มิตาตามไปทุบประตูเรียกคนหน้ามึน ตั้งใจจะไล่เขาออกจากห้องให้ได้ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้ แล้วประตูที่ปิดล็อกแน่นก็เปิดออกกว้าง โดยมีคนรูปหล่อหน้ามึนยืนแก้ผ้าโชว์เรือนร่างเพอร์เฟคสุดเซ็กซี่และอาวุธประจำกายที่ขยายใหญ่โดตั้งโด่ชี้หน้าเธออย่างหน้าไม่อายที่สุด
ดาราสาวยกมือทั้งสองข้างมาปิดตาแล้วหันหลังกลับทันที แต่ก็ไม่วายก่นด่าคนหน้าไม่อายให้หนำใจ
“ไอ้พัชร์ ไอ้ทุเรศ ไอ้โรคจิต แกจะมาแก้ผ้าโชว์ฉันทำไม จะอ้วก”
ดาราเจ้าสาวทำทีพะอืดพะอมกับ Acting การอาเจียนเสียสมบทบาท ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมีลมร้อนๆ มาเป่ารดหลังใบหูพร้อมเสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้นแผ่วเบา
“ยังไม่ทันโดนกระแทกเลย แพ้ท้องแล้วเหรอ”
“ไอ้บ้า”
พูดจบก็เดินหัวเราะร่วนไปเปิดกระเป๋าของตัวเองแล้วหยิบของใช้ส่วนตัวเดินโทงเทงโชว์ปืนใหญ่สีชมพูเข้าห้องน้ำไป โดยที่คราวนี้เขาทำธุระส่วนตัวทุกอย่างโดยไม่ปิดประตูอีก ถ้าอยากไล่เขาออกจากห้องนัก ก็เข้ามาไล่ให้ถึงที่แล้วกัน จะจับปล้ำในห้องน้ำให้ดู
ร่างใหญ่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวมัดปมต่ำแสนต่ำจนแทบจะเห็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา บนผิวขาวเนียนละเอียดราวผิวผู้หญิงมีหยดน้ำเกราะพราว
มุมปากสีแดงสดยกยิ้มขำเมื่อเห็นเจ้าของห้องยืนมองเขาตาค้าง อาจเป็นเพราะมังกรตาดุของเขามันกำลังสะกดจิตเธออยู่ก็ได้
“ชุดนอนของฉันที่ทิ้งเอาไว้ ยังอยู่ใช่ไหม”
เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงทุ้มดังอยู่เบื้องหน้าในระยะไม่กี่ก้าว ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเดินมาถึงเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฉันเก็บของทุกชิ้นของแกส่งคืนพี่ปิ่นไปหมดแล้วนี่ พี่ปิ่นไม่ได้เอาไปคืนให้แกที่คอนโดเหรอ”
คืนสิ เขายังจำได้ดีในวันที่ผู้จัดการของเขาและเธอหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบโตที่ภายในอัดแน่นด้วยสมบัติของเขาที่เอาไปทิ้งไว้ห้องเธอราวกับย้ายบ้านหนีตามเธอไปก็ไม่ปาน แต่ในกระเป๋าและกล่องหลายใบไม่มีชุดนอนตัวโปรดที่เขาตั้งใจแขวนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้ามุมในสุด
“คืน แต่ไม่มีชุดนอนของฉัน”
“จำได้ด้วยเหรอว่าเอาอะไรมาทิ้งไว้บ้าง แกอาจจะไปทิ้งไว้ที่ห้องคนอื่นก็ได้”
“นอกจากเส้นผมที่อาจจะร่วงติดหมอน ฉันไม่เคยทิ้งอะไรไว้ที่ห้องของคนอื่น”
“หึ ไม่มีชุดใส่นอนก็รีบแต่งตัวแล้วรีบกลับห้องไปซะ เสียเวลานอนของฉันมานานแล้วนะ”
“เสียใจนะ ต่อให้ฉันไม่มีชุดใส่นอน ฉันก็แก้ผ้านอนกับเธอได้”
“ไอ้บ้า”
“แต่ก็กลัวเธอจะอดใจไม่ไหวจับฉันปล้ำเสียก่อน คืนนี้ฉันก็จะใส่ชุดนอนแล้วกัน”
พูดจบก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าตัวใหญ่แบบบิวท์อินติดผนังกวาดตามองแบบเร็วๆ ก็ไม่พบเสื้อผ้าของผู้ชายคนอื่นสักชิ้น จึงหยิบเอาชุดนอนของตัวเองที่ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เขาแขวนเอาไว้ออกมาใส่หน้าด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“นี่แกรู้ได้ไงว่ามันอยู่ตรงนั้น แกตั้งใจทิ้งเอาไว้เหรอ”
“อือ เผื่อว่าจะได้มานอนที่นี่อีก แล้วก็ได้มาจริงๆ”
พูดจบก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งโดยมีเธอเดินตามมาติดๆ เขาอมยิ้มขำแล้วหยิบกระเป๋าใส่สกินแคร์รวมทั้งน้ำหอมและเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายหลายชนิดออกมาวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ
น่าแปลกที่โต๊ะเครื่องแป้งของเธอไม่มีของใช้ส่วนตัวของผู้ชายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งผิดปกติของคนมีแฟนที่แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันเพราะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ผู้ชายคนนั้นก็ต้องเอาอะไรมาทิ้งไว้บ้างเพื่อสะดวกในวันว่างๆ ที่มานอนค้างที่นี่
หรือว่าจริงๆ แล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่เคยมานอนค้างคืนที่นี่เลยกันแน่ และเขาจำเป็นต้องหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้
“เธอจะเดินตามฉันอีกนานไหม บอกว่าง่วงทำไมไม่ไปนอน”
“แกนั่นแหละ จะมาวุ่นวายในห้องฉันอีกนานไหม ทำไมไม่ยอมกลับห้อง หรือจะให้ฉันโทรบอกให้พี่ปิ่นมารับแกกลับไป”
มิตายกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทรของผู้จัดการส่วนตัวเพื่อขู่ให้เขากลัว แต่เขากลับทาสกินแคร์ลงบนใบหน้าหล่อเหลานั่นหน้าตาเฉย ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านสักนิด
“อยากให้พี่ปิ่นรู้เหรอว่าฉันมานอนกับเธอ ก็เอาสิ อยากให้รู้ก็โทรบอกเลย”
เธอกำโทรศัพท์แน่น เชื่อว่าคนหน้าด้านอย่างเขาไม่ได้สนใจหากผู้จัดการจะมารับถึงห้องนี้ ในเมื่อขู่เขาเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ต้องเอาไม้กันหมาออกมาใช้
“งั้นฉันจะโทรหาคุณเอก ให้มานอนกับฉัน”
“ตามสบาย ถ้าเขารับสายเธอนะ”
“นี่ยังไม่ดึก เขายังไม่นอนหรอก”
“อืม อาจจะยังไม่นอน อาจจะนั่งหรือยืนอยู่ก็ได้”
เมื่อบำรุงผิวพรรณเสร็จแล้วก็หมุนตัวกลับมาทิ้งบั้นท้ายนั่งบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างหมิ่นเหม่ มองหน้าเธออย่างต้องการส่งกำลังใจให้ผู้ชายคนนั้นมันยอมรับสาย
ท่าทางกวนประสาทนั้นทำให้เธอกดจิ้มหน้าจอโทรออกไปยังเบอร์โทรที่คุ้นเคยในทันที รอสายอยู่นานจนสัญญาณตัดไปเขาก็ไม่รับสาย จึงกดโทรออกอีกครั้ง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคืนนี้เขาคงไม่มีทางรับสายเธอ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เมื่อโทรออกเป็นครั้งที่สามและรอจนสัญญาณตัดไปอีกครั้ง
“เขาไม่รับสายสินะ ก็บอกแล้วว่า..”
“หุบปาก จะนอนให้ได้ใช่ไหม”
“อืม”
“ออกไปนอนที่โซฟา”
“เสียใจ ฉันไม่ชอบใช้ชีวิตลำบาก”
พูดจบก็เดินไปปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง เหลือเพียงแสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟหัวเตียงที่ยังให้ความสว่าง แล้วเดินมาสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มในตำแหน่งเดิมที่เคยนอน
“นอนสิ หรือจะออกไปนอนที่โซฟาก็ได้นะ ถ้ากลัวฉันปล้ำ”
“เรื่องอะไรฉันจะต้องเอาตัวเองไปลำบาก นี่ห้องฉันนะ อีกอย่างถ้าแกกล้าปล้ำฉันอีกล่ะก็ ฉันเชือดคอแกทิ้งแน่”
เธอชูคัตเตอร์ในมือแล้วดันใบมีดขึ้นจนสุดราง ก่อนจะค่อยๆ ดันเก็บใบมีดลงตั้งใจให้เสียงของมันข่มขู่ให้เขากลัว แล้วขึ้นไปนอนบนที่นอนฝั่งของตัวเองโดยไม่ลืมสอดคัตเตอร์เล่มนั้นไว้ใต้หมอนเพื่อความอุ่นใจ
คนตัวโตอยากลองดี จึงขยับตัวเข้าไปสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง แล้วก็ต้องเด้งตัวถอยหลังกลับมาแทบไม่ทันเมื่อเธอพลิกตัวกลับมาพร้อมกับยื่นคัตเตอร์ที่ปลายมีดแหลมคมวาววับสะท้อนแสงเล่มนั้นเข้าหาเขา
“เฮ้ย มิตา เธอจะฆ่าฉันจริงๆ หรือไง”
พระเอกหนุ่มร้องเสียงหลง ชูมือทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ จ้องเขม็งไปยังใบมีดสีเงินวาววับท่าทางคมกริบนั้นด้วยความหวาดเสียว ถ้าเขาขยับถอยหลังช้ากว่านี้อีกนิด ใบมีดแหลมคมนั่นคงจะปักอยู่กลางอกเขาเป็นแน่
“ใช่ ถ้าแกยังกล้าลวนลามหรือจะปล้ำฉันอีกครั้งล่ะก็ ฉันเฉือนของแกให้เป็ดกินแน่”
ขู่พร้อมลดใบมีดลงมาอยู่ในตำแหน่งของตัวต้นเรื่อง มือที่ชูขึ้นยอมแพ้จึงรีบลดลงมากุมลูกชายคนโตอย่างหวงแหนสุดดวงใจ
“อย่าทำอะไรลูกชายฉันนะ”
“แกก็อย่ามายุ่งกับฉันอีก พรุ่งนี้เช้าแยกย้ายกันไปทำงาน ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเลิกกวนประสาทฉันไม่ได้ก็คุยกันแค่เรื่องงานพอ เข้าใจไหม”
“ไม่ปล้ำแกยังพอได้ แต่จะแยกย้ายกันไปทำงานได้ยังไง ในเมื่อพี่ปิ่นให้เราเดินทางไปกลับด้วยกันทุกครั้งที่ออกกองต่างจังหวัด พรุ่งนี้เราก็ต้องไปด้วยกันสิ”
“แต่พรุ่งนี้เราถ่ายที่กรุงเทพฯ เมาหรือเอามากจนเพี้ยน ฮะ”
ใบมีดยังคงจ่อขู่ในตำแหน่งเดิม ทำให้เขาไม่กล้าตีฝีปากกับคนดุ ที่จริงก็ไม่น่าไปลองดีเลย ทั้งที่เขารู้แท้ๆ ว่าเธอเป็นผู้หญิงบ้าดีเดือดมาแต่ไหนแต่ไร ขนาดยอมทำตัวให้เป็นข่าวฉาวทุกวันเพื่อหนีการแต่งงานก็ทำมาแล้ว
“ใจเย็นสิมิตา ฉันไม่ได้เอามากไปจนเพี้ยน ฉันแค่ตกใจมีดของเธอ เอามันออกไปไกลๆ ลูกชายฉันหน่อยสิ”
“ฉันจะเตือนแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ากล้าแตะต้องฉันอีก ลูกชายแกคอขาดกระจุยแน่”
“อือๆ ไม่กล้าแล้วครับ”
“หึ”
คราวนี้เธอยอมเก็บมีด แต่ไม่ยอมนอนหันหลังให้เขาอีก หนุ่มสาวเล่นเกมจ้องตากันด้วยความหวาดระแวงไม่มีใครยอมปิดเปลือกตาเพื่อหลับไปก่อน จนสุดท้ายก็ไม่อาจฝืนหนังตาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ได้ จึงหลับไปอย่างไม่ทันรู้ตัวสักนิด