เ(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2)
EPISODE 8
[ไปคุยกันหน่อย]
ณ สนามแข่ง RVB เขต ริเวอร์เบย์
ว่ากันว่าพอเราเรียนรู้สิ่งหนึ่งมากขึ้นก็จะทำให้เราเข้าใจสิ่งนั้นได้ง่ายและละเอียดถี่ถ้วนขึ้น สำหรับฉันพี่ภารัณก็เช่นกัน ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นก็ทำให้ฉันรู้จักตัวตนของเขามากขึ้น
ฉันขยับยิ้มจาง ๆ เมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของเขากระดิกส่งสัญญาณให้กับพวกพี่เดี่ยว เพียงแค่นั้นทั้งสองคนก็หันมองตากัน ก่อนที่พี่บาสจะเป็นฝ่ายเปิดก่อน
“จริงสิบีจ๋าตอนพี่ไปซื้อกาแฟพี่น่ะ…”
“พะแนงหมดสนุกแล้วค่ะ ท่าทางคุณม๊าก็คงจะไม่กลับมาที่นี่แล้วด้วย พี่เดี่ยวรบกวนไปส่งพวกเราสามคนที่มอได้ไหมคะ ยัยวาจะได้ไปเอารถด้วย”
ฉันพูดขึ้นโดยไม่คิดจะรอฟังอุบายของพี่บาส ที่หันไปมองหน้าพี่ภารัณทันที
“อ่าว! คนสวยจะกลับเลยเหรอ” พี่บาสพึมพำ แล้วยิ้มเจื่อนให้ฉัน ที่ฉันดันรู้ทันมุกช่วยเพื่อนของเขา
“พี่ไปส่ง” พี่ภารัณพูดขึ้น รั้งไหล่พี่เดี่ยวที่ทำท่าจะพูดอะไรอีกคน เขาคงรู้สินะว่าการขอความช่วยเหลือครั้งนี้ได้ล้มเหลวแล้ว
“ไม่ไปดูรถต่อเหรอคะ” ฉันย้อนถาม
“ทำไมงอนนาน” พอฉันว่าไปแบบนั้น เขาก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ และคำพูดของพี่ภารัณก็ทำให้พวกเด็กเฉพาะช่างที่เพิ่งมาถึงได้แต่มองมาที่ฉันอย่างหาคำตอบ
“ไอ้สองบรรยากาศมาคุเหรอวะ ทำไมคนสวยไซโคเฮียขนาดนั้น” ต้นป้องปากกระซิบเสียงดัง
“มึงไม่ต้องป้องปากก็ได้มั้ง ถ้าจะพูดดังขนาดนั้น” บิวว่า แล้วส่ายหน้าอย่างระอาต้น
“ก็กูอยากเสือก ใครก็ได้ตอนนี้ เล่าให้กูฟังที” ต้นหันไปตอบเพื่อน
“น้องแนนนี่เป็นเหตุสังเกตได้” สองพึมพำ
“แนนนี่ตัวท็อปริเวอร์เบย์เหรอวะ กูเหมือนเห็นเดินอยู่ฝั่งทีมดาวน์ทาวน์แว๊บ ๆ” ริวกระซิบถามเพื่อน ซึ่งเสียงก็ดังไม่ต่างกันนัก
“พวกมึงไม่มีที่จะไป?” สุดท้ายพี่ภารัณก็หันไปส่งเสียงขุ่นใส่รุ่นน้องของเขา ที่พยายามจะจุดไฟให้ฉัน
“บ้า! ที่เยอะแยะ พวกผมกำลังจะไปเลยเนี่ย” ต๊อดโพล่งขึ้นทันที
“ใช่เลยเฮีย พวกผมจะไปดูพวกเฮียโซ่พอดี ไอ้สองเนี่ยแหละมัวแต่ถ่วง” บิวว่าสมทบก่อนจะลากแขนเพื่อน ๆ ออกจากเต้นท์ไป เพราะคงเห็นพี่ภารัณเริ่มหงุดหงิดแล้วจริง ๆ
“งั้นพี่ว่าพวกเราก็กลับกันเลยเนอะ พะแนงก็ให้ไอ้รันไปส่งแล้วกัน พี่ก็จะพาเอวากลับไปเอารถ”
พี่เดี่ยวรีบตัดบทส่งฉันใส่พานให้เพื่อนเขาทันที ส่วนฉันก็ได้แต่ช้อนสายตามองหน้าเจ้าของเส้นผมสีเทาควันบุหรี่ที่มองมายังฉันนิ่ง
“ไปสิคะ” ฉันว่า ทำให้พี่ภารัณรีบเข้ามาคว้ากระเป๋าของฉันไปถือ ก่อนหันไปพยักหน้าให้เอวาและบีบีเป็นเชิงรู้กันว่าจะแยกกันไป
พี่ภารัณเดินถือถุงขนมถุงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าซื้ออะไรมาบ้าง และกระเป๋าสะพายของฉันไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกลจากจุดตั้งเต้นท์ของทีมเขตนัก
ระหว่างนั้นฉันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มของผู้หญิงที่ชื่อแนนนี่อะไรนั่น ที่เดินออกมาจากสนามแข่งเช่นกัน
และรถของพวกเธอก็จอดถัดไปจากรถของพี่ภารัณแค่สองสามคันเท่านั้น พอเธอหันมาเจอฉัน ก็พากันหยุดยืนมองทันที นั่นทำให้ฉันปรายหางตาไปมองต้นเรื่องที่ยังคงไม่รู้ว่าสาว ๆ ของเขาอยู่แถวนี้ด้วย
“พี่รัน! พะแนงร้อนค่ะ” ฉันหยุดฝีเท้าลง แล้วส่งเสียงบอกพี่ภารัณที่กำลังล้วงเอากุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกง
“ถอดดิ” เขาพึมพำ เปิดประตูห้องโดยสารเพื่อเอากระเป๋ากับถุงขนมเก็บ ฉันเลยรูดซิปถอดเสื้อแจ็คเก็ตของพี่ภารัณออก และส่งมันคืนให้เจ้าตัว
“...”
หมับ!
“โอ๊ะ! พี่จะทำอะไร” ฉันแสร้งส่งเสียงตกใจ เมื่อพี่ภารัณหันกลับมามอง แล้วจู่ ๆ เขาก็รั้งเอวฉันเข้าไปใกล้
“ทำไมติดไม่หมด” เขาถามขึ้น สายตาคมหลุบมองกระดุมเม็ดบนสุดที่ปลดอ้าออกจนเห็นเนินอกของฉันที่มีรอยคิสมาร์คของเขาปรากฏอยู่
“พะแนงคงรีบไปหน่อยคะ พี่ช่วยติดให้พะแนงหน่อยได้ไหม”
ฉันถามแล้วช้อนสายตาขึ้นมองสบตาเขา ที่ขยับยิ้มจาง ๆ ให้เห็น
“ถนัดถอด ไม่ถนัดติด” เขาว่าน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยกมือขึ้นมาติดกระดุมเสื้อให้ฉัน ขณะนั้นฉันก็เห็นว่าสายตาของพี่ภารัณได้เหลือบมองเลยไปทางด้านหลัง ภาพที่สะท้อนในแววตาคู่คมของเขา คือกลุ่มของหญิงสาวจากริเวอร์เบย์ นั่นทำให้ฉันยกยิ้มน้อย
“โอ๊ะ! ท่าทางจะหัวเสียน่าดู” ฉันพึมพำ แล้ววาดปลายนิ้วไปตามลอนกล้ามท้องของเขาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเข้ม
“ร้ายนะ” เขาว่า หลุบสายตามามองหน้าฉันนิ่ง
“เปลี่ยนใจยังทันนะ พะแนงไม่บังคับ” ฉันตอบอย่างคนใจกล้า มองสบตากับพี่ภารัณนิ่ง ทำให้เขาดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้มราวคนไม่พอใจขึ้นมา
“พูดไม่เข้าหู” พี่ภารัณว่าเสียงขุ่นลอดไรฟัน แล้วเปลี่ยนมารั้งข้อมือฉันให้เข้ามานั่งในรถ ส่วนเขาที่พาตัวเองมานั่งประจำอยู่ที่หลังพวงมาลัย ก็จัดการสตาร์ทรถ แล้วพาฉันออกจากสนามแข่ง โดยไม่พูดจาอะไรอีก
ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเขาหงุดหงิด เพราะเดาออกว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องระหว่างเรา และรู้ด้วยว่าการพูดออกไปแบบนั้น อาจจะทำร้ายความรู้สึกพี่ภารัณได้เช่นกัน
แต่นั่นก็เพราะฉันต้องการให้เขารู้ว่า ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เฉย ๆ หรือรอให้เขาเป็นฝ่ายจากไปก่อน ฉันเองก็เป็นฝ่ายที่สามารถเลือกได้เช่นกัน
ณ เขต MDL
ท้องถนนในช่วงหัวค่ำ ที่การจราจรในเขตเมืองยังคงคลาคล่ำไปด้วยยวดยานมากมาย ไฟสัญญาณจราจรสีแดงที่ด้านบนกำลังขึ้นตัวเลขสีเขียวนับถอยหลังบ่งบอกว่าอีกไม่นานเราจะได้หลุดพ้นจากเส้นทางแน่นขนัดสายนี้แล้ว
ความเย็นของแอร์ที่เป่ารดลงบนผิวกาย ทำให้ฉันยกมือขึ้นลูบขนแขนตัวเองที่ลุกชัน
“ใส่ไว้” พี่ภารัณที่เอี้ยวตัวกลับไปหยิบเสื้อมาส่งให้ ยังคงตีสีหน้านิ่งเรียบใส่ฉันไม่เปลี่ยน ท่าทางเขาจะหงุดหงิดไม่หายแฮะ
และเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาก็ตีไฟเลี้ยวซ้ายทันที
“ทำไมพี่ไม่ไปส่งพะแนง” ฉันถามขึ้น เพราะเส้นทางนี้มันเป็นเส้นทางที่จะไปคอนโดฯของเขาชัด ๆ
“ไปคุยกันหน่อย” เขาเสียงขุ่น ไม่หันมามองกันแม้แต่น้อย
“พะแนงอยากกลับบ้านแล้ว”
ฉันแย้ง ทำให้พี่ภารัณเหยียบคันเร่งแซงรถสิบแปดล้อคันข้างหน้าอย่างหวาดเสียว ทำฉันถึงกับกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น เมื่อเขาเอาแต่ขับปาดซ้ายปาดขวาแซงรถชาวบ้าน จนได้ยินเสียงแตรที่บีบไล่หลังมา
“...”
“พี่รัน! นี่ต้องเหยียบขนาดนี้เลยเหรอ มันอันตรายนะ!” ฉันหันไปต่อว่าเขา แต่เขากลับเร่งเครื่องเร็วกว่าเดิม นี่ทำใส่กันสินะ! คนบ้านี่คิดจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม
“...”
“ไอ้พี่รัน! ขับช้า ๆ เลยนะ ว้าย! พี่ไปเบียดรถคันนั้นทำไมมันอันตรายนะ ถ้าเขาตกใจจนเสียหลักขึ้นมาล่ะ”
ฉันส่งเสียงโวยวายอีกครั้งเมื่อเขาเร่งเครื่องไปเบียดกับรถบรรทุกอีกแล้ว
“ไหนว่ารีบกลับ เร่งให้แล้วนี่ไง” เขาพูดเสียงเรียบ ปรายหางตามามองฉันแวบหนึ่ง
“ได้! พะแนงไปก็ได้ แต่พี่ขับช้า ๆ ได้ไหม พะแนงจะหัวใจวายตายแล้วเนี่ย” ฉันบอกเขา และเห็นว่ามุมปากบางสวยของพี่ภารัณกระตุกยิ้มน้อยราวพอใจที่ฉันบอกว่าจะไปกับเขา เชื่อเลย! อีตาผู้ชายหน้ามึนนี่
ไม่นานพี่ภารัณก็ขับรถวนขึ้นมาจอดที่ลานจอดชั้นบนของคอนโดฯ ซึ่งฉันไม่เคยรู้เลยว่าคอนโดฯนี้มีชั้นจอดพิเศษด้วย มันแบ่งเป็นช่องคล้ายโรงรถที่มีประตูม้วนเปิดปิดอัตโนมัติ
รถยนต์ของพี่ภารัณที่แล่นเข้ามาจอดในช่องจอดวีไอพี หลังจากเขากดรีโมทเปิดประตู ไม่ได้ถูกเจ้าตัวดับเครื่องยนต์แต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำคือหันไปกดรีโมทปิดประตูโรงรถ และกดเปิดไฟที่มีเพียงดวงเดียว นั่นทำให้ฉันอดถามเขาไม่ได้
“พี่ปิดประตูทำไมคะ แล้วมองหน้าพะแนงแบบนั้นหมายความว่าไง พี่มีความผิดอยู่นะ” ฉันละล่ำละลักพูด เมื่อรู้สึกว่ากราฟความปลอดภัยของตัวเองมันดิ่งลงทุกที ๆ
“ไม่เชื่อไม่ใช่ มานี่มา…เดี๋ยวบอกให้” พี่ภารัณพูดขึ้นพร้อมตบมือลงบนหน้าขาของตัวเอง แต่ท่าทางนั้นมัน…
“บอกตรงนี้ก็ได้ ทำไมต้องไปตรงนั้นด้วย” ฉันแย้ง แล้วเหลือบมองไปยังรีโมทประตูโรงรถ แต่พี่ภารัณก็ตาไวไม่น้อย เพราะเขาจัดการเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“มานี่มา” เขาบอกย้ำ สายตาคู่คมที่มองมายังฉันนิ่ง ทำให้ฉันเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องแล้วสิ
“พี่ทำพะแนงอารมณ์ไม่ดีนะ” ฉันเตือนเขา จู่ ๆ ทำไมเกมพลิกได้ล่ะเนี่ย
“อารมณ์ไม่ดียังไงไหนมาบอกตรงนี้” พี่ภารัณว่าเสียงเรียบ
นี่ฉันลืมไปได้ยังไง ว่าเขาชอบตอบคำถามฉันด้วยวิธีไหน บ้าจริง!