การสนทนาของสองสาวที่ได้พูดคุยกัน เพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกลับสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองสาวแลกเปลี่ยนเรื่องราวหลากหลายในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และสิ่งที่ชอบเหมือนกันเป็นที่สุดก็คือ เรื่องราวความอร่อยของขนมไทย ซึ่งถือเป็นอาชีพของนิมา เธอได้รับการถ่ายทอดมาจากมารดาซึ่งก็ได้เรียนมาจากคุณยายอีกที น่าจะเรียกได้ว่า เป็นครอบครัวขนมไทยมาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดก็ว่าได้
“ท่าทางคุณทิพย์ คงชอบออกกำลังกายนะคะ” นิมาถามขึ้นหลังจากที่แอบคิดไปถึงตอนที่เปิดดูแผลเพื่อช่วยทายาให้ ในใจก็นึกขำตัวเองว่าทำไมถึงได้ไปย้อนนึกถึงขึ้นมาได้อีก
“ทราบได้อย่างไรคะ” ทองทิพย์ยิ้มๆ กับท่าทางยิ้มอายๆ ของคนที่ถามเธอ
“ก็ตอนทาแผลให้ แอบเห็นรูปร่างที่ดูแข็งแรงเหมือนคนที่ดูแลร่างกายอย่างดีทีเดียว รูปร่างดีขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่ามานั่งทานขนมหวานแล้วรูปร่างดีหรอกนะคะ” นิมาอธิบายไปเรื่อย ไม่กล้าสบตากับดวงตากลมโตที่กำลังจ้องมองเธอเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง
“ช่างสังเกตนะคะ ก็ออกกำลังกายบ้างค่ะ ชอบทานขนมคงต้องขยันออกกำลังกายใช่หรือเปล่าคะ อย่างคุณนิ่มก็น่าจะมีบ้าง ถ้าให้เดาละก็ ดูนิ่งๆ เรียบร้อย แบบนี้อย่างน้อยก็ต้องโยคะ ใช่หรือเปล่าคะ” ทองทิพย์อมยิ้มมองสบตากับนิมาเพื่อรอคำตอบ เธอค่อนข้างมั่นใจว่านิมาน่าจะชอบการออกำลังกายด้วยการทำโยคะแน่ๆ
“เป็นการออกกำลังกายที่สะดวกสุดๆ สำหรับนิ่มค่ะ ตื่นเช้ามาก็ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เลิกงานก่อนอาบน้ำอาบท่าก็อีกนิดหน่อย พอให้นอนหลับสบาย ไม่ได้จริงจังนักหรอกค่ะ” นิมาบอกเรื่องการออกกำลังกายของเธอ
“ลองไปวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายตอนเช้ากันดูบ้างไหมคะ ขับรถผ่านมาเห็นมีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง จากร้านนี้วิ่งไปได้สบายเลย” ทองทิพย์รู้สึกแปลกใจตัวเองที่ทำไมถึงได้เอ่ยปากชวนสาวสวยเจ้าของร้านขนม ซึ่งกำลังนั่งยิ้มๆ อยู่ตรงหน้าขึ้นมาได้ เพราะปกติแล้วเธอเป็นคนที่จัดอยู่ในจำพวกถามคำตอบคำ แต่กับผู้หญิงคนนี้ เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยจนเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งในครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเธอได้
“ก็น่าสนใจนะคะ แต่สภาพร่างกายนิ่มจะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ” นิมาอมยิ้มนึกขำกับสิ่งได้พูดออกไป
“วันแรกๆ ก็เบาๆ ก่อน รับรองได้ค่ะว่า ถ้าโยคะอยู่เช้าค่ำขนาดนี้ อีกหน่อยคุณนิ่มอาจจะหลงรักการวิ่งในตอนเช้าเพิ่มขึ้นอีกอย่างก็ได้นะคะ เช้าวิ่งเย็นก็ค่อยโยคะ” ทองทิพย์เสนอความคิดเห็น
“คนเดียวคงไม่ไหวค่ะ กรุงเทพอันตรายมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าเลยค่ะ ตอนเช้าๆ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ยิ่งระหว่างทางที่จะต้องวิ่งไปที่สวนสาธารณะนั่นยิ่งน่าหวั่นใจมากที่สุด คุณทิพย์เพิ่งกลับจากต่างประเทศก็ต้องระมัดระวังหน่อยนะคะ” นิมาบอกด้วยความห่วงใยเพื่อนใหม่ของเธอ
“ใครบอกล่ะคะ ว่าจะให้ไปวิ่งคนเดียว” คนที่พูดขึ้นแกล้งยักคิ้วแหย่นิมา
“เราจะไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกันอย่างนั้นหรือคะ” นิมาถาม
“ใช่ค่ะ ที่อารัมภบทมาทั้งหมดนั่น คือ การชวน คุณนิ่มค่ะ” ทองทิพย์ยิ้มทะเล้นให้นิมาที่กำลังนึกขำกับคนที่ทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงหน้า
“ก็น่าสนใจนะคะ แต่อุปกรณ์ยังไม่พร้อมเลยค่ะ ไม่มีรองเท้าวิ่ง” นิมาบอกกับคนที่กำลังก้มลงไปมองที่เท้าของเธอ
“น่าจะขนาดใกล้เคียงกัน ทิพย์ซื้อมายังไม่ได้ใส่เลยค่ะ ลองดูหน่อยไหมคะ รองเท้าวิ่งโดยเฉพาะเลยนะ” ทองทิพย์รอคำตอบจากนิมาที่ทำท่าแปลกใจ
“นี่ถ้าไม่ใช่เพิ่งรู้จักกัน นิ่มคงคิดว่าคุณทิพย์วางแผนมาชวนนิ่มวิ่งแน่ๆ ดูจริง จังมากเลยนะคะ”
“หรือว่าวางแผนไว้กันนะ” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกันเมื่อได้ยินประโยคที่ทองทิพย์พูดขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแทบจะชนกันกับท่าทางที่กำลังครุ่นคิด
“นอกจากสวย น่ารัก แล้วยังตลกอีกนะคะ” นิมาอมยิ้ม
“สวยมีคนชมบ่อยค่ะ แต่น่ารักกับตลก เพิ่งได้ยินจากคุณนิ่มเป็นครั้งแรก”
“ไม่น่าจะใช่นะคะ คุณทิพย์ก็ออกจะน่ารัก”
“เอาไว้นานกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยชมก็ได้ค่ะ เปลี่ยนใจก็ยังทันอยู่นะคะ” ทองทิพย์หัวเราะเล็กๆ กับหน้าตาแปลกๆ ของนิมา
“แม่เคยบอกกับนิ่มเสมอค่ะ ว่าทุกคนมีความน่ารักอยู่ในตัวเอง เพียงแต่ว่าจะนำความน่ารักนั้นออกมาให้เห็นหรือไม่ แต่ตอนนี้นิ่มว่านิ่มเห็นนะคะ” ทองทิพย์ยิ้มกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินนิมาพูดออกมาผู้หญิงคนนี้มีความจริงใจที่แสดงออกค่อนข้างชัดเจน ตอนที่ชมเธอว่า สวย น่ารัก ตลก ทองทิพย์แอบคิดอยู่ว่าอาจจะชมด้วยมารยาทของคนที่เพิ่งได้รู้จักกัน แต่สายตาที่ดูเด็ดเดี่ยวซึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่กำลังบอกกับเธอว่า ผู้หญิงคนนี้ชมเธอจากใจจริง
“มารบกวนนานแล้ว ลูกค้าเริ่มเยอะแล้วค่ะ ทิพย์มาดึงเจ้าของร้านสาวสวยไว้เสียนาน เดี๋ยวลูกค้าคนอื่นจะว่าเอา พรุ่งนี้มารับไปวิ่งนะคะ จะเตรียมรองเท้ามาให้พร้อมเลยค่ะ” ทองทิพย์พูดแกมบังคับไปในตัว นิมายิ้มๆ กับคนที่กำลังลุกขึ้นยืนหลังจากที่กำลังจะขอตัวกลับ
“ไม่ให้เตรียมตัวเลยนะคะ ได้ค่ะ ลองดูอย่างมากก็แค่ให้คุณทิพย์แบกกลับ มาส่งที่ร้าน” นิมาหัวเราะ ความน่ารักและเป็นกันเองของนิมาทำให้ทองทิพย์ยิ้มได้ตลอดเวลาที่ได้พูดคุยกัน หากแต่ว่าตอนนี้แผลที่เกิดจากน้ำชาที่หกรดเข้าที่ตัวเธอเริ่มออกอาการ
เจ็บแปลบขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่รู้ใครจะแบกใครกลับนะคะ”
“ไปคะ นิ่มไปส่งที่รถนะคะ แต่เดี๋ยวค่ะ ทำไมท่าเดินแปลกๆ เจ็บแผลใช่หรือเปล่าคะ คุณทิพย์” นิมาสังเกตเห็นและรีบถามทันที
“ชักมีอาการแสบๆ รู้สึกผิวตึงๆ แต่ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“ไปหาหมอดีกว่าไหมคะ นะ” นิมาพูดด้วยความเป็นห่วง
“มียาแล้ว คนน่ารักให้มา สัญญาว่าจะทาจนกว่าจะหายนะคะ” ทองทิพย์ยิ้มให้กับคนที่แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“เบอร์โทรฯ นิ่มค่ะ ถ้าอยากให้พาไปหาหมอโทรฯ ได้ตลอดนะคะ” นิมายื่นนามบัตรให้กับทองทิพย์ที่อมยิ้มมองสบตากับนิมา
“ขอบคุณค่ะ โทรได้เฉพาะให้พาไปหาหมอเท่านั้นหรือคะ ถ้าให้พาเที่ยวโทรได้ไหมนะ”
“ได้ค่ะ นิ่มเปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้วค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
“ใจดีสมกับเป็นสาวไทยเลยนะคะ” ทองทิพย์ยิ้มให้นิมา แล้วจึงโบกมือลาก่อนที่จะขับรถออกไปพร้อมความรู้สึกดีๆ ที่มีอยู่ในหัวใจ
ทองทัดอยากขอบคุณนิมาด้วยการเชิญรับประทานอาหารในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เขาจึงได้ปรึกษาหารือกับนารินเรื่องอาหารที่นิมาชอบ ทองทัดอยากขอบ คุณสำหรับขนมอร่อยๆ ที่ฝากมาให้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบางวันก็มีอาหารเช้าฝากมาด้วย ทองทัดนึกขอบคุณความมีน้ำใจของน้องสาวของนาริน
“นิ่มชอบอาหารประเภทไหน และชอบทานอะไรบ้างครับ” ทองทัดพูดคุยกับนารินหลังจากมื้ออาหารเช้าจบลงเรียบร้อยแล้ว
“ผัก ผลไม้ ปลา นาไม่รู้ว่านิ่มกลัวอ้วนหรือรักสุขภาพนะคะ” นารินนึกขำสีหน้าแปลกๆ ของทองทัดที่เหมือนไม่ได้คำตอบกับสิ่งที่ได้ถามออกไป
“ตอบแบบนี้จะเลือกร้านถูกไหมล่ะครับ ชอบปลา ถ้าอย่างนั้นก็อาหารทะเลดีไหม เสาร์นี้เลยนะ ฝากนาชวนนิ่มด้วยนะครับ” ทองทัดยิ้มให้นาริน
“ทัดกลัวนิ่มไม่ยอมยกนาให้หรืออย่างไรกันคะ ขยันเอาใจกันเหลือเกิน นิ่มอย่างโน้นนิ่มอย่างนี้ ว่าแต่ว่าถ้านาแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านทัด นิ่มก็ต้องอยู่ที่ร้านคนเดียว นารู้สึกเป็นห่วงน้องเหมือนกันนะคะ” นารินบอกทองทัดถึงความกังวลใจของเธอที่เกิด
ขึ้นตั้งแต่ตอบตกลงแต่งงานกับทองทัดแล้ว
“ทำไมนา ไม่ชวนน้องไปอยู่ด้วยกันกับเราล่ะ ให้อยู่ที่ร้านคนเดียวก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ ขนาดตอนนี้อยู่สองคนพี่น้องทัดเองก็ยังเป็นห่วงเลยครับ” ทองทัดออกความคิดเห็น
“นิ่มคงไม่ยอมแน่ค่ะ รายนั้นขี้เกรงใจจะตายไป แต่เดี๋ยวนาจะลองพูดดูเช้าก็ออกมาร้าน ค่ำๆ ก็กลับไปนอนที่บ้านทัดก็น่าจะดีนะคะ แต่อย่างไรนาก็คงต้องให้น้องเป็นคนตัดสินใจค่ะ”
“ก็ลองดู บอกน้องไปตรงๆ เลยว่าเราสองคนเป็นห่วง หรือแต่งงานแล้วก็รีบมีลูกเลยก็น่าจะดี เอาลูกเป็นข้ออ้างว่าให้นิ่มไปช่วยดูแลหลาน” ทองทัดหัวเราะ กับสายตาดุๆ ของว่าที่ภรรยาของเขา
“คุยกันแล้วไม่ใช่หรือคะ ว่ารออีกสักสองสามปี รอให้นามั่นใจในตัวทัดให้มากกว่านี้สักหน่อย ใช่ว่าแต่งงานแล้วคนเราจะไม่เปลี่ยนแปลงเสียเมื่อไหร่” นารินพูด
“ทัดจำข้อตกลงทุกอย่างที่เราคุยกันนะ แค่ล้อเล่นเอง เอาเป็นว่าเราสองคนก็หาทางช่วยกันหว่านล้อมนิ่มก็แล้วกัน” ทองทัดบอกกับนาริน
“ขอบคุณนะคะ ที่ทัดเป็นห่วงนิ่ม ญาติของนาถ้านับจริงๆ จังๆ ก็คงมีเพียงแค่นิ่มคนเดียวเท่านั้น ญาติทางพ่อกับแม่ก็แค่ติดต่อกันบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนัก”
“นิ่มก็เหมือนน้องสาวทัดเหมือนกันนะครับ ก็ต้องเป็นห่วงเป็นใย เพราะนิ่มมีความกรุณาให้กับนายทองทัดคนนี้เป็นอย่างมากที่ยอมยกพี่สาวให้มาเป็นภรรยา เพราะถ้าน้องนิ่มไม่ชอบทัดขึ้นมา ทัดรู้นะว่านาก็เลือกที่จะไม่แต่งงานกับทัด”
“นิ่มเคยบอกหรือว่าชอบทัด” นารินยิ้มทะเล้น
“จริงด้วย ตกลงทัดคิดเอาเองใช่ไหม” สองหนุ่มสาวหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน
“เข้าข้างตัวเองตลอดเลย” นารินอมยิ้มมองดูทองทัด ผู้ชายที่กำลังจะเข้ามาดูแลชีวิตของเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้า