จางลั่วชิงเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมใสจ้องชายหนุ่มเขม็ง “หากข้าไม่สามารถมีลูกให้ท่านพี่ได้ ท่านพี่จะรับอนุเข้ามาหรือไม่”
ซู่เสวียอี้ตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่”
.
.
.
“ฮูหยิน คุณหนูรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
ซิงชีเดินเข้ามาบอก จางลั่วชิงที่กำลังนั่งเย็บชุดอยู่ต้องหยุดมือ อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดของซู่เสวียอี้แล้ว ปีที่แล้วนางทำพู่ห้อยข้างเอวและเย็บถุงหอมให้เขา ปีนี้ว่าจะเย็บชุดให้สักตัว หญิงสาวถอนหายใจ วางเข็มและกรรไกรในมือลง
“น้องสาม! เจ้าทราบข่าวดีหรือยัง” จางอวี่ฉีวิ่งพรวดพราดหน้าตื่นเข้ามา ท่าทางตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้านั้น ทำให้จางลั่วชิงอดที่จะถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร “ข่าวดีอะไรหรือเจ้าคะ”
น้ำเสียงจางอวี่ฉีสั่นเล็กน้อย “แม่ใหญ่เพิ่งได้รับจดหมายจากพี่ใหญ่เมื่อเช้า พี่ใหญ่ตั้งครรภ์ลูกคนที่สองแล้ว!”
ด้วยความเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เยาว์ เมื่อคนใดมีเรื่องน่ายินดี ที่เหลือย่อมตื่นเต้นดีใจร่วมด้วยราวเป็นเรื่องตนเอง
พอได้ยินเช่นนี้ จางลั่วชิงก็อดที่จะเก็บความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่ได้ โผเข้ากอดจางอวี่ฉีแน่น
“เช่นนั้นพวกเราไปตลาดหัวสะพานกันเถอะ ซื้อของที่พี่ใหญ่ชอบกินส่งไปให้นางดีหรือไม่” จางอวี่ฉีชักชวน ส่วนจางลั่วชิงรีบพยักหน้าเห็นด้วย
จางลั่วเยี่ยนแต่งงานกับผู้บัญชาการจ้าว ย้ายไปอยู่เมืองติดชายแดนอย่างเมืองซินเกียงร่วมสองปีแล้ว พอพี่ใหญ่แต่งออกไป ทำให้เหลือเพียงสองสาวพี่น้อง จึงทำให้จางลั่วชิงยิ่งสนิทสนมกับจางอวี่ฉี มีอะไรมักปรึกษาจางอวี่ฉี เชื่อฟังจางอวี่ฉีอย่างกับอะไรดี
ซินเกียงค่อนข้างทุรกันดาร ของกินมีไม่มากเท่าเมืองลั่วหลาง โดยเฉพาะของโปรดของจางลั่วเยี่ยนอย่างเกี๊ยวไส้หัวหอม ที่ซินเกียงไม่มีร้านไหนทำเกี๊ยวอร่อยเท่าร้านตรงถนนหัวมุมในตลาดหัวสะพานอีกแล้ว
“พี่ว่าเราสั่งเป็นแป้งสำเร็จและไส้แยกไปดีหรือไม่ แล้วค่อยให้พี่ใหญ่จัดการห่อเอง” จางอวี่ฉีเสนอความคิดเห็น มีความคิดซื้อสูตรลับ เคยต่อรองแล้วทว่าเจ้าของร้านไม่ยอมขาย ซึ่งนางเองก็พอเข้าใจได้
“ก็ดีเจ้าค่ะ” ตอนนี้จางลั่วชิงและจางอวี่ฉียืนอยู่หน้าร้านเกี๊ยวร้านโปรดของพี่ใหญ่ จางลั่วชิงเห็นด้วยกับพี่รอง แต่หากถามว่า หากอยากกินเกี๊ยว เหตุใดถึงไม่ทำเองเล่า นางก็จะแย้งว่า ทำเองไม่อร่อยเท่าซื้อกิน พี่ใหญ่เคยบอกนางว่า ร้านเกี๋ยวร้านนี้มีสูตรลับพิเศษ ไม่มีใครทำอร่อยเท่าแล้ว
จางลั่วชิงไม่ชอบกินเกี๊ยวไส้หัวหอม นางจึงเฉยๆ กับเกี๊ยวร้านนี้
หลังสั่งให้เถ้าแก่ทำแป้งและไส้เกี๊ยวไว้แล้ว จางอวี่ฉียังพาน้องสาวเดินเลือกซื้อผ้าเพื่อตัดชุดรับขวัญหลาน จากนั้นทั้งสองก็พากันแวะภัตตาคารหงเซ่อ สั่งของหวานมากินคนละถ้วย
ขณะรอเสี่ยวเอ้อร์ยกของหวานมาให้อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเต้าฮวยถ้วยหนึ่งวางลงตรงหน้าจางลั่วชิง นางขมวดคิ้ว ไม่ได้สั่งเต้าฮวยเสียหน่อย
หญิงสาวค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นไปมอง ก่อนต้องผงะตกใจ จนใบหน้าของนางค่อยซีดลงเรื่อยๆ
ชายผู้นั้นกำลังก้มมองนางอยู่เช่นกัน สายตาวาววับน่าสะอิดสะเอียน รอยยิ้มก็เช่นกัน
ห้วงความทรงจำแสนเลวร้ายผุดเข้ามาในสมอง เห็นตนเองที่กำลังหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา มุมปากมีเลือดซึม นางยกมือขึ้นประนม ถอยร่นจนหลังชิดผนังห้อง ขอร้องอ้อนวอนต่อชายผู้นั้น นางมีสามีแล้ว มีบุตรแล้ว เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
ชายผู้นั้นหาได้เห็นใจนางไม่ มันเหยียดยิ้มมุมปาก ก้าวเข้ามาประชิดตัว โน้มตัวลงมา แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนางจนขาดวิ่น...
โครม!
จู่ๆ จางลั่วชิงก็หงายหลังตกเก้าอี้ไป
ซิงชีตกใจจนร้องเสียงหลง “ฮูหยิน!”
ชายผู้นั้นคือหวังต้าลู่ เป็นบุตรชายของคหบดีหวังผู้ร่ำรวย เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเสเพล มีรสนิยมแปลกประหลาด คือชอบยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่ออกเรือนแล้ว
เขาเห็นจางลั่วชิงครั้งแรกก็รู้สึกชื่นชอบ ร่างเพรียวบางในชุดสีกลีบบัวนั่งอยู่ในร้านโดดเด่นเหลือเกิน นางเกล้าผมขึ้นสูง เผยใบหน้ารูปไข่งดงามราวเทพบนสวรรค์
หวังต้าลู่เพียงอยากพูดคุยกับสาวงาม ตั้งใจเลี้ยงเต้าฮวยนางสักถ้วย ทว่าจู่ๆ เห็นนางล้มตึงลงไป เขาย่อมตื่นตระหนกเป็นธรรมดา
หวังต้าลู่ยกแขนขึ้นสูง ร้องโวยวายเสียงดังลั่น “ข้าไม่ได้ทำอะไรนางนะ แค่เอาเต้าฮวยให้นางเฉยๆ”
จางอวี่ฉีรีบลุกมาดูน้องสาว นางผลักหวังต้าลู่ให้พ้นทาง “หลีกไป!”
ซู่เสวียอี้มาสืบคดีแถวนี้พอดี เขากำลังจะเดินผ่านหน้าภัตตาคารหงเซ่อ แต่เสียงเอะอะโวยวายด้านในทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดฝีเท้า
“ทะเลาะวิวาทหรือ” ซู่เสวียอี้หันไปถามผู้ติตตามคนสนิทนามว่า หลี่อี้เฟิง
“ข้าน้อยจะไปดูสักครู่” หลี่อี้เฟิงหายไป เพียงพริบตา เขาก็รีบวิ่งหน้าตื่นรายงาน “ใต้เท้า ฮะ...ฮูหยินขอรับ...” เขาชี้ไปข้างใน ท่าทางเหนื่อยหอบ
“หมายถึง...จางลั่วชิงน่ะหรือ”
เพียงหลี่อี้เฟิงพยักหน้า ซู่เสวียอี้ก็รีบสาวเท้าตรงดิ่งเข้าไปข้างใน เห็นผู้คนยืนรุมล้อมร่างสตรีผู้หนึ่ง นอนไร้สติอยู่บนพื้น ข้างกายเป็นซิงชี จางอวี่ฉีและสาวใช้ของนาง กำลังช่วยกันประคองร่างนั้นขึ้น
ซู่เสวียอี้แหวกฝูงชนเข้าไป ช้อนอุ้มร่างภรรยาขึ้นแล้วหันไปถามซิงชีว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ซิงชีเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตอบตามจริงไปว่า “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ พวกเราแวะมากินของหวานกัน จู่ๆ ก็มีชายผู้หนึ่ง…” นางเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาหาชายผู้นั้น แต่ไม่เห็นเสียแล้ว ซิงชีจึงเล่าต่อ “ชายผู้นั้นนำเต้าฮวยมาให้ฮูหยิน พอฮูหยินเห็นหน้าชายผู้นั้น นางก็เป็นลมหมดสติไปเลยเจ้าค่ะ”
จางอวี่ฉีรีบเอ่ย “ใต้เท้าซู่ รีบพาน้องสามกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ยามที่จางลั่วชิงได้สติขึ้นมา พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงแล้ว หญิงสาวกวาดสายตามองโดยรอบ เห็นว่าเป็นเรือนหวงหลานค่อยถอนหายใจโล่งอก
จู่ๆ หญิงสาวก็กายสั่น นางรู้สึกหวาดกลัวกับภาพเหตุการณ์นั้น ทั้งยังรู้สึกขยะแขยงตนเองเหลือเกิน
จางลั่วชิงตวัดขาลงจากเตียงแล้วเรียกหาซิงชี ไม่ถามว่าตนเองกลับมาได้อย่างไร สิ่งแรกที่นางต้องการคือการแช่น้ำ
ซู่เสวียอี้กลับมาช่วงเย็น ในห้องไม่พบจางลั่วชิง ห้องนั่งเล่นและในสวนก็ไม่พบ เขาจึงถามกับสาวใช้คนหนึ่ง ได้ความว่า นางแช่กายอยู่ในห้องอาบน้ำของเรือนปีกขวา
จางลั่วชิงแช่น้ำนานหลายชั่วยามจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้ว ซิงชีร้องขอให้ขึ้นจากน้ำเสียที นางแทบจะร้องไห้อยู่แล้วแต่ทว่าฮูหยินก็ช่างดื้อดึงนัก พอเห็นใต้เท้าซู่กลับมาแล้ว นางค่อยถอนหายใจโล่งอก
ซิงชีปลีกตัวออกมา
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว แช่นานกว่านี้เดี๋ยวไม่สบาย” ซู่เสวียอี้เอ่ย คว้าผ้าที่แขวนอยู่บนราวแล้วเดินเข้าไปหานาง
จางลั่วชิงแช่น้ำมาราวสองชั่งยามแล้ว ปลายนิ้วมือของนางเหี่ยวหมดแล้ว
หญิงสาวยอมลุกขึ้นจากอ่างโดยไม่ปริปากใด ผิวขาวละเอียดมีหยดน้ำพร่างพราวทำให้ซู่เสวียอี้ใจเต้นแรง ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย แล้วเดินเอาผ้าไปห่อตัวนาง
จางลั่วชิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซู่เสวียอี้ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังช่วยนางเช็ดผม เขาสังเกตใบหน้านางที่สะท้อนในกระจก สีหน้านางดูเศร้าหมองราวมีเรื่องทุกข์ใจ
ซู่เสวียอี้ถามขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงเป็นลมกลางร้านได้เล่า”
“ท่านพี่รู้ด้วยหรือ” จางลั่วชิงมองเขาผ่านกระจก
ซู่เสวียอี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผู้ใดเล่าที่อุ้มเจ้าออกมา”
หญิงสาวก้มหน้าลง “สงสัยเมื่อเช้าข้ากินข้าวน้อยไปหน่อย จึงเป็นลม”
“ทีหลังก็กินให้มากหน่อย เจ้าผอมมากรู้ตัวหรือไม่ เอวบางเช่นนี้จะอุ้มท้องไหวหรือ”
คราวนี้จางลั่วชิงค่อยยิ้มออกมา นานแล้วที่ไม่ได้ยินประโยคยาวๆ จากปากผู้เป็นสามี “ต่อไปข้าจะกินให้มากเจ้าค่ะ”
ในคืนนั้น พอแสงเทียนดับลง มืออุ่นจัดก็เอื้อมมากุมมือขาวเรียวไว้ จางลั่วชิงหงายมือแล้วบีบกระชับมืออุ่นจัดนั้น เงาร่างสูงขึ้นคร่อมทันที
ตอนที่ซู่เสวียอี้กำลังก้มหน้าลง จางลั่วชิงก็เอ่ยกระซิบบางอย่าง “ท่านพี่ ท่านจูบข้าทั้งตัวได้หรือไม่”
แม้ซู่เสวียอี้จะประหลาดใจ แต่เขาก็ทำตามที่ร้องขอ ทุกส่วนบนร่างกายนาง ไม่มีส่วนใดเลยที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสไม่ถึง
คืนนี้ช่างแปลกนัก จางลั่วชิงร้องขอเขาบ่อยเหลือเกิน
“ท่านพี่ ท่านทำนานๆ ได้หรือไม่”
“ท่านพี่ ท่านกอดข้าให้แน่นกว่านี้หน่อย”
.....
ถึงนักอ่านทุกท่าน เรื่องนี้อาจอัปช้าหน่อยนะคะ เพราะกำลังอยู่ในช่วงเซ็นสัญญากับดรีม หากผ่าน นักเขียนจะอัปรวดเดียวเลย แต่หากใครรอไม่ไหว มีอีบุ๊กจำหน่ายที่ meb ซึ่งมีโปรโมชั่นช่วงตรุษจีน เริ่ม 20/1 นี้ค่ะ ^^