ทางด้านฟ้าใหม่กับพระพายขึ้นไปนั่งรอพายุอยู่บนบ้านแต่เพราะเป็นคนขี้เสือกและสงสัย พระพายจึงลุกขึ้นเดินไปแอบยืนดูที่หัวบันไดเห็นพายุกำลังคุยกับใครอยู่ แต่พอมองไปหน้าบ้านกับไม่เห็นใครทำเอาพระพายขนลุกชูชันไม่น้อย
ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะไม้สักข้างฟ้าใหม่เมื่อพอจะเดาทุกอย่างออก…
“ฟ้าถ้าแกอยู่นี่กลางคืนหากได้ยินเสียงอะไรห้ามทักมั่วเข้าใจไหม” หากจะบอกฟ้าใหม่มากกว่านี้พระพายก็กลัวว่าฟ้าใหม่จะกลัวแล้วไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ
“ทำไมเหรอ?”
“ทำตามที่ฉันบอกพอ” ขณะนั้นที่ทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่บนชั้นสองของบ้านเรือนไทยพายุก็เดินขึ้นมา ความสว่างของหลอดไฟนีออนทำให้ฟ้าใหม่เห็นใบหน้าหล่อเหลากับกล้ามหน้าท้องเป็นมัด ๆ ของเขาชัด ๆ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อ ๆ จึงเลือกเบือนหน้าไปทางอื่น
ทางด้านพายุเห็นฟ้าใหม่เบือนหน้าไปทางอื่นเขาก็หันไปพูดกับพระพาย
“ฟ้าวพาหมู่เข้าห้องมื้อนี่ห้ามลงไปข้างล่างเด็ดขาด” (รีบพาเพื่อนเข้าห้อง วันนี้ห้ามลงไปข้างล่างเด็ดขาด)
“ได่ อ้ายสิเข้านอนแล้วเบาะ?” (ได้ พี่จะเข้านอนแล้วเหรอ?) เมื่อเห็นพายุกำลังจะเดินเข้าห้องนอนพระพายจึงเอ่ยถาม พายุพยักหน้าตอบ ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนตัวเองที่อยู่ทางด้านขวาของตัวเรือนฝั่งเดียวกับห้องพระ ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับห้องนอนของพระพายที่อยู่ฝั่งซ้ายของตัวเรือนโดยมีโถงกลางคั่นไว้
เมื่อเห็นพายุปิดประตูห้องนอนเรียบร้อยฟ้าใหม่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่ง ๆ ทำเอาพระพายถึงกับหลุดยิ้มที่เห็นฟ้าใหม่เอาแต่นั่งตัวเกร็งเหมือนกลัวพี่ชายเธอมาก
“แกกลัวพี่พาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ดูพี่แกทำหน้าสิเหมือนโกรธใครอยู่ตลอดเวลาเลยอะ”
“ฮ่า ๆ อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวแกก็ชิน”
“เห็นแบบนี้แล้วไม่น่าเกินหนึ่งอาทิตย์ฉันก็คงกลับแล้วละ” ครั้งแรกก็อยากจะอยู่สักหนึ่งเดือนถ้าไม่มีใครว่าอะไรแต่พอเห็นหน้าตาไม่รับแขกของพายุเห็นทีไม่เกินหนึ่งอาทิตย์เธอก็คงกลับ
“เอาที่แกสะดวกหรือถ้าติดใจจะอยู่ตลอดก็ไม่มีใครว่านะ”
“ก่อนที่แกจะพูดคำนี้ ถามพี่ชายแกก่อนไหม?”
“แกก็ยิ้มเยอะ ๆ สิพี่พาจะได้เลิกทำหน้าเคร่งขรึมแบบนั้น”
“ฉันยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้วเนี่ย”
“ฮ่า ๆ เอาเถอะ รีบเข้าห้องกันดีกว่าฉันอยากพักผ่อนจะแย่แล้ว” พระพายพูดพร้อมกับยืนบิดขี้เกียจจนกระดูกดังลั่น จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันถือกระเป๋าเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก ดวงตากลมโตมองสำรวจภายในห้องก่อนจะวางกระเป๋าข้างตู้เสื้อผ้าส่วนพระพายก็เดินไปทิ้งตัวนอนลงที่เบาะนอนสีเดียวกับหมอนขิดด้วยสภาพเหนื่อยล้า
ฟ้าใหม่รีบเปิดกระเป๋าหยิบชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำเพราะเหนียวตัวจะแย่แล้ว หลังจากหยิบชุดนอนออกมาแล้วแต่พยายามหาผ้าเช็ดตัวเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“ฉันลืมเอาผ้าเช็ดตัวมาแน่เลย”
“ใช้ของฉันก่อนไหม?”
“ได้ ๆ” พระพายดันตัวลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าถุงที่ไม่เคยใช้ยื่นให้ฟ้าใหม่
“แต่ฉันมีแค่ผ้าถุงนะ แกใช้ก่อนได้ไหมเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันพาไปซื้อใหม่” ด้วยความเคยชินกับการใช้ผ้าถุงมาตั้งแต่เด็กทำให้พระพายไม่เคยซื้อผ้าเช็ดตัวเลย ถึงแม้เธอจะไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงแต่วิถีชีวิตก็ยังเหมือนเดิม
“โอเค” ฟ้าใหม่ถือเสื้อผ้ากับผ้าถุงเดินออกไปนอกห้อง ดวงตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นห้องน้ำอยู่ข้างล่างในใจก็นึกกลัว ไม่กล้าเดินลงไปเพราะบรรยากาศมันวังเวงเหลือเกิน
แต่ขืนให้นอนสภาพนี้ทั้งคืนคงเหม็นเน่าแน่ ฟ้าใหม่หายใจเข้าออกลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวลงบันไดแต่เท้ายังไม่ได้เหยียบพื้นบันไดก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังก่อน…
“สิไปไส” (จะไปไหน?) เท้าเล็กหยุดชะงักรีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น เห็นพายุยืนมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จะไปอาบน้ำค่ะ”
“บอกไม่ให้ลงไปข้างล่างไม่ใช่เหรอ พูดไม่รู้เรื่อง?” สุ้มเสียงแข็งกระด้างคล้ายตำหนิทำเอาฟ้าใหม่พูดไม่ออกได้แต่ยืนเม้มปากแน่น
“ค่ะ” ตอบน้ำเสียงแผ่วเบาชำเลืองมองพายุเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
ทางด้านพระพายหลังจากนอนหมดสภาพอยู่บนที่นอน เมื่อนึกคำพูดของพายุได้ก็รีบดันตัวลุกขึ้นจากที่นอนกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปทว่าฟ้าใหม่เปิดประตูเข้ามาก่อน พร้อมกับปากเล็กบ่นอุบอิบไม่หยุด
“คนจะไปอาบน้ำทำไมต้องห้ามด้วยก็ไม่รู้”
“แกเป็นอะไร?”
“ก็ฉันจะไปอาบน้ำ แต่พี่ชายแกไม่ให้ลงไปข้างล่าง” ฟ้าใหม่วางเสื้อผ้าบนกระเป๋าแล้วเดินไปนั่งลงที่เบาะนอนด้วยท่าทีหงุดหงิด
“มันดึกมากแล้วพี่พาไม่อยากให้ลงไปข้างล่างหรอก พรุ่งนี้ค่อยอาบก็ได้”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจอีกอย่างถ้าให้ลงไปอาบน้ำคนเดียวก็ไม่รู้จะกล้าไหมเพราะบรรยากาศมันน่ากลัวขนาดนั้น
จากนั้นทั้งสองก็นั่งคุยกันอีกสักพักไม่นานก็หลับไปเพราะเหนื่อยล้าจากการนั่งรถทำให้หลับไปอย่างง่ายดาย…