WHA-LES TALK
ผมอุดปากแล้วทรุดตัวลงนั่งพิงประตู หัวใจเต้นล่ำไม่เป็นส่ำ ใบหน้าร้อนผ่าวลามตั้งแต่ลมหายใจยันใบหู หลุบสายตาดูกลางกายที่กำลังปวดหนึบด้วยสีหน้าโอดครวญ
หวังว่าพี่มันจะไม่เห็นตอนที่น้องผมตื่นหรอกนะ
ไม่งั้นงานงอกแน่ไอ้วา
ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผมเกิดบ้าระห่ำอะไรขึ้นมาถึงได้โต้ตอบพี่ชาร์กลับไปแบบนั้น แต่ในหัวผมมันคิดอะไรไม่ออก นอกจากอยากจะเอาคืนเขาเท่านั้นเอง
แต่ว่า..
ปากนุ่มจังวะ
“ไอ้วา” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับ กำลังสับสนในตัวเองไม่น้อยที่ดันคิดเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ
ภาพเจ้าของดวงตาคู่สวยผุดขึ้นมาในความคิด กลิ่นลมหายใจมิ้นต์ที่ลอยมาแตะปลายจมูกยังดูหอมแล้วก็สดชื่นไม่หาย
ไม่เคยชอบมิ้นต์ช็อคเลย กระทั่งได้ลิ้มรสมันบนริมฝีปากของเขา
มันไม่ได้แย่เลยสักนิดเดียว
“ไอ้วา สติ วาสติ ไอ้วาดึงสติดิวา” ผมเรียกชื่อตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่
สติยังไม่มา แถมปัญญายังเตลิดไปแล้ว
สัจจะธรรมของชีวิตที่แท้
"อือ" ผมหงิกมือด้วยความโมโหตัวเอง อยากจะแหกปากตะโกนให้นกแตกรังแต่ก็ทำได้แค่คร่ำครวญอยู่ในใจ
สุดท้ายผมก็หอบสังขารตัวเองขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ทำงาน พยายามสลัดเรื่องที่เกิดขึ้นออกจากหัวแล้วเตรียมจะวาดงานต่อ
แค่แกล้งกันเล่นอย่าคิดมากวา
แค่เล่นกัน
แค่เล่น
ผมนั่งเป่าปากสงบสติอารมณ์ตัวเอง หยิบดินสอขึ้นมาจะร่างงานต่อ แต่ภาพของเขาก็แว่บเข้ามาในหัวอีกจนได้
“มึงทาแก้มกับปากด้วยเหรอวะ”
“กูแค่เช็คดู มันชมพูเกิน”
“กูขอหยิกแก้มหน่อยดิ”
“แล้วทำไมต้องเคี้ยวแก้มตุ่ยขนาดนั้นวะ”
“มึงอย่ามาน่ารักดิ”
เห็นมั้ยผมบอกแล้วว่าพี่มันชอบแกล้ง
เมื่อเย็นเขาบีบแก้มผมเล่นใหญ่เลย มาอยู่ห้องผมได้ไม่เท่าไหร่ยังปั่นประสาทได้ขนาดนี้ ถ้าอยู่นานกว่านี้ผมจะทำยังไง
แล้วทำไมผมต้องหน้าแดงด้วยวะเนี่ย
พวกเราก็แค่หยอกล้อกันเล่นเท่านั้นเอง
แค่หยอกเอิญไง
ผมหยิบมือถือขึ้นวีดีโอคอลหาเพื่อนสนิทเพื่อดับอาการฟุ้งซ่าน พอปลายทางรับผมก็รีบแยกยิ้มทักทายทันที
“ม่อน”
(ว่าไงวา)
“งานม่อนเสร็จยัง”
แซวม่อนเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมคบนานที่สุด น้ำเสียงเวลาพูดกับผมนุ่มนวลมาก อาจจะเพราะเจ้าตัวเติบโตมากับแม่ การเลี้ยงดูหลายอย่างก็เลยทำให้ม่อนเรียบร้อย
ต่างจากผมเหมือนเดิม
(ใกล้แล้ว มีอะไรหรือเปล่าวา)
“เปล่า เราแค่โทรมาถามเฉยๆ”
(ถ้าเราเสร็จแล้วจะถ่ายส่งไปให้นะ เนี่ย กำลังทำอยู่เลย)
“อืม โอเค” ผมพยักหน้ารับจังหวะที่ม่อนหมุนกล้องให้ผมเห็นงานบนโต๊ะ ก่อนจะกดวางสายแล้วขยุ้มหัวตัวเองจนผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ฟุบหน้าลงบนท่อนแขนตัวเองแล้วทุบโต๊ะหนึ่งที
เอาไอ้พี่ชาร์ออกไปที ฮือ
เกือบอาทิตย์ที่ผมหลบหน้าพี่ชาร์ พยายามเลี่ยงการพูดคุยให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็หนีเขาไม่พ้นอยู่ดี
ผมเพิ่งจะได้รับสายจากเขาว่าเจ้าตัวขับรถหักหลบสุนัขที่หน้ามหาวิทยาลัยเลยทำให้รถล้ม แล้วแขนข้างที่ใช้บิดมอเตอร์ไซด์ก็ดันใช้การไม่ได้ เขาก็เลยโทรตามให้ผมขับรถไปรับแทน
มาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ขยันสร้างเรื่องให้ผมซะแล้ว
ผมลอบถอนหายใจ พลางชำเลืองสายตามองพี่ชาร์ผ่านกระจกมองหลัง
เขานั่งเงียบไม่พูดอะไรตลอดทาง ดวงหน้าคมคายเบือนสายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำให้บรรยากาศบนรถที่แม้จะเปิดเพลงคลอไว้มันก็น่าอึดอัดอยู่ดี
“ใจคอจะไม่พูดขอบคุณผมหน่อยเหรอ” ได้ทีผมก็ทวงบุญคุณเลย คนอุตส่าห์ขับรถมารับ แถมช่วยโทรให้คนเอารถไปส่งที่คอนโดให้อีก แทนที่จะชวนคุยบ้าง แต่ดันมานั่งเงียบทำขรึมใส่ผมซะงั้น
“มึงหลบหน้ากูเป็นอาทิตย์ จะให้กูพูดอะไร”
“ผมไม่ได้หลบหน้า”
“มึงโกหกไม่เก่งนะวา รู้ตัวมั้ย”
ผมถอนหายใจพรืดยาว เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง สายตามองไปยังถนนด้านหน้าสลับกับมองพี่ชาร์ที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน
“ผมทำอะไรให้พี่โกรธอีก ผมต่างหากที่ต้องโกรธ เล่นแกล้งผมแรงขนาดนั้น ใครจะอยากอยู่ให้พี่แกล้งล่ะ” ผมร่ายยาว แต่อีกฝ่ายก็ยังอมพะนำไม่ยอมพูด
“ตามใจ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด” พอผมทิ้งทวนไปแบบนั้น คนที่นั่งเบือนหน้าหนีก็หันขวับกลับมาทันที
“ช่วยกูอาบน้ำก่อนดิ เดี๋ยวหายโกรธ” เขายื่นข้อเสนอ แต่น้ำเสียงยังเหมือนงอนผมอยู่
“ผมเพิ่งพูดไปเองนะ พี่เอาอะไรมาโกรธ ผมเนี่ยที่ต้องโกรธพี่”
“ก็มึงหลบหน้ากูไง”
“ก็บอกว่าผมกลัวว่าพี่จะแกล้งผมเหมือนวันนั้นอีกไง”
“งั้นก็ช่วยกูอาบน้ำก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุย”
“ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันเลย”
พูดจบผมก็ส่ายหน้าไปมาติดเอือมระอา เพราะพี่มันเถียงผมคอเป็นเอ็น ชักแม่น้ำทั้งสิบสายมารวมกัน ไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมต้องทำให้เขาเลยสักนิดเดียว
“แล้วกูจะอาบน้ำยังไง มือเจ็บเนี่ย”
“ผมไม่ได้ทำให้พี่เจ็บนี่ครับ นี่ก็ขับรถมารับแล้วเนี่ย ถ้าหลบหน้าไม่มาหรอก”
เขาเงียบ ผมก็เงียบ แต่เรายังคงใช้เสียงหายใจขู่กันไปมา ผมเลยยอมแพ้ด้วยการเหลือบสายตามองเขาเชิงอ้อนวอน
“แค่แขนเจ็บพี่ไม่ได้พิการสักหน่อย อาทิตย์หน้าก็หายแล้ว”
“แต่วันนี้กูเจ็บไง หายอาทิตย์หน้ามันมาเกี่ยวอะไรวะ”
อีกครั้งที่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองค้อนเขาผ่านกระจกมองหลัง ได้แต่สาปคนเจ็บในใจเพราะเอาแต่ตัดพ้อเหมือนผมเป็นคนทำให้เขาเจ็บซะงั้น
“หรือไม่ต้องอาบมันเลยดีวะ จะได้เน่าตายคาห้องมึงด้วย”
“โวะ”
“โวะกับใครวะ”
“โวะกับพี่นั่นแหละวะ”
ผมมุ่ยปากเลยถูกพี่ชาร์จับริมฝีปากแล้วแวะบีบแก้มผมอีกทีนึง
“พี่ชาร์”
“อาบน้ำให้หน่อยครับ สัญญาไม่แกล้งหรอก”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็คลายปมลง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างใจอ่อนกับน้ำเสียงของเจ้าตัวเมื่อครู่
ก็เป็นซะแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่พี่มันจะเลิกแกล้งผมสักที
หลังจากกลับมาผมก็จัดการหาข้าวแล้วก็เอายาแก้อักเสบให้พี่ชาร์กิน กับข้าวกับปลาก็สั่งมานั่นแหละ จะให้ผมลงมือเข้าครัวมีหวังได้ก่อโศกอนาฏกรรมไฟไหม้คอนโดแน่
พี่ชาร์นั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ ยกแขนขึ้นให้ผมถอดเสื้อยืดออก เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ทั้งเสื้อช็อปแล้วก็เสื้อยืดอีกที
มันคือขนมปังก้อนแน่นปึก หุ่นล่ำกำยำเหมือนคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผมที่เผลอจ้องนานเกินไปรีบกะพริบตาปรับโฟกัสใหม่ เพราะสถานีต่อไปก็คือกางเกง
ผมไม่ได้อยากจะไล่สายตามองลงต่ำกว่านี้ ได้แต่รีบถอดกางเกงยีนเขาออกแล้วยืนขึ้นถอนหายใจอย่างโล่งอก
“วาโกนหนวดให้กูก่อนดิ” เขาพูดขึ้น พลางเพยิดหน้าให้ผมหยิบครีมกับมีดโกนให้
“ใช้ผมอีกแล้ว ไหนบอกแค่อาบน้ำ” ผมทำหน้าเซ็ง
“ก็หนวดกูขึ้นแล้วเนี่ย” พี่ชาร์เงยหน้าให้ผมดู
ผมมุ่นคิ้ว “ทำไมไม่ทำเอง ผมทำมีดโกนบาดพี่จะทำไง”
“แล้วมึงจะให้กูใช้ใคร กูใช้มือซ้ายไม่ถนัด” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังชูแขนข้างที่เจ็บให้ผมดูอีกต่างหาก
เออครับ รู้แล้วว่าเจ็บ
“ทำไมต้องเป็นผมอยู่เรื่อยเลย”
“รำคาญกูเหรอ”
“ก็เปล่า.. ให้ผมบ่นหน่อยไม่ได้เหรอไง สุดท้ายผมก็ทำให้พี่อยู่ดี”
พูดจบผมก็เดินไปหยิบครีมโกนหนวด ป้ายมันบริเวณคางและเหนือริมฝีปากเขา ยืมคร่อมหว่างขาอีกฝ่ายเพื่อใช้ท่าให้ถนัดที่สุด
ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเราสองคน ผมโกนหนวดให้เขาด้วยสีหน้าตั้งใจ ถึงจะไม่เคยโกนหนวดให้ตัวเอง แต่ก็พอจะทำให้เขาได้โดยที่ไม่ปริปากพูดอะไร
แต่ทว่าเรียวแขนของอีกฝ่ายกลับยกขึ้นโอบรั้งเอวผมให้ขยับเข้าไปใกล้ เงยหน้ามองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนเลิกคิ้วถามผมที่ยั้งมือแล้วหลุบตามองเขา
“ทำอะไร”
“ตัวมึงหอม”
“พี่ชาร์”
“แค่ดมไม่ได้หรือไง”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ตัวสั่นเล็กน้อยตอนที่เขาลดมือลงเกยไว้ที่แก้มก้นผม
เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมดันเห็นเขายกยิ้มมุมปากตอนที่ผมยืนนิ่งไม่ปฏิเสธ
“ทำไมตัวมึงสั่น”
“.....”
“เพราะกูเหรอ”
“เปล่าซะหน่อย”
มือหนาวางไว้บนสะโพกผม ก่อนจะเลื่อนมาวางไว้บริเวณหน้าท้อง ออกแรงบีบเค้นเล่นเอาผมเสียววูบวาบไปหมด เลือดลมในร่างกายวิ่งพล่านจนแก้มขึ้นสี ข่มอารมณ์ไว้ด้วยการกลืนน้ำลายหลายอึก
ความรู้สึกที่เหมือนมีผีเสื้อนับล้านบินวนในท้องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมเคยแต่สัมผัสร่างกายและส่วนอ่อนไหวของตัวเอง แต่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมันมาก่อน
ตอนนี้มันก็เลยรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก
“พะ.. พี่ชาร์ ผมโกนไม่ถนัด”
“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“แล้วจะลูบท้องผมทำไม”
“แล้วลูบไม่ได้เหรอ”
“.....”
“มึงไม่อยากให้กูทำ แต่ก็ไม่ปฏิเสธกูสักครั้งนะวา”
นัยน์ตาคู่คมช้อนขึ้นมอง ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็รู้ว่าเขากำลังคว่ำรถอ้อยตรงหน้าผมอยู่
ผมลอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งคร่อมบนตักเขา ทำเอาเรียวคิ้วอีกฝ่ายกระตุกสบตาผมที่กำลังจ้องเขาไม่ละไปไหน
เรียวนิ้วค่อยๆ ไล้ไปตามกรอบหน้าคมคาย ผมเปรยสายตาขึ้นมองเขา แล้วลากฝ่ามือลงบนแผงอกกำยำ เจ้าตัวนั่งสั่นกระสันไม่ต่างอะไรจากผมก่อนหน้านี้
ใครโดนลูบโดนคลำแล้วจะไม่เสียวบ้าง
ไม่มีหรอก
“พี่อ่อยผมใช่มั้ย”
เขานั่งเงียบแทนคำตอบ แสยะยิ้มมุมปากเพราะเหมือนเพิ่งจะรู้ว่าผมร้ายกว่าที่คิดเอาไว้
“งั้นผมคงเข้าใจผิดไปเอง”
“เดี๋ยว”
ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ทำท่าจะลุกหนีคิดว่าเขาจะยกธงขาวยอมแพ้เลิกแกล้งกัน แต่ทว่ามือไวกลับโอบรั้งเอวผมให้นั่งลงบนตักตามเดิม
"ไม่รอฟังคำตอบจากกูก่อนหรือไง"
"งั้นก็ตอบมาสิครับ"
ใบหน้าของอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ มือล็อคท้ายทอยผมไม่ให้หันหน้าหนีไปไหน ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดข้างแก้มเป็นระยะปนเสียงหัวใจที่สั่นรัวอยู่ข้างใน
พี่ชาร์หลุบสายตามองริมฝีปากผม ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสบสายตาผมอีกครั้ง
“แล้วถ้ากูบอกว่ากูอ่อยมึงล่ะ”
“พี่ชาร์”
“ถ้ากูอ่อยมึง มึงจะทำอะไรกับกู”