"ป้าหลี่ ป้าหลี่อยู่ไหม?"
เสียงจากหน้าบ้านทำให้แม่สื่อประจำหมู่บ้านต้องรีบเดินออกมาดู ว่าใครกันคือผู้มาเยือน.......
"มาแล้ว ๆ อ้าว อาจิ่นเองหรอกรึ มีธุระอะไรถึงมาที่นี่ล่ะ เข้ามาก่อนเร็วเข้า ฉันเองก็กะว่าจะไปหาหล่อนกับสามีพอดี"
จางลี่จิ่นเดินเข้าไปนั่งในลานบ้านตามที่เจ้าของบ้านเชื้อเชิญ หมู่บ้านเสี่ยวหยูแห่งนี้มีแปลนบ้านที่คล้าย ๆ กัน ส่วนมากแล้วจะสร้างติด ๆ กันเพราะเป็นที่ราบสูง มีเพียงไม่กี่หลังที่แยกตัวออกไปอยู่เชิงเขาเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย
"ฉันไม่อ้อมค้อมนะป้าหลี่ บ้านฉินให้ป้าไปทาบทามสู่ขอลูกเลี้ยงของฉันใช่ไหม? ป้าเองก็รู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับเด็กนั่น เงินนี่ฉันให้ป้า แต่ป้าต้องหาคนอื่นให้แต่งงานกับลูกเลี้ยงของฉัน ถ้า 10 หยวนไม่พอ ฉันยินดีเพิ่มให้"
เงิน 10 หยวนถูกวางอยู่ตรงหน้าของหญิงสูงวัย ดวงตาของนางเปล่งประกายวาววับคล้ายคนละโมบ 10 หยวนในยุคนี้ซื้อเสื้อผ้าหนา ๆ ได้หลายชุด แค่แลกกับการให้เด็กสาวคนหนึ่งแต่งออกไปกับบ้านอื่นถือเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
"เออะ..เอ่อ ถ้าเพิ่มอีกสักนิดมันก็พอมีวิธี"
"ฉันให้อีก 10 หยวน แต่ป้าต้องชื่นชมลูกสาวของฉันต่อหน้าคนบ้านฉินอีกสักหน่อยเพื่อเป็นการตอบแทน ตกลงไหมจ๊ะ"
"แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลยอาจิ่น พอดีเลยช่วงนี้โหลวเยียนให้ฉันหาเมียให้ลูกชายคนเล็ก ฉันจะถือโอกาสนี้ตอบรับบ้านโหลว บอกว่าหล่อนกับสามียินดียกลูกสาวคนโตให้ หวังว่าสามีของหล่อนคงจะไม่มีปัญหาหรอกนะ"
นางหลี่ร่วมกันวางแผนอย่างไม่กระดากอายต่อหน้าที่แม่สื่อของตน ขอเพียงได้เงิน 20 หยวนนี้มาไว้ในครอบครองเรื่องอื่นเสียคำพูดเล็กน้อยจะเป็นไรไป ยังไงชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เชื่อคำพูดของนาง
"เรื่องสามีของฉัน ฉันจัดการได้ ส่วนเรื่องค่าสินสอด บอกบ้านโหลวไปเลยว่าฉันเรียกแค่ 50 หยวนเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าให้ลูกได้ไปสร้างครอบครัวใหม่"
ใบหน้าของแม่เลี้ยงใจร้ายเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน ใครก็รู้ว่าบ้านโหลวยากจนกว่าคนอื่นถึงขั้นต้องไปหากินบนป่าที่มีแต่เรื่องอาถรรพ์ ทั้งยังอาศัยอยู่ชายป่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าหวาดกลัว ถึงจะมีลูกชายสองคนแต่ก็เป็นเพียงแรงงานในคอมมูน ไม่ได้มีหน้าที่การงานที่ดีอย่างคนอื่นเขา ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยเห็นเข้าเมืองไปซื้อของสักครั้ง
"ได้ ฉันจะแจ้งไปตามนั้น ว่าแต่วันส่งตัวล่ะ ต้องดูฤกษ์งามยามดีก่อนไหม?"
"ไม่ต้อง! วันนี้ป้าไปบอกทางนั้นเลย ถ้าพร้อมก็ไปรับเจ้าสาวได้ทันที แต่ป้าต้องจำไว้นะว่าฉันต้องการให้เรื่องนี้จบเร็วที่สุด"
"รู้แล้ว ๆ สบายใจได้อาจิ่น ไม่เกินพรุ่งนี้หนามยอกอกของหล่อนต้องถูกกำจัดไปแน่ ๆ"
หลังจากพูดคุยกันเสร็จนางหลี่ก็รีบเดินไปที่เชิงเขาเพื่อบอกข่าวดีให้กับโหลวเยียนได้รับรู้ ทางด้านนางลี่จิ่นก็รีบกลับบ้านเพื่อเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับสามี
บ้านจาง
"เธอไปไหนมา? แล้วทำไมต้องล็อกห้องฟืน ทำไมไม่ให้อาหรานออกมาทำกับข้าว"
พอเห็นหน้าภรรยากลับมาจากข้างนอก จางฮันรีบเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ใช่ว่าเป็นห่วงลูกสาวคนโตแต่เป็นเพราะรสชาติอาหารที่ลูกสาวคนเล็กลงมือทำมันแย่จนทำให้เขากลืนข้าวไม่ลง
"ฉันไปหาป้าหลี่มา พี่อยู่ก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องต้องบอกพี่ ฉันกำลังจะส่งลูกสาวพี่ไปแต่งเข้าบ้านโหลวนะ"
"หมายความว่ายังไง เธอเคยเป็นห่วงเด็กคนนั้นด้วยเหรอ หรือมีเบื้องหลังอะไรกันแน่"
สีหน้าของจางฮันไม่ได้เดือดร้อนเมื่อได้ยินเรื่องราวจากภรรยา เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าฉุนหรานจะเป็นตายร้ายดียังไง หากเธอยังอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ต้องทำงานตอบแทนที่ซุกหัวนอนที่เขามอบให้
"บ้านฉินจะส่งคนมาขอนังเด็กนั่น แต่พี่ก็รู้ว่าลูกของเราชอบฉินฟาง ฉันยอมไม่ได้หรอกนะที่จะให้ลูกของเราต้องเจ็บปวดเหมือนฉัน ต่อให้พี่จะด่าว่าฉันเลวฉันก็ยินดีรับไว้"
"จิ๊! ใครจะว่าเธอแบบนั้น อาหลิงเป็นลูกของฉันเหมือนกัน ส่วนนังลูกชู้นั่นเธออยากทำยังไงก็ตามใจเธอเถอะ"
นางจางลี่จิ่นในวัย 45 ปี อิงซบไหล่สามีพร้อมกับรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย ในเมื่อสามีอยู่ในโอวาท เรื่องอื่นในบ้านย่อมไม่มีปัญหาอะไร
"ขอบคุณพี่มากนะจ๊ะ ฉันเชื่อแล้วว่าพี่รักฉันกับลูกมากแค่ไหน ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการต่อเอง"
"ขอบคุณจ้ะพ่อ ฉันรักพ่อกับแม่ที่สุดเลย"
ครู่ต่อมาสองแม่ลูกเดินนวยนาดมาที่หน้าห้องเก็บฟืน พร้อมกับไขกุญแจที่คล้องโซ่อยู่ออกให้พ้นทาง
แกร๊ก แกร๊ก
ทางด้านฉุนหรานที่แอบฟังและเก็บข้อมูลทุกอย่าง พร้อมกับทบทวนความทรงจำของร่างนี้อยู่ในห้องเงียบ ๆ เธอก็พอจะมีวิธีที่จะจัดการกับสองแม่ลูก เพียงแต่ต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเสียก่อน
"นังฉุนหราน หล่อนรีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะ ไม่เกินพรุ่งนี้หล่อนต้องแต่งเข้าบ้านโหลวแล้วย้ายออกไปจากที่นี่ซะ"
"บ้านโหลว.."
ขณะที่ฉุนหรานกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แม่เลี้ยงของเธอก็ถือวิสาสะไปหยิบเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนที่มีอยู่เพียง 2 ชุดของเธอออกมาดู
"อย่าฝันหวานไป บ้านโหลวไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านฉินหรอกนะ นังคนไม่เจียมตัว พอถึงวันพรุ่งนี้หล่อนเอาไปได้เพียง 2 ชุดนี้เท่านั้น ของอย่างอื่นห้ามขโมยไปเด็ดขาด เข้าใจไหม?"
"จ้ะ เข้าใจแล้วจ้ะ"
ฉุนหรานยังคงทำตัวเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้มีพิรุธ ตอนนี้เธอได้รู้แล้วว่าการมาที่นี่ของเธอเหตุผลก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง จาก จางฉุนหราน กลายเป็น โหลวฉุนหราน ทุกอย่างล้วนล้วนปูทางให้เธอไปสู่อิสระตั้งแต่ต้น
"เข้าใจแล้วก็ไปทำงานสิ หล่อนต้องอาศัยอยู่ที่นี่อีกตั้ง 1 วัน อย่าคิดว่าจะอยู่อย่างสุขสบายเชียวนะ นู้นงานของหล่อน เติมน้ำให้เต็มแล้วเอาเสื้อผ้าไปซักให้สะอาด"
"จ้ะ ๆ ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้"
สองคนแม่ลูกมองตามฉุนหรานที่รีบไปหยิบถังตักน้ำด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ ตอนนี้เป็นช่วงที่ผ่านการเก็บเกี่ยวแล้ว อีกไม่นานก็เข้าสู่หน้าหนาว ดังนั้นน้ำในบ่อจะเย็นมากกว่าปกติ
"หึ! นังโง่ กว่าจะซักผ้าเสร็จดีไม่ดีหล่อนคงป่วยตายไปแล้ว"
เด็กสาววัยเพียง 18 ปีมองตามหลังพี่สาวต่างมารดาอย่างผู้มีชัย ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอต้องชนะและอยู่เหนือฉุนหรานทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่นางถูกมารดาปลูกฝังมา
ทางด้านฉุนหรานยังคมก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ระหว่างที่เธอไปตักน้ำที่บ่อน้ำรวมก็มีชาวบ้านเข้ามาทักทายเธออยู่ไม่ขาด
"อาหรานมาตักน้ำเหมือนเหมือนกันเหรอ"
"ใช่จ้ะพี่สาว"
"พี่ฉุนหรานทำไหวไหม? เดี๋ยวฉันช่วยนะจ๊ะ"
เด็กสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เห็นว่าฉุนหรานทำท่างก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนไม่คุ้นชินกับถังที่ใช้หย่อนลงไปตักน้ำในบ่อจึงอาสาเข้ามาช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไร ๆ พี่ทำได้ แต่อาจจะช้าหน่อยเพราะวันนี้ไม่ค่อยมีแรง"
ฉุนหรานยิ้มให้ทุกคนก่อนจะหันมาตั้งหน้าตั้งตาตักน้ำในบ่อต่อไป มองจากพื้นที่โดยรอบที่หมู่บ้านนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย เว้นแต่ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่ยังคงหนาแน่นเช่นเดิม
พอนึกมาถึงจุดนี้ฉุนหรานก็อยากรีบออกจากบ้านจางให้ได้เสียที บ้านโหลวในความทรงจำของเธอ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ขยันขันแข็งและรักสันโดษ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉุนหรานต้องการ
กว่าน้ำจะเต็มตุ่มทำให้ฉุนหรานต้องเดินอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นเธอจึงนำเสื้อผ้าไปซักที่ริมลำธารที่อยู่ห่างออกไป พร้อมกับหญิงสาวในหมู่บ้านที่มักจะพากันไปเป็นกลุ่ม
นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาในยามที่ต้องอยู่กันเพียงลำพัง กับบุรุษที่อาจจะพบเจอกันโดยมิได้ตั้งใจ
ซักผ้าเสร็จฉุนหรานต้องมาตำข้าวร่อนข้าวต่อ โดยที่สองคนแม่ลูกไม่ช่วยเหลืออะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าเธอกลับทำหน้าที่ทุกอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ารอเวลาเอาคืน สิ่งไหนที่ควรเป็นของเธอ สิ่งนั้นย่อมต้องเป็นของเธออยู่วันยังค่ำ