#วันจันทร์สีชมพู 2
ตลอดทั้งสัปดาห์ฉันยุ่งอยู่กับงานที่บริษัท ไม่ได้เข้าไปยังร้านกาแฟเลยเพราะมีลูกค้าเข้ามาติดต่องานกันไม่ขาดสาย เวลาพักก็แทบจะไม่มี คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ดีที่ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์พอดีเลยตั้งใจว่าจะเข้าไปที่ร้านกาแฟหลังเลิกงาน เข้าไปดูสักหน่อยไม่รู้พนักงานลืมหน้าฉันไปหรือยังเพราะไม่ได้เข้าไปนาน
“ไงคนเก่ง” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดเข้ามา เฮียซันไชน์เดินยิ้มเข้ามาใกล้ทั้งยังคงมองฉันด้วยแววตาแสนจะเอ็นดู
“เฮีย ไม่มีประชุมเหรอคะ?”
“ไม่มีครับ เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันไหม” เฮียไชน์เดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือยื่นมาดึงแฟ้มเอกสารออกจากมือฉัน เป็นการเตือนอย่างมีนัยว่าให้หยุดทำงานได้แล้ว พี่ชายที่แสนดีของฉันน่ารักมากเลย ชอบเป็นห่วงและหวงเก่งมาก ๆ เลยล่ะ
“หนูจะเข้าร้านกาแฟค่ะ”
“งั้นเหรอ เดี๋ยวพี่ไปรับลูกแล้วจะพาเข้าไปหานะ แล้วค่อยไปกินข้าวด้วยกัน”
“ได้ค่ะ” พยักหน้ารัคำชวนของพี่ชายอย่างตื่นเต้น ฉันน่ะคิดถึงหลานมาก ๆ เลยเหมือนกัน
“ลูกพี่ชอบส้มตำไก่ย่าง...”
“ฮ่า ๆ ๆ หนูรู้หรอกน่า หลานมาสายนั้น ชวนเธิร์สด้วยไหมคะ”
“เดี๋ยวพี่ชวนครับ อย่าทำงานหนักเกินไปนะเราน่ะ วันหยุดมีก็พักบ้าง”
“ก็...”
“เหงา...” เฮียไชน์เอ่ยขัดอย่างรู้ทัน
“ค่ะ เหงา” ฉันยอมรับอย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง เลยทำให้ไม่กล้าคุยกับใครหรือเข้าใจกับคนอื่นยากล่ะมั้งนะ เลยทำให้ยังไม่มีใครแบบนี้
“ให้พี่หาแฟนให้ไหม...”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง ไม่ได้เหงาขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันหัวเราะกับท่าทางจริงจังของเฮียตัวเอง ต้องสงสารฉันมากแค่ไหนถึงกับเอ่ยปากบอกว่าจะหาแฟนให้แบบนี้น่ะ
“เหงาก็ไปเล่นกับหลานที่บ้าน”
“ค่า รู้น่า แต่ช่วงนี้คิดอะไรเพลิน ๆ นิดหน่อยเลยไม่ค่อยได้ออกไปหาหลาน”
“ถ้ามีเรื่องเครียดอะไรปรึกษาพี่ได้เลยนะ อย่าเก็บไว้คนเดียวพี่เป็นห่วง”
“รับทราบเจ้าค่ะ! เอาละ น้องขอเคลียร์งานก่อนเย็นนี้จะเข้าร้านแล้วค่อยไปกินข้าวกับหลาน”
“ครับ ๆ ยังไงเดี๋ยวพี่โทรหาอีกทีแล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
“ไปละ” เฮียโบกมือแล้วเดินออกจากห้อง เฮียรู้ น้องชายรู้ ว่าฉันโสด โสดที่แปลว่าไม่มีแม้กระทั่งคนคุย
17.46 น.
งานในร้านกาแฟหนักมาก จนแทบไม่มีเวลานั่งพักเลย ลูกค้าเข้าออกเยอะตามช่วงเวลา ฉันที่เข้ามาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนตอนนี้ก็ยังไม่ได้พักเลยล่ะ และแน่นอนว่าคลินิกข้าง ๆ สั่งเครื่องดื่มเช่นเคย และครั้งนี้ก็ยังคงเป็นฉันที่ต้องออกไปส่ง เพราะพนักงานคนอื่นไม่ว่างเลย เรียกได้ว่าทั้งร้านฉันว่างคนเดียวก็ยังได้ค่ะ
“มาส่งเครื่องดื่มค่ะ” ฉันบอกพี่ที่หน้าเคาน์เตอร์หลังจากที่เปิดประตูร้านเข้ามาอย่างเกรงใจ
“อ้อ รบกวนรอสักครู่นะคะ”
“ได้ค่ะ” ฉันวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ ที่มีไว้ให้คนไข้นั่ง ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้เลยสักคนหรือไม่ก็คงจะอยู่ในห้องตรวจอะไรแบบนั้นน่ะ ฉันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งมีเงาสูงใหญ่มาหยุดตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นมองก็เจอกับร่างสูง ๆ ของคนในชุดสีเขียวที่ใส่หน้ากากอนามัย ทั้งหน้ามีเพียงลูกตาเขาที่โผล่พ้นสิ่งปิดกั้นออกมา
“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฉันเอ่ยถามคนตรงหน้า เหมือนเขาจะเป็นหมอเลยนะ ดูจากชุดที่สวมแล้ว
“มาส่งน้ำเหรอครับ?” คนตรงหน้าเอ่ยถาม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เวลาที่มองตาเขาเหมือนเขากำลังยิ้มอยู่เลย หรือไม่บางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
“ใช่ค่ะ” ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ตอนนี้หมอยังไม่ว่าง เดี๋ยวหลังเลิกงานจะเอาเงินเข้าไปให้นะครับ” ให้คนอื่นจ่ายไม่ได้เหรอ? ฉันงงนะ พี่ที่เคาน์เตอร์ก็นั่งอยู่ จ่ายแทนก็ได้นี่นา
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ ถ้ายังไงจ่ายที่ร้านก็ได้ค่ะ” ฉันตอบตกลงถึงแม้จะยังไม่เข้าใจอยู่ก็ตามที
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเลิกงานแล้วหมอโทรหา”
“ค่ะ”
แม้จะมึน ๆ งง ๆ ไม่เข้าใจอะไรมาก แต่ก็ยอมตกลงไป ฉันน่ะต้องรีบกลับร้านเพราะพี่ชายจะพาพี่สะใภ้กับหลานมาหา แล้วเราก็จะออกไปทานข้าวด้วยกัน ฉันต้องรีบกลับแล้วล่ะคิดได้ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ” ฉันรีบเดินออกจากคลินิกเพื่อกลับร้านตัวเอง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ กับสายตาของคุณหมอคนนั้นก็ไม่รู้นะ หรือบางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไปนะ นั่นสิ คงคิดมากเกินไปนั่นแหละ
“อามันเดย์!!” ทันทีที่เปิดประตูกลับเข้ามาในร้าน หลานชายตัวนุ่มก็ร้องเรียกชื่อเสียงดังพร้อมกับวิ่งเข้ามากอดขาฉันไว้แน่นทำให้ขยับเดินต่อไม่ได้ ใกล้ ๆ กันนั้นมีพี่ชายและพี่สะใภ้นั่งอยู่พร้อมกับเครื่องดื่ม และยังคงใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูจ้องมองลูกชายอยู่ตลอดเวลา