เรือสำราญ 2

1477 Words
เธออยู่ในอาการรีบร้อนวิ่งไปพลางใส่ตุ้มหูไป เขย่งเท้าสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงแปร๊ดไปด้วย ร่างสวยน่ารักในชุดโดดเด่น ชนชายหนุ่มสง่าเข้าจังๆ ส่งผลให้โทรศัพท์ในมือเขาที่ยังไม่ได้กดรับ กระเด็นตกไปอีกทาง ด้วยความโมโหที่ถูกชนอย่างไร้มารยาท ตั้งใจเอาเรื่องกับคนชนเต็มที่ หวังจะได้สั่งสอนให้รู้สำนึกซะบ้าง การไร้มารยาทกับเขามันเป็นอย่างไร หนำซ้ำบนเรือด้วย แขกเหรื่อเยอะแยะ กล้าทำเสียมารยาทกับเขาได้อย่างไร “อุ้ย...ขอโทษค่ะ” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากต่อว่าเธอสักคำ เสียงหวานขอโทษด้วยอาการรีบร้อนพูดกับเขา พูดไปก็ยังวิ่ง สาวกี่เพ้าคนนั้นทั้งวิ่งทั้งสวมรองเท้าเหมือนจะหลุด เล่ยฟานมองสาวผู้รีบร้อน สวมชุดกี่เพ้าสีสด หาคำต่อว่าไม่เจอ ได้แต่อ้าปากค้างเท่านั้น “เรียกว่าชนแล้วหนีสิแบบนี้เจ้านาย” เทียนลู่กล่าว สายตามองไปทางแม่นางหุ่นนาฬิกาทรายในชุดกี่เพ้า อย่างน่าทึ่ง ผู้หญิงบ้าอะไรหุ่นดีเป็นบ้า “เก็บโทรศัพท์ให้ฉันซิ” เล่ยฟานสั่งลูกน้อง ขณะยังมองไม่วางจาไปทางที่หญิงสาวนักซิ่งชนแล้วหนี เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางนั้น “เธอเป็นใคร” ซุ่มซ่ามแต่ดันน่ารัก “อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ บางทีอาจเป็นหนึ่งในสาวสวย ที่พ่อแม่ของเจ้านาย คัดสรรค์มาก็ได้นะครับ” สวยออกอย่างนี้แถมหุ่นดีอีกต่างหาก “ซุ่มซ่ามไม่มีมารยาท ต่อให้สวยเท่าเจ้าหญิง เด่นอย่างนางงาม ฉันไม่มีทางเลือก” “อย่าตำหนิคนโดยไม่รู้จักคนคนนี้ดีพอนะครับ ระวังจะได้แบบที่ตัวเองตำหนิ” บอดี้การ์ดช่างเตือนอย่างมีเหตุผล “หล่อเนี๊ยบเฉียบคม หวานละลายอย่างฉันเลือกได้ ทำไมต้องเลือกยายม้าดีดนั้นด้วย” พูดแล้วพลางก้าวไปหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้เท้ามังกรจัดไว้สำหรับเขา รวมไปถึงบิดาและมารดาของเขาที่ยังเดินทางมาไม่ถึง “อ้อ...ลืมเลยใครโทร.มาเมื่อกี้” เกือบลืมไปว่าใครที่โทร.เข้าเครื่องเขาเมื่อกี้ เพราะยังไม่ทันได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำ ดันโดนสาวซุ่มซ่ามชนเข้าซะก่อน เทียนลู่กดดูสายที่ค้างในโทรศัพท์ จึงพบว่านายเหนือหัว คือบิดาของของเจ้านายเอง เจ้าของสายเมื่อกี้ เขาส่งโทรศัพท์คืนเจ้านาย โทรศัพท์ในมือดังสวนขึ้นพอดี เล่ยฟานรีบดึงคืนไปกดรับ เกรงบิดาจะโกรธที่เขาไม่รับสาย พานจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ ถึงลู่ซานตงผู้เป็นบิดาจะอายุมากแล้ว ความดุยังคงไม่ลดลงตามวัยชรา อารมณ์เดือดไม่ต่างจากวัยรุ่นเลย ท่านทำงานเยอะมีเรื่องกวนใจมาก การมีเขาเข้ามาบริหารงานในธุรกิจ จึงเป็นการช่วยลดความเครียดได้ส่วนหนึ่ง “ครับป๋า” เล่ยฟาน หรือ สตีฟ หวัง กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ สำเนียงนอบน้อมกับป๋าของเขา “ถึงเรือหรือยังอาเล่ย” บิดาของเล่ยฟาน ชอบเรียกบุตรชายว่าอาเล่ย ต่างจากสังคมธุรกิจ มักเรียกมิสเตอร์สตีฟ “ครับป๋า...ผมอยู่ในห้องจัดงานแล้ว” เขาบอกบิดา “ดี...แค่นี้ล่ะ” ลู่ซานตงตัดสายจากบุตรชายง่ายๆ หันกลับไปยิ้มกับภรรยาคนสวย ที่มีความอ่อนช้อยในแบบสตรีจีนที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีเยี่ยม “ไปกันเถอะอาเหยียน” “ค่ะเฮีย” โม่ยเหยียนตอบรับสามี คล้องแขนสอดลำแขนในชุดหนุ่มจีนผ่าข้างยาวคลุมเข่า ลู่ซานตงชอบใส่ชุดแบบนี้ ไม่เคยพิสมัยชุดสูทสากลนิยม แต่งตัวราวกับเจ้าพ่อเชี่ยงไฮ้ จนกลายเป็นภาพชินตาคนรอบข้าง พ่อลูกคู่นี่ถ้าอีกคนเป็นเจ้าพ่อเชี่ยงไฮ้ ลูกคงเป็นเจ้าพ่อฮ่องกง เพราะเล่ยฟานชอบแต่งตัวชุดสูทสากล เล่ยฟานหล่อถอดแบบบิดามา ไม่ว่าหน้าตา ความสูง ความสง่าผ่าเผย “เธอคือผิงผิงสินะ” เสียงเข้มของผู้จัดงาน ที่เป็นคนติดต่อคาเฟ่ชื่อดังของฮ่องกง เอ่ยถามสาวเจ้าในชุดกี่เพ้าที่รีบร้อน วิ่งกระหือดกระหอบมา ราวกับหนี้ไฟไหม้มาถึงหลังเวที มีการเตรียมจัดคิวการแสดงกันอยู่ ทั้งที่ถูกถาม สาวเจ้ากลับนิ่งเอาแต่จัดโน่นจัดนี่บนตัวไม่ยอมหยุด ราวกับเกรงว่าตับไตไส้พุงจะหายตอนวิ่งขึ้นมาบนเรือ “นี่เธอ ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เมื่ออีกฝ่ายที่ถูกถามไม่ตอบเสียงแม่เลขาผู้คล่องงาน เสียงสูงถามอีกครั้ง “เอ่อ...ถามฉันหรือคะ” หญิงสาวชี้เข้าตัว แล้วถามกลับไปด้วยภาษาจีนกลาง “แล้วหล่อนใช่นักร้องชื่อผิงผิง ถูกส่งตัวมาจาก ควีน ออฟ สตาร์ คาเฟ่หรือเปล่าล่ะ ถ้าใช่ฉันก็ถามหล่อน แต่ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของหล่อนไสหัวไปซะ” เลขาชิงอัน หรือเลขาชิงที่เจ้านายและคนอื่นๆ เรียกติดปาก สาววัยสามสิบสวมแว่นกรอบดำ นิสัยปากกล้าท้าทายกับพวกไร้กฎระเบียบไม่รู้เวลา เช่นแม่นักร้องหุ่นดีสวยคม โฉบเฉี่ยว แค่มองเสี้ยวแรกผู้หญิงด้วยกันถึงอ้าปากค้าง นักร้องสาวคนนี้สวยมาก พระจันทร์ดวงเด่นบนท้องฟ้า ในยามราตรียังมิเทียบเคียง เลขาชิงอันแอบคิดริษยาอยู่ในใจ “ผิง...ผิง” สาวชุดกี่เพ้าพยายามนึก “อ้อ...ผิงผิงฉันเองค่ะ” เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบตอบรับผู้หญิงเนี๊ยบตรงหน้า หล่อนตีสีหน้าวางบุคลิกราวกับครูระเบียบ เจ้าหล่อนขยับแว่นมองลอดมายังนักร้องสาวหาวพราวสะพรั่ง “ถ้าใช่ งั้นก็เตรียมตัวขึ้นร้องเพลงตามคิวซะ” เลขาชิงยัดกระดาษคิวการแสดงให้กับหญิงสาว แล้วเดินไปจัดคิวให้กับสาวๆ ที่จะขึ้นเดินเวทีเพื่อให้เลยฟานเลือกต่อไป ผิงผิงมองไปรอบๆ ถึงกับต้องสบถอยู่ในใจ...ให้ตายนี่มันงานประกวดนางงามหรืองานเดินแบบสินค้าชื่อดังกันแน่ ผู้หญิงสวยๆ ทั้งนั้น แต่งตัวด้วยชุดราตรีหรูหรา แพรวพราวยืนรอเต็มหลังเวที เธอชี้นิ้วนับจำนวนสาวงามเรียกว่างามมาก ทุกคน จัดเต็มเสื้อผ้าหน้าผม กิริยาท่าทางอ่อนช้อย นับแล้วยี่สิบนาง อยู่ในเสื้อผ้าหลากสีแต่เน้นความดูดีมีระดับ จากนั้นนักร้องสาวจึงถือกระดาษติดมือ ไปหย่อนก้นลงนั่งตรงเก้าอี้หุ้มด้วยผ้าสีขาวผูกโบว์ไว้ด้านหลังพนักพิง “ผิงผิง” เสียงเรียกเบาๆ จากมุมหนึ่ง เรียกสายตาที่กำลังอ่านคิวการแสดงอยู่ในมือ ก่อนมาที่นี่ไม่รู้อะไรเลยนอกจาก คำสั่งให้มาอยู่บนเรือสำราญใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งกว่าเรือไททานิก ชู้รักเรือล่มซะอีก หญิงสาวมองหาที่มาของเสียง และบอกตามตรงยังไม่คุ้นกับชื่อใหม่ที่ถูกใครบางตั้งให้เลยจริงๆ “ผู้กองอัคคี” เธอเอ่ยเรียกคนที่ขานเรียกเธอว่าผิงผิง “ชู้ว...เรียกวิลเลี่ยมสิ เรากำลังทำงานอยู่นะ” ฝ่ายชายที่ชื่ออัคคีแต่บอกให้สาวเจ้าเรียกวิลเลียม ยกนิ้วจุ๊ปากเพื่อเตือนให้หญิงสาวระวังการเรียกชื่อ พวกเขาขึ้นเรือมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเที่ยว หรือทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอาหารบนเรือเท่านั้น แต่การทำงานค่อนข้างลึกล้ำกว่านั้น จึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ “วิล...เลี่ยมเนี่ยนะ” คิดได้ไงชื่อนี้ไม่เตรียมกันมาก่อน โอ้ย บ้าบอ หญิงสาวโอดครวญอยู่ในใจ คำบ่นนั้นส่อออกมาทางแววตา ชื่อในการปฏิบัติภารกิจซะเก่าแก่ยุคคุณปู่วัยดิสโก้เชียว “ใช่สิ...ว่าแต่มัวทำอะไรอยู่เพิ่งมาถึงนี่นะ” พนักงานแผนกดินนิ่งรูม (Dining Room) อย่าง อะ...วิลเลี่ยมชื่อที่เพิ่งตั้งไม่ถึงสามชั่วโมง ก่อนเดินทางมาขึ้นเรือด้วยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไม่เร่งด่วนก็เหมือนเร่ง เพราะเมื่อทราบข่าวกรองแน่นอน เขาและเพื่อนคู่หูจึงรีบบึ่งมาจากที่พักราวกับสายฟ้าแลบ หากจำเป็นต้องมาเพราะคือหน้าที่ วิลเลี่ยม นามสมมุติได้ฝึกการเป็นเจ้าหน้าที่แผนกดินนิ่งรูมคร่าวๆ แต่คล่องงานอย่างกับถูกฝึกและเรียนการโรงแรมมาสี่ปี “กว่าจะจัดการกับยายนักร้องตัวจริงของ ควีน ออฟ สตาร์ได้ เล่นปาดเหงื่อ” เพราะต้องการสวมรอยเป็นหล่อน เพื่อแฝงตัวเข้ามาในเรือนสำราญอลังการ ราวกับสนามฟุตบอลรวมกันสิบสองสนามก็ไม่ปานแห่งนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD