“ยัยอร พี่ธีร์หายไปไหนแล้ว” ทิพลดาสะกิดแขนเอมอรให้มองไปตามทิศทางที่เธอชี้บอก
“เออ มานั่งตั้งแต่เมื่อไร่” เอมอรที่เพิ่งละสายตาจากอาหารที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถามเพื่อน
“อ้าว ...เมื่อกี้แกไม่เห็นใช่ปะ”
“นั่นไงพี่ธีร์ของแก” เอมอรพยักหน้าไปทางด้านนอกเต็นท์อำเภอที่คนกำลังสัญจรเดินไปมา
ทิพลดามองตามไปก็เห็นนุชจรี หรือ พี่นี ญาติสาวห่างๆ ของเธอที่เมื่อสักครู่ยังเห็นยืนแสดงบทคนรักกับเสี่ยเดชอยู่สวนลีลาวดีหลังเวที พอตอนนี้กลับมายืนคุยอยู่กับธีรกรอย่างถือสนิทกัน เห็นสองคนยืนคุยกัน ไม่ใช่สิ เป็นฝ่ายหญิงที่ชวนคุยซะมากกว่า ส่วนฝ่ายชายเพียงแต่พยักหน้าและอมยิ้มน้อย ๆ เธออดเหน็บธีรกรไม่ได้
‘ก็ยิ้มเป็นนี่นา นึกว่าจะหน้าตายสนิท’
ทิพลดาลากขาตัวเองกลับหอพัก วันนี้เธอเหมือนหมดสิ้นพลังงานของชีวิตขอกลับไปชาร์จแบตตัวเองด้วยการอาบน้ำกินอิ่มๆ นอนพักผ่อนหลับยาวๆ ไปจนถึงเช้าพรุ่งนี้เลย
“ทิพเพื่อนรักกลับมาแล้วเหรอ” ถ้าเมื่อไร่ที่เธอกลายเป็นเพื่อนรักของเอมอร เมื่อนั้น คือ งานเข้า
“มีไรยัยอร วันนี้ฉันเข้าเวรนอนยาวถึงเช้า ขอร้องห้ามรบกวน” เธอรีบชิงตัดสัมพันธ์กับเพื่อนก่อนที่เธอจะไม่ได้พักยาวๆ อย่างที่วาดฝันไว้
“เดี๋ยวค่อยนอนน่าเพื่อน พรุ่งนี้แกหยุดฉันดูตารางเวรมาแล้ว ฉะนั้นเย็นนี้แกต้องไปธุระกับฉันก่อนนะ.. เพื่อนขอร้อง” เอมอรพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับเพื่อนอย่างต้องการความช่วยเหลือ
“ว่ามา”
“หญิงแม่ของฉันสั่งให้ไปร่วมงานแต่ง แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย” เอมอรพูดพร้อมกับส่งสายตาขอร้องมา
“ฉันจะนอน” เธอตัดบท เพราะเบื่อที่จะไปร่วมงานของคนไม่รู้จัก ขี้เกียจปั้นหน้ายิ้ม ทักทายคนอื่น ต้องรักษามารยาท โดยรวมทั้งหมด คือ เสียเวลานอนของเธอ
“นะแกนะ....งานนี้ฉันต้องไปคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักใคร แต่ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะบ้านนี้เค้าเป็นคู่ค้าของที่บ้าน นี่ถ้าแม่ฉันว่างไปเอง ฉันก็ไม่ต้องเดือดร้อน ช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อย”
“ยัยอรแกนี่ชอบขัดแผนความสุขของฉันตลอดเลย...ไปกี่โมง??” แล้วเธอก็ใจอ่อนยอมไปเป็นเพื่อน
“อีกครึ่งชั่วโมงไปแต่งหน้าทำผมกัน”
“แต่งเองก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเสียตังค์ด้วย”
“ไม่ได้ๆ งานนี้งานใหญ่มีแต่ระดับบิ๊ก ๆ ของจังหวัด ยังไงก็ต้องสวยไว้ก่อน เราอาจจะเจอผู้ที่ต้องตาต้องใจ”
“หึ ขอให้แกได้แล้วก็ลงจากคานทองอันผุ ๆ ของแกซักทีเถอะ”
พวกเธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม ที่เนรมิตให้เป็นห้องจัดเลี้ยงงานพิธีฉลองมงคลสมรสของคนดังในจังหวัด ตั้งแต่ทางเดินเข้างานก็ตกแต่งซุ้มดอกไม้สวยงาม
ระหว่างทางเดินก็จะเป็นรูปคู่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว จัดเป็นบล็อกใส่กรอบสีตามธีมงานที่เน้นเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ประดับประดาด้วยดอกไม้ จนถึงจุดที่จัดไว้ให้ถ่ายรูปคู่กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว พวกเธอเดินเข้าไปลงทะเบียนแล้วก็เข้าไปด้านใน
พอต้องยืนมองหาโต๊ะที่จะนั่งก็รู้สึกเกร็งๆ เนื่องจากเป็นงานใหญ่และแขกค่อนข้างมาเยอะแล้ว สักพักก็มีญาติของฝั่งเจ้าสาวมาสอบถามพวกเธอ ก่อนจะพาไปนั่งโต๊ะที่จัดไว้ให้เรียบร้อย
เนื่องจากพวกเธอมาเป็นตัวแทนแม่ของเอมอรจึงจัดที่นั่งให้ ในกลุ่มของคู่ค้าคนสำคัญด้วยกัน พอไปถึงที่โต๊ะก็มีคนนั่งอยู่แล้วสามคน พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองมายังพวกเธอ
“คุณป้าอุทุมพร” เธอเบิกตากว้างและเรียกชื่อออกมาอย่างตื่นตกใจ ก่อนที่จะยกมือทำความเคารพพร้อมกับเอมอร
“สวัสดีจ้า นี่คือ...”
“หนูทิพลดาลูกแม่กาญจนาค่ะ” เธอแนะนำตัวกับหญิงสูงวัย ที่เพ่งมองมายังพวกเธออย่างกำลังนึกว่าเธอเป็นใคร
“หนูทิพเหรอเนี่ย มา ๆ ลูกมานั่งข้างป้านี่” อุทุมพรแตะแขนทิพลดาพร้อมกับบอกให้นั่งลงฝั่งขวามือของตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ” เธอนั่งลงพร้อมกับเอมอรที่นั่งถัดไป
“ไม่ได้เจอกันนาน โตเป็นสาวสวยป้าก็เลยจำไม่ได้ วันนี้ป้ามากับลูกชายคนโต หนูจำพี่ธีร์เค้าได้ไหมลูก แต่ก่อนที่หนูติดพี่เค้าชอบมาหาพี่เค้าที่บ้านบ่อย ๆ”
“เอ่อ จำได้ค่ะ” ทิพลดาได้แต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้ เมื่ออุทุมพรพูดถึงความหลังที่น่าอายของเธอ
แต่ก่อนเธอชอบธีรกรมาก เวลาเลิกเรียนก็ต้องรอกลับบ้านด้วย วันหยุดก็ไปหา อยากกินข้าวบ้านพี่ธีร์ จนเขาเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่ได้ไปอีก จึงเริ่มห่าง ๆ กัน พอมีคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอก็รู้สึกอายที่สมัยก่อนเธอ ช่างเป็นไปได้
“วันนี้พี่เขาก็มานะลูก ไม่ได้เจอกันนานหนูจะจำพี่เขาได้ไหม”
อุทุมพรพูดถึงลูกชายคนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำงานของกิจการครอบครัว ด้วยใบหน้ายิ้ม ภาคภูมิใจในตัวธีรกร
ซึ่งเรื่องงานเก่ง แต่พอเรื่องส่วนตัวทำให้อุทุมพรกลุ้มใจ เพราะปัจจุบันชายหนุ่มก็ยังไม่มีครอบครัว ตั้งแต่เลิกรากับแพรวดาวแฟนสาวของเขาเมื่อสองปีก่อน ก็ไม่มีใครเป็นตัวตน เห็นควงไปควงมาแป๊บ ๆ ก็เปลี่ยนหน้าเรื่อย ๆ
อุทุมพรเริ่มคิดที่จะหาทางจับคู่ให้กับลูกชาย แต่ลูกชายเหมือนนกรู้ เมื่อไร่ที่อุทุมพรเชิญบรรดาเพื่อนๆ พร้อมลูกสาวมากินข้าวที่บ้าน ธีรกรก็จะมีงานด่วนต้องค้างที่ทำงานบ้าง หรือไม่ก็ไปต่างจังหวัด
พอเห็นทิพลดาลูกสาวเพื่อนก็เริ่มมีความคิดที่จะหาคู่ให้ลูกชายอีก คนนี้อาจจะมีหวังเพราะสมัยเด็กเคยรู้จักและสนิทกันมาก่อน ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันมานาน
ธีรกรกำลังเดินเข้าไปในงาน หลังจากที่โทรสั่งงานลูกน้องเสร็จแล้ว การทำธุรกิจของเขาเป็นสีขาวก็จริง แต่เบื้องหลังก็เป็นสีเทาๆ บ้าง เพราะต้องมีเขี้ยวเล็บไว้ต่อกรกับพวกเล่นไม่ซื่อ ขณะที่เขากำลังเดินผ่านมีคนส่งเสียงทักเลยหันกลับไปมอง
“สวัสดีครับคุณธีรกร” เดชณรงค์ พิพัฒน์มงคล หรือ เสี่ยเดช ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบต้นๆ หน้าเหลี่ยม ไว้หนวด รูปร่างสูงใหญ่ แต่ยังดูหนุ่มกว่าอายุจริงมาก
เอ่ยทักทายและส่งสายตามองมาที่ ธีรกร มีความท้าทายแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น แต่ใบหน้ากลับส่งยิ้มมาเหมือนผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง