุนเหมือนมูลนิธิเด็กหรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ แต่มันทำงานสบายมาก สบายจนบางทีน่าอิจฉา วันก่อนมันยังไปร่อนอยู่ที่โรงหนังแถวสะพานควายอยู่เลย เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง ผมก็รอมันใจจดใจจ่ออยากจะเล่าเต็มที ระหว่างรอก็ฟาดเบอร์เบิ้นกับน้ำแข็ง กินมันเพียวๆนี่ล่ะสะใจดี
"ไหนเล่ามาซิแก"
อีพัทนี่ได้ใจจริงๆ รอไม่ถึงชั่วโมงมันก็มา หน้าตาก็นะอยากรู้เต็มที่ เพราะมาถึงมันก็ปรี่เข้ามานั่งแล้วลากแขนผมมานั่งลงบนโซฟา
"ก็เด็กใหม่ไอ้เรย์น่ะสิ เด็กมัธยม" ผมเน้นเสียง
"หา มันบ้าไปแล้ว นี่ไอ้เรย์มันเสียสติไปเหรอ แล้วเด็กนั่นอายุเท่าไหร่"
"ไม่ได้สนใจหรอกนะแก สนใจแค่ว่ามันร้ายนะ มันว่าฉันแก่ ไอ้เรย์มันถึงเมิน"
พูดขึ้นมาแล้วก็เจ็บใจ แก่เหรอ คำนี้ไม่เคยได้ยินนะ ไม่ได้สนใจด้วยเพราะไม่เคยมีใครว่า แต่ว่าพอได้ยินเด็กคนนั้นว่าผมแก่แล้ว มันเสียดใจยิ่งกว่าคำพูดไหนๆของมัน
"ต๊าย ร้ายกาจ มันเด็กแค่ไหนเชียว"
"ไม่รู้สิแก แกต้องเห็นตอนที่มันอยู่ลับหลังไอ้เรย์นะ มันด่าฉํนไม่มีกลัว แต่พอไอ้เรย์มามันเสแสร้งตอแหลได้ถ้วยมาก"
"จริงเหรอแก เด็กมัธยมเดี๋ยวนี้แรงขนาดนี้เชียวเหรอ"
มันถามเหมือนอย่างกับผมจะรู้ ไม่รู้นะตอนสมัยผมเป็นเด็กมัธยมสื่อต่างๆมันไม่ได้มากขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เด็กมันก็คงเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย อันนั้นไม่ว่ากัน แต่การที่มันหยามหน้าผมนั้น รับไม่ได้เกินจะทน จะยุคไหนสมัยไหนก็ตามเถอะมาหยามกันแบบนี้เจอกันหน่อยสิ
"จะรู้ไหม แต่รู้แค่ว่ามันด่าฉันว่าแก่ เป็นอีแก่หนังเหี่ยวไอ้เรย์มันถึงไม่เอา"
ผมพูดเสียงดังคับแค้นในใจ
"ถ้าฉันเป็นแกนะ แม่จะตบให้หน้าแหกไปเลย ดูซิเด็กมัธยมหน้าใสๆน่ะ มันจะทนมือทนตีนไหม"
"ไม่เหลือหรอกแก แต่มันก็ร้ายนะ"
ผมเล่าทุกอย่างให้เพื่อนรักฟัง ยิ่งเล่ายิ่งโกรธ อีพัทเองก็คอยเสริมอยู่ตลอดเวลา ยิ่งกึ่มๆเหล้าแล้วแหมนะมันอยากจะออกไปฉะมันจริงๆเลย
"แล้วแกว่าถ้าดูหน้าอย่างเดียว ฉันอายุเท่าไหร่ล่ะแก"
ผมถามขึ้น รู้ไหมความมั่นใจที่มีเต็มเปี่ยมอยู่ในตัว มันหายไปเกินครึ่งทีเดียว
"ว้าย อีนาย แกเป็นบ้าหรือเปล่า แค่เด็กปากไม่ดีพูดแค่นี้เสียเซลฟ์เลยเหรอแก"
"ฉันถามจริงๆแก แกว่าฉันแก่ไหม"
ไม่รู้ว่าเพราะสีหน้าท่าทางที่ดูเครียดจริงๆหรือว่าเพราะมันมีความคิดที่ดีกว่าผมก็ไม่ทราบ แต่มันก็ตอบออกมาได้ดี
"นาย แกฟังนะ เด็กนั่นน่ะ สักวันมันก็ต้องอายุเท่าเรา ไม่รู้นะว่าแกจะไม่มั่นใจหรือถูกมันบั่นทอนไป แต่ฉันว่าแกยังดูอ่อนอยู่ ถ้าแกไม่มั่นใจมากขนาดนั้นก็ไม่เห็นยากนี่แก ร้านทำหน้าเยอะแยะไป ไปซื้อคอร์สหน้าใสสักคอร์สสิ รับรองหน้าใสเหมือนเดิม"
ผมเองมีกำลังใจขึ้นมาก รู้ไหมพอกลับมาจากห้องของไอ้เรย์ ผมคอยส่องกระจกดูอยู่ตลอดเวลา เสียความมั่นใจไปมากไหม ไม่รู้นะแต่รู้ว่าเกลียดเด็กคนนั้นหมดทั้งใจแล้ว
"แกจะไปถือสาอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้นล่ะแก ถ้าแกแก่แล้วฉันล่ะ ที่เรียกฉันอีป้าๆอยู่นี่น่ะมันไม่น่าเสียใจกว่าเหรอ"
พออีป้ากลับจากทำงานผมก็กึ่มเต็มที่ อีพัทเองก็แอ่นระแน้อยู่
"แหม แต่นะห่างกันเป็นสิบปีแบบนี้มันน่าจะเกรงใจกันบ้างนะยะ ไม่ใช่มากร่างแบบนี้ เด็กอะไร"
อีพัทเสริมแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นกระดก
"แหมแก ถ้าเด็กมันคิดได้ แกคิดว่ามันจะมานอนกับผู้ชายแบบนี้เหรอ ฉันก็รู้นะว่าเด็กมันเด็ก แต่มันคิดได้แค่นี้แกก็อย่าไปยุ่งกับมันเลย อีกอย่างไอ้เรย์มันก็เลือกแบบนี้เอง น้องมันบรรลุนิติภาวะหรือยังก็ไม่รู้"
"นั่นสิ เด็กมัธยมแบบนั้นจะถึงใจเหรอวะ"
"ถึงไม่ถึง มันก็เขี่ยฉันออกจากมันได้ก็แล้วกันแก"
ผมพูดขึ้นเพื่อนๆเงียบ มองหน้ากัน
"โอ๊ย ช่างมันเถอะ ยิ่งพูดยิ่งคันมืออยากจะตบคน กินเหล้าดีกว่าแก"
ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากจะมาจมกับอะไรที่มันมองไม่เห็นประโยชน์ บั่นทอนหัวใจเปล่าๆ
"เออแก ตอนกลางวันไอ้ช่างฝั่งโน้นมันมาหาเรื่องชั้นอีกแล้วนะ"
ผมเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันให้เพื่อนๆฟัง
"ต๊าย หล่อนนี่ถูกชะตากับพวกนี้เนอะ ทีฉันวิ่งไล่ตามแทบตายไม่เห็นสักหน่อ"
อีพัทพูดขึ้นแล้วหัวเราะ
"คนไหนแก ฉันไปซื้อของบ่อยๆไม่เห็นใครว่าอะไรเลย"
อีป้าบอก
"ไอ้คนตัวโย่งๆ ทรงผมเป็นเหมือนรังนกอ่ะ ท่าทางดูสกปรกๆ"
"ว้ายสเป็กฉัน"
"ใช่สเป็กแก แต่ฉันว่าแกไม่ใช่สเป็กเขาหรอกนะยะ"
"หยาบคาย ฉันไม่สวยตรงไหนยะอีป้า"
"ทุกตรงนั่นล่ะค่า"
"นี่อย่าเพิ่งกัดกันได้ไหมแก นั่นล่ะ แต่วันนี้มันมาคนเดียว"
"คนไหนวะแก"
อีป้าถามอีก แหมอยากจะกรี๊ดใส่ ถ้ารู้จะมานั่งเดาอยู่แบบนี้ไหมเนี่ย
"นี่อีนาย แกเพิ่งจะหัดสูบบุหรี่นะ ทำไมสูบเปลืองจัง"
อีป้าบ่นเพราะผมเองก็เร่งสูบไม่รู้ทำไม พอเมาเหล้าแล้วรู้สึกอยากสูบ พอเริ่มชินก็กระหน่ำสูบ
"อย่าบ่นหน่อยเลยแก ลงไปซื้อหน่อยสิ"
"ค่า เริ่ด"
"ฝากซื้อของกินด้วยนะอีป้า ลูกในท้องฉันหิวแล้ว"
อีพัทได้ที กว่าอีป้าจะออกจากห้องไปได้ก็บ่นร่ายยาวทีเดียวเชียว ส่วนผมกับอีพัทก็นั่งกินเหล้ากันต่อ
"อ้อแก น้องเขาชื่อหลวง เป็นหัวหน้าช่างอยู่โชว์รูมตรงข้ามนี่ล่ะ น้องเขานิสัยดีจะตาย ฉันเคยนั่งกินเบียร์ด้วยบ่อยๆ อายุเพิ่งจะ ๒๕ เองนะแต่เก่งเลยได้เป็นหัวหน้า"
พออีป้าเดินเข้าห้องมาก็สาธยายให้ฟังสีหน้าดูภูมิใจในตัวไอ้นี่มาก มากเสียจนน่าหมั่นไส้
"ต๊าย แสดงว่าเสร็จแกแล้วสิยะอีป้า"
"เสร็จอะไรล่ะ น้องมันมีแฟนเป็นผู้หญิง มันชอบที่ฉันคุยสนุก"
"แล้วทำไมมันมาวอแวฉันล่ะแก"
ผมถามบ้าง
"แกสวยมั้ง"
"อีบ้า สวยแป๊ะอะไรล่ะ มันง้างมือจะต่อยฉันอยู่"
"ไม่หรอกแก เดี๋ยววันหลังจะแนะนำให้รู้จัก"
"คงอยากรู้จักอยู่หรอกนะ"
ผมเบะปากไม่สนใจยกแก้วเหล้ากระดกลงคอต่อ
"แกไม่อยาก ฉันอยาก"
"แหมไวเชียวนะอีพัท หากินตามโรงหนังไม่อิ่มเหรอ"
"ว้าย น่าเกลียด"
ที่ว่าน่าเกลียดนี่คือมันจะเริ่มเล่านะครับ อีพัทเป็นคนที่มีรสนิยมแปลกประหลาดมาก ก่อนหน้านี้มันก็ชอบไปซาวน่า เคยถามเหมือนกันมันบอกว่าไม่อยากไปหากินตามเธคหรือผับ เสียเวลากว่าจะยืนจิกกัน กว่าจะถามชื่อ รำคาญ สู้ไปแหล่งมันเลยชอบคนไหนก็เข้าไปจิ้มเอาคนนั้น ผมถามเหมือนกันว่าถ้าเขาไม่เล่นด้วยล่ะ มันบอกว่าไม่สนใจไม่เล่นด้วยก็หาคนใหม่ เพราะสถานที่อย่างนั้นคนประเภทเดียวกัน มีจุดประสงค์เดียวกันเท่านั้นถึงจะเข้าไป แต่มาตอนนี้มันเบื่อซาวน่าแล้ว มันบอกว่าพอไปบ่อยๆก็ไม่ตื่นเต้น ต้องเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และที่มันเลือกคือโรงหนังที่ฉายหนังวน ผมไม่เคยไปเหมือนกันแต่เห็นมันเล่าแล้วนึกภาพออกทันที นึกถึงสภาพของโรงหนังสักเมื่อตอน ๑๐ หรือ ๒๐ ปีที่แล้วไว้นะครับ ที่ก่อขึ้นเป็นอาคารเดี่ยวมีทางขึ้นเป็นบันไดส่วนมากจะเป็นบันไดสองด้าน ส่วนข้างในโรงหนังก็เหมือนกับโรงหนังในห้างนั่นล่ะครับ แต่มันจะเก่ากว่ามาก เบาะนั่งก็จะอยู่ในสภาพที่ไม่ดี อีพัทเคยเล่าว่าตอนที่มันกำลังทำให้ผู้ชายอยู่มีหนูวิ่งมาไต่ขา ตอนแรกนึกว่าจะมีอีกคนมาร่วมวงด้วยแอบดีใจ แต่พอมันไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ มันกรี๊ดลั่นโรงหนัง แตกสาวผู้ชายหนีไปเลย นึกแล้วยังขำไม่หาย ที่ไปตามโรงหนังแบบนี้เพราะมันก็จะมีกลุ่มของเขาอีกนั่นล่ะครับ คนที่ชอบแนวนี้ไปทำท่านั่งดูหนัง แต่ไม่หรอกคงส่ายตามองหาเหยื่อ อีพัทบอกว่ามีอะไรกันในห้องน้ำก็ได้ หรือพาไปเปิดโรงแรมแถวๆนั้นราคาไม่แพง มันบอกว่าบางคนกล้ามากก็มีกันตรงนั้นเลย แต่มันบอกว่ามันไม่อยากให้ใครมายืนดูตอนมันทำให้ผู้ชาย เพิ่งจะรู้ว่าอีนี่มันก็มียางอายเหมือนกัน มันยังเคยชวนผมนะ แต่ผมไม่มีรสนิยมแบบนั้น หรือว่ามันยังไม่ถึงเวลาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมลางานต่อสองวัน ไม่ดีเลยนะเวลาอกหักแล้วทำให้งานเสีย ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะครับ แต่สภาพตอนนี้มันไม่พร้อมจริงๆ ถ้าไปนั่งจดวาระการประชุมในห้องประชุมแล้วเหม่อๆลอยๆแบบนี้คงโดนไอ้ เอ็ดเวิร์ดด่ายับแน่ นายผมนั่นล่ะครับ ผมจึงบอกว่าไม่สบายเวลาโทรศัพท์ไปลาก็ทำท่าไอนิดหน่อย ทำเสียงแหบๆ แค่นี้ก็ผ่านแล้ว ผมตื่นมาเกือบสิบโมง ได้นอนตื่นสายๆแล้วไม่ต้องมาพะวงว่าไอ้นั่นมันจะใส่ชุดอะไรไปทำงาน รีดเสื้อหรือยัง มันจะเสวยอะไรไหม มันโล่งนะผมว่า ตื่นขึ้นมาแล้วไปชงกาแฟร้อนๆนั่งมองต้นไม้จิบไปเรื่อยๆ มันก็มีความสุขดีนะ
"ใครวะ"
ผมวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเดินเข้าห้องไปฉวยเอาโทรศัพท์มาดูเบอร์
"ใครวะ ไม่มีในรายชื่อ"
ผมไม่รับแต่กำโทรศัพท์ไปที่ระเบียงด้วย นิสัยส่วนตัวผมคือไม่ชอบรับสายแปลกๆ ให้มิสคอลล์มาให้ตายก็ไม่สนใจ เพราะผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าคนที่โทรศัพท์หาผมเขาจะต้องอยากคุยกับผม ในเมื่อเขายิงมา ยิงได้ยิงไป เชิดใส่ แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมมันดังไม่ยอมลง พอไม่รับมันก็โทรฯอยุ่อย่างนั้น ผมจึงกดรับ
"สวัสดีครับ นายพูดสายครับ"
ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษนะ เพราะชินกับการคุยกับเพื่อนทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีนะไทยคำภาษาอังกฤษคำ เพราะถ้าแม่ผมอยู่ด้วยปากผมคงบวมเจ่อไปแล้ว ครอบครัวผมเข้มงวดมากกับเรื่องภาษา ไม่ใช่ข้ออ้างกับการที่ได้ไปเรียนที่โน่นตั้งแต่เล็กแล้วจะมาพูดแบบ เอ่อ นายพูดไทยม่ายค่อยชัด อะไรแบบนี้ ไม่ได้เลยครับแม่ผมคงเอาไม้คนพายตีปากบานแน่ๆ อยู่นอกบ้านจะพูดภาษาเขมรผสมฝรั่งเศษก็ไม่ว่ากัน ผมจึงติดเป็นนิสัยมาถึงเดี๋ยวนี้
"ใช่เหรอวะมึง ทำไมเขาพูดฝรั่งวะ"
เสียงคนในสายเหมือนหันไปถามใครอีกคน
"ว่าไงครับ โทรฯมาหาใคร"
ผมพูดเป็นภาษาไทยแล้ว
"อ้อ อีตุ๊ดแก่ อีแก่ผัวทิ้ง อีทุเรศ อีเชี่ย ฯลฯ"
เอ่อ คือว่านี่มันโทรศัพท์เพื่อมาด่าผมเหรอ ผมอึ้งหน้าร้อนหูชา
"เอ่อ โทรฯผิดหรือเปล่าครับ"
ดูสิ เวลาคนมันอึ้งแล้วนะ จะด่ากลับก็ไม่ด่า
"อีตอแหล อีตุ๊ด อีแก่"
ก่อนที่มันจะพล่ามไปมากกว่านี้ผมกดสายทิ้งทันที แล้วนั่งตัวสั่นอยู่ ร้อนไปทั้งตัวชาไปทั้งหน้า นี่น่ะหรือที่เขาเรียกว่าโดนตบหน้าด้วยคำพูด ผมนั่งนิ่งอยู่นานพอสมควร สักพักก็มีข้อความเข้ามา
"สมน้ำหน้า แก่ๆอย่างมึงหรือจะสู้กูได้ อีตุ๊ดแก่"
ผมไม่อยากจะเปิดอ่านนะ แต่โทรศัพท์ผมเวลามีข้อความเข้ามันจะแสดงข้อความด้วยบางส่วน เห็นแล้ว อ่านแล้ว เจ็บใจอยู่ ผมกัดปากแน่น อดไม่ได้จริงๆที่จะไม่โต้ตอบ
"ขอแสดงความยินดีให้กับคนที่ชอบของเหลือเดน อยากได้เอาไปเลยน้อง พี่กินเบื่อแล้ว ไม่อร่อย"
ผมตอบกลับไปแล้วปิดเสียงโทรศัพท์ ปิดทำไมยังถามตัวเองอยู่ เหมือนว่าผมจะหนีเด็กมัธยมที่ตามระราน แต่ไม่หรอก ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว ไม่อยากให้ไฟราคะมันเผาผมให้มอดไหม้ไปมากกว่านี้ เพราะเวลาเสียงโทรศัพท์มันดังทีไรก็อดไม่ได้ทุกทีที่จะชำเลืองตาไปมอง ผมก็นะเอาโทรศัพท์ถือกลับเข้าห้องไปโยนไว้บนเตียง แล้วออกไปนั่งสูดลมหายใจ เรียกพลังงานคืนกลับมา ผมคงไม่ระรานมันกลับหรอกนะ จบแล้วจบไปเด็กมัธยม ให้ผมไปสู้กับเด็กน่ะเหรอไม่มีทาง เสื่อมอย่างแรง
"ไปทำหน้าดีกว่า"
ผมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ว่าฉันแก่เหรอ ได้ วิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยนี้ทำให้คนหน้าตาดูดีได้ คอยดูนะจะเอาใสให้เห็นเส้นเลือดฝอยเลย แต่ก่อนจะอาบน้ำผมก็ชำเลืองไปมองโทรศัพท์ โอ้ให ให้ตายเถอะ เกือบห้าสิบสายไม่ได้รับ ผมก้มลงไปมองดู อ้อ ไอ้เรย์นั่นเอง มันโทรฯเข้ามาอีกครั้ง
"ว่าไง"
ผมตัดสินใจรับ ไม่รู้สิเผื่อบางทีมันอาจจะคิดอะไรได้ แอบหวังในใจว่ามันอาจะโทรฯกลับมาขอคืนดี
"นาย ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ นิสัยแย่ที่สุด เรื่องระหว่างเรามันจบแล้วนะ มึงจะตามระรานน้องเขาทำไม กูเป็นคนทิ้งมึงเองนะ ขอร้องอย่าทำแบบนี้อีก อย่ายุ่งกับแฟนใหม่ของกูอีก"
ผมอ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย มันใส่มาเป็นชุด
"เดี๋ยว เรย์"
มันวางไปแล้ว โทรฯกลับก็ไม่รับสาย มาด่ากันแบบนี้ได้ยังไง นี่ผมผิดอะไรหรือที่นั่งอยู่บ้านดีๆ แล้วไอ้บ้านั่นก็โทรศัพท์มาด่า มีหน้ายังโทรฯไปฟ้องผัวมันอีก เลวที่สุด เกิดมาไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน ถ้าจะร้ายนับจากนี้ ก็ช่วยไม่ได้นะเพราะมาแหย่ผมเอง เราจะได้เห็นดีกัน ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว ตอนแรกจะไปทำหน้าแต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันคงไม่รู้สินะว่าสมัยนี้เขามีระบบโทรศัพท์ที่ติดตามที่อยู่ได้ ผมเปิดจีพีอาร์เอสตามหาที่อยู่ของเบอร์โทรศัพท์ที่โทรฯมาด่าผม ขับรถออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังสยามสแควส์ทันที
"อ้อ ที่แท้ก็เด็กใจแตกพวกนี้เองเหรอ"
ร้านไอติมในซอยสยามสแควส์ มีกลุ่มเด็กนักเรียนที่รวมกลุ่มกันอยู่ประมาณ สี่คน ผมสวมแว่นตาดำแล้วสางผมให้ปรกหน้านิดหน่อย มันคงจำผมไม่ได้หรอก ผมเดินเข้าไปนั่งอีกมุมพยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
"สะใจว่ะแก หน้าตาพี่เขาเป็นไงอ่ะเบียร์"
คุยกันเสียงดังอีกนะ คงจะสะใจมากที่ด่าผู้ใหญ่อย่างผมได้
"หน้าตาก็งั้นๆล่ะ สู้เราไม่ได้หรอก เออนี่ วันนี้ พี่ต้อมแข่งบอลนี่ไปดูไหม"
"ไหนแกบอกนัดเฮียแกไว้ไม่ใช่เหรอ"
"นัดได้ก็เลื่อนได้ เฮียน่ะ ของตายโว้ย แต่พี่ต้อมน่ะตัวจริง"
"ร้ายนะแก สวยเลือกได้เนอะ"
"แน่นอน นี่ห้าจี เป็นไง เฮียเขาเพิ่งถอยให้"
ผมได้แต่ปลง ตอนนี้รู้สึกสมเพชเวทนาไอ้เรย์มันเหลือเกิน มันจะรู้ไหมนะว่าเด็กที่มันคบอยู่กำลังสวมเขาให้มันอยู่ เหมือนอย่างที่มันทำกับผมไว้ สมน้ำหน้า ชอบนักไม่ใช่เหรอเด็กน่ะ แต่ไม่หรอก จะให้มันเห็นผลของการที่มากระตุกหนวดเสืออย่างนายพลว่ามันเป็นยังไง แบบนี้มันง่ายไป อย่าให้ผมร้ายกลับก็แล้วกัน คอยดู