วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจินฮุ่ยหมิงจะไม่ได้ไว้ใจหมอสมุนไพรสาวคนนี้สักเท่าไร ไม่ว่านางจะดูแลเขาดีแค่ไหน ก็ยังระแวงและระวังตัวอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกลงที่จะกินยาที่นางหามาให้ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขาจึงเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางออกจากพื้นที่นี้ได้
มู่หลินเองก็ทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองตามปกติ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนที่เก็บสมุนไพรให้ใกล้ที่พักมากขึ้น เพราะนางไม่รู้ว่าทหารจะเข้ามารับสมุนไพรไปเมื่อใด ทั้งยังระแวงอีกว่าทหารตงซานจะมาเจอ ทหารหนุ่มจากต้าหยางที่นางแอบพาตัวมารักษาที่กระท่อม
มู่หลินรวบรวมสมุนไพรและดูแลสวนของนางอย่างดี เพราะถ้าสมุนไพรที่เอามาปลูกไว้ใกล้ๆ เติบโตได้ดี ก็จะช่วยให้เก็บสมุนไพรส่งให้กับทหารตงซานได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเดินทางออกไปไกลจากที่พักมากนัก
“ข้าหายดีแล้ว อยากจะกลับต้าหยาง ข้าเป็นห่วงพี่สาวของข้า และคนในครอบครัวข้า แม่นางช่วยพาข้าไปส่งที่ชายแดนทีเถิด” เขาเอ่ยขึ้นขณะที่หมอสมุนไพรสาว ถือถ้วยยาเข้ามาหาเหมือนทุกๆ วัน
“เจ้ายังลุกขึ้นนั่งไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าห่วงไปเลย หากเจ้าหายดีแล้วจริงๆ ข้าจะพาเจ้าไปส่งตามที่สัญญาเอาไว้”
“พี่สาวของข้ากำลังลำบาก...”
“เจ้าคิดว่าสภาพตัวเองตอนนี้ จะไปช่วยพี่สาวเจ้าได้จริงๆ น่ะหรือ? ถ้าอยากรีบไปช่วยพี่สาว เจ้าก็ต้องทำตามที่ข้าบอก แล้วเจ้าจะหายเร็ว” ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจนจบ มู่หลินก็ตะคอกแทรกขึ้นทันที แม่ทัพหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้ความคิด เขาพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ทำไม่ได้แม้ว่าอาการเจ็บปวดบนเนื้อตัว จะทุเลาลงมากแล้วก็ตาม
“แล้วนานแค่ไหนกัน กว่าที่ข้าจะหาย จนออกเดินทางได้”
“ข้าก็ตอบไม่ได้ เจ้าตกลงมาจากหน้าผาสูงเสียดฟ้านะ ไม่ใช่สะดุดก้อนหินล้ม ไม่ตายก็ถือว่าแข็งแรงมากแล้ว” เจินฮุ่ยหมิงรู้สึกว่าสตรีงามผู้นี้ ช่างพูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย น่าเสียดายใบหน้างามของนาง
ขณะที่มู่หลินกำลังนั่งคุยกับเจินฮุ่ยหมิงอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ร่างบางรีบลุกขึ้นไปมองผ่านรอยแยกของไม้ผนัง จึงได้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธมุ่งหน้ามาที่กระท่อมของนาง หัวใจของหญิงสาวเต้นรัว นางรับรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนั้นเป็นทหารจากกองทัพตงซาน พวกเขาน่าจะออกลาดตระเวนเพราะกองกำลังที่มารับสมุนไพร เพิ่งจะกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เจ้าอยู่เงียบๆ อย่าส่งเสียงเด็ดขาด ทหารตงซานกำลังมาที่นี่ ขาจะออกไปดูก่อนว่าพวกนั้นมาทำอะไร” หญิงสาวหันไปบอกกับคนเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเดินออกไปรับหน้าพวกทหารตงซาน
เมื่อทหารมาถึง มู่หลินก็สงบสติอารมณ์และก้าวออกไปข้างนอกเพื่อพบพวกเขา นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด และหวังว่าเรื่องที่พวกทหารมาที่นี่ จะไม่ใช่เรื่องที่นางแอบรักษาทหารต้าหยาง
“แม่นางมู่หลิน เจ้าไม่ได้ออกไปเก็บสมุนไพรหรอกหรือ?” ทหารนายหนึ่งถามขึ้น เขาเพิ่งมารับสมุนไพรไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอนางเสียอีก
“ข้ากำลังเพาะสมุนไพรป่า จำเป็นต้องดูแลตลอด เพราะกระต่ายป่าชอบเข้ามากัดกินสมุนไพรที่ข้าปลูก พวกท่านเถิดมาทำอะไรกันหรือ”
“ทหารราดตระเวนของตงซาน รายงานว่าเห็นคนต่างถิ่นมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ นี้ พวกข้าจึงมาดูว่าเจ้ายังปลอดภัยดีหรือไม่ และตอนนี้กองทัพตงซานกำลังค้นหาผู้ลี้ภัยจากต้าหยาง เจ้าเคยเห็นใครน่าสงสัยแถวๆ นี้บ้างหรือไม่?” มู่หลินส่ายหัว รักษาท่าทางสงบของตัวเอง
“ไม่เคยเห็นคนแถวนี้เลย ท่านก็รู้ว่าแถวนี้มีงูเจ้าที่ปกปักคุ้มครองผืนป่าแห่งนี้อยู่ มีเพียงข้าที่เดินไปทั่วพื้นป่าแห่งนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวงูใหญ่ในตำนาน ข้าถึงได้รวบรวมสมุนไพรส่งให้ราชสำนักตงซานได้มากมาย” นางยืนยันเสียงแข็ง
“เช่นนั้นก็ดี แต่หากเจ้าพบคนแปลกหน้าเข้ามาในเขตตงซาน ต้องแจ้งทหารราดตระเวนให้รู้เรื่อง มิเช่นนั้นเจ้าจะตกเป็นผู้ก่อกบฏ เพราะถือว่าเพิกเฉยต่อศัตรู” นายทหารร้องขู่
“หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาจริง ข้าคงถูกทำร้ายไปเสียแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่สตรีตัวเล็กๆ หากไม่ได้พวกท่านคอยดูแล คงไม่อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้” หญิงสาวพูดแก้ตัว
พวกทหารยืนคุยอยู่กับมู่หลินสักพักใหญ่ ก็ต้องขอตัวออกไปราดตระเวนที่อื่นต่อ มู่หลินยืนดูจนแน่ใจว่าพวกเขาจากไปแล้ว จึงรีบกลับเข้ามาในกระท่อม
“เห็นทีว่าข้า...คงจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ปลอดภัยเสียแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หมอสมุนไพรสาวถอนหายใจ นางเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน สักวันทหารตงซานต้องสงสัยนาง และเข้ามาค้นในกระท่อมแน่ หรือไม่ก็อาจจะแอบเข้ามาค้นในกระท่อมตอนที่นางออกไปเก็บสมุนไพร
“ข้าจะหาทางรักษาเจ้าให้หายโดยเร็วที่สุด เพราะหากมีใครมาเจอว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าเองก็คงจะไม่ปลอดภัยเช่นกัน” หมอสมุนไพรสาวพูดตอบ และพยายามใช้ความคิด เพื่อหาทางรักษาเจินฮุ่ยหมิงให้หายโดยเร็ว
“มีสมุนไพรอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าให้หายได้เร็วขึ้น” ในที่สุดเสียงหวานก็เอ่ยขึ้นมา เจินฮุ่ยหมิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินดังนั้น
“แต่ว่า...มันอยู่ไกลจากที่นี่มาก ข้าต้องเดินทางไปอย่างเร็วที่สุดก็น่าจะสองราตรี ข้ากังวลว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ทหารตงซานอาจจะบุกมาที่นี่” หญิงสาวพูดต่อ แม้ว่านางจะไม่ได้บอกว่าเป็นห่วงที่ต้องทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง แต่เจินฮุ่ยหมิงก็รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น ของนางได้ผ่านทางสายตาและน้ำเสียงของนาง
“ข้าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่เงียบๆ เจ้าพอจะมีที่ซ่อนที่พวกทหารมันจะหาไม่เจอหรือไม่” มู่หลินใช้ความคิดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะนึกบางอย่างออก ที่ซ่อนลับๆ ที่นางเคยซ่อนตัวจากสัตว์ป่า เมื่อครั้งที่เสือป่าหลงเข้ามาแถวนี้
“ข้ามีที่เก็บสมุนไพรลับ แต่ในนั้นแคบมาก ข้ากังวลว่า...”
“หากมันปลอดภัยพอที่จะให้ข้าซ่อนตัวได้ ก็ให้ข้าซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเถิด ข้าอยู่ได้” เขาพูดแทรกขึ้น หญิงสาวนิ่งและใช้ความคิดอีกครั้ง เขาเป็นทหารคงไม่กลัวที่แคบ ไม่กลัวความมืดหรอก แถมยังเป็นทหารที่เพิ่งเข้าใกล้ความตายมากคนหนึ่ง เรื่องแค่นั้นคงไม่กระทบอะไรกับเขานักหนา
“ก็ได้...ข้าจะพาเจ้าไปซ่อนไว้ที่นั่น แล้วข้าจะบดยาไว้ให้เจ้ากิน อาหารข้าก็พอมีอยู่ ข้าจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้า” ชายหนุ่มยิ้มให้กับคนพูด ยิ่งนางพูดเขาก็ยิ่งรับรู้ถึงความเป็นห่วงที่นางมีให้
“ขอบพระคุณแม่นางมากเหลือเกิน ข้าสาบานว่าจะไม่มีทางลืมบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นี้ ตราบจนถึงวันที่ชีวิตของเจินฮุ่ยหมิงผู้นี้สิ้นสุดลง” มู่หลินไม่ได้ต้องการให้เขาซาบซึ้งบุญคุณอะไรทั้งนั้น นางเพียงต้องการรักษาคนที่เจ็บป่วย และหวังว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลให้ครอบครัวและบรรพบุรุษของตัวเองภาคภูมิใจ ตอนนี้ในตระกูลของนางก็เหมือนว่าจะเหลือแค่มู่หลินเป็นทายาทรุ่นสุดท้าย
หน้าที่หมอสมุนไพรนี้ นางจึงอยากทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่าคงไม่สามารถจะสืบทอดทายาทรุ่นต่อไปได้อีกแล้ว นางตั้งใจจะอยู่เพียงลำพังไปจนสิ้นลมหายใจ ตั้งแต่พ่อแม่ ตลอดจนพี่ชายที่จากไป มันทำให้มู่หลินกลัวการจากลาเหลือเกิน
นางจึงคิดเอาเองว่า ไม่พบ ไม่รัก ไม่พันผูก ก็ไม่ต้องจากลา การอยู่คนเดียวจึงเป็นทางออกที่นางเลือก และมั่นคงกับทางที่ตัวเองเลือกเสมอมา ทหารหนุ่มๆ ก็เคยมาเกี้ยวชวนกลับเข้าเมืองไปหลายหน แต่มู่หลินก็ไม่เคยชายตามองชายใด และปฏิเสธอย่างหนักแน่นทุกครั้ง