"พี่ไปเอาจักรยานของคุณลุงคุณป้าออกมาใช้แบบนี้จะดีเหรอคะ"
ฉุนหรานเห็นสามีเอาจักรยานออกมาใช้โดยไม่ได้เอ่ยขอเจ้าของบ้าน เธอจึงรีบเอ่ยทักท้วงเพราะกลัวสามีจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม
"อาหรานไม่ต้องห่วง จักรยานคันนี้เป็นของพี่เอง ยังมีรถเข็นอีกหนึ่งคันที่เราฝากไว้ที่บ้านป้า จะเอาออกมาใช้ก็ตอนเข้าเมืองหรือหากมีสัตว์ป่าตัวใหญ่อย่างพวกหมูป่า หรือเก้ง กวาง เราก็จะเอาชิ้นส่วนใส่รถเข็นแล้วเอาเข้าไปขายให้พ่อค้าขาประจำ"
"อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันขอโทษที่เข้าใจพี่ผิด"
"ไม่เป็นไรครับ เรายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันและกัน"
ทั้งคู่คุยกันไปก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้าเข้าเมืองไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันฉุนหรานก็คิดว่าเธออาจจะต้องบอกเรื่องมิติและเล่าเรื่องของเธอให้สามีรู้เพื่อความสบายใจ การที่ต้องปกปิดคนที่นอนอยู่ข้างกันมันทำให้เธออึดอัดไม่น้อย
ความคิดของเธอในตอนนี้คืออยากเก็บเงินเอาไว้ การหาเงินสำหรับเธอในตอนนี้แทบไม่มีช่องทางไหนเลย อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรเสียงเงินซื้อสิ่งของอีก หากนำของในมิติที่มีอยู่ออกมาใช้ได้คงจะดีกว่า
"พี่เชื่อเรื่องการเดินทางข้ามเวลาไหมคะ อย่างเช่นคนจากอนาคตย้อนเวลามาที่นี่ ถ้าฉันเป็นคนคนนั้นพี่จะกลัวฉันไหม?"
ฉุนหรานลองใจสามีขณะที่ทั้งคู่เริ่มปั่นจักรยานเข้ามาในตัวเมืองแล้ว ดูจากระยะทางของหมู่บ้านซานตงกับตัวเมืองน่าจะห่างกันราว ๆ 2-3 กิโลเมตร ขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านหลายคนที่สะพายตะกร้าเข้าเมืองเพื่อไปหาซื้อเสบียงและของใช้ก่อนถึงฤดูหนาว
"ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ พี่คงมีภรรยาเป็นคนที่พิเศษมากจริงไหม? จะมีซักกี่คนกันที่สามารถทำแบบนั้นได้"
พอได้ยินคำพูดของสามีทำให้ฉุนหรานใจชื้นขึ้นมาก ถึงลึก ๆ จะกลัวอยู่บ้างว่าเขาอาจจะตกใจเมื่อเธอบอกความจริง แต่ก็ยังดีกว่าต้องปิดบังไปเรื่อย ๆ แบบนี้
แต่หากเขารับไม่ได้เธอก็แค่ไปตายเอาดาบหน้า อย่างน้อยก็มีเงินสินเดิมของแม่กับสินสอดที่ได้มาติดตัวไปด้วย แม้การเดินทางข้ามเมืองในยุคนี้จะเป็นไปได้ยากสำหรับหญิงสาวตัวคนเดียว แต่เธอคงต้องออกมาหางานทำในเมืองนี้ไปก่อน
"เป็นเรื่องจริงน๊า เดี๋ยวฉันจะเล่าให้พี่ฟัง"
"ค้าบ แล้วพี่จะตั้งใจฟัง ว่าแต่อาหรานอยากซื้ออะไรบ้าง พี่จะได้พาไปให้ถูกที่"
"อืออ ฉันอยากได้ผ้ากับปุยนุ่นแล้วก็อยากไปดูร้านค้ารอบ ๆ เมืองว่าเค้ามีอะไรขายบ้าง ที่สำคัญฉันอยากเห็นที่นั่น ที่ต้องห้าม พี่พาฉันไปดูหน่อยได้ไหม?"
ตงกูชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำขอของภรรยา แต่สองวันที่ผ่านมาเขาได้เห็นความดื้อรั้นในแววตาของเธอ หากเขาไม่พาไปสักวันเธอคงต้องหาทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง ไม่สู้ให้เขาเป็นคนพาไปน่าจะดีกว่า
"ตกลงครับ เดี๋ยวพี่จะพาไปที่นั่นก่อนแล้วค่อยออกมาปั่นจักรยานดูรอบ ๆ เมืองว่ามีร้านอะไรบ้าง แต่ถ้าพี่ไม่มาด้วยห้ามอาหรานเข้าไปที่นั่นคนเดียวเด็ดขาด สัญญากับพี่ได้ไหม?"
"ตกลงค่ะ ฉันสัญญา"
พอได้ยินเสียงสดใสของภรรยาก็พลอยทำให้ตงกูใจชื้นไปด้วย ไม่นานจักรยานของทั้งคู่ก็มาหยุดลงที่ตรอกเล็ก ๆ ที่มีคนยืนคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา
ตงกูนำจักรยานไปจอดที่ร้านขายข้าวสารใกล้ ๆ ก่อนจะพาภรรยาเดินไปที่ทางเข้าตลาดมืด ฉุนหรานเห็นว่าทุกคนที่ผ่านเข้าไปต้องบอกรหัสอะไรบางอย่างให้ผู้คุมได้รู้ แต่พอถึงตอนที่เธอกับสามีจะเข้าไป กลับไม่มีใครถามอะไร เพียงแค่มองหน้าสามีของเธอก็ปล่อยให้เข้าไปได้เลย
"โห ชาวบ้านเอาของมาขายเยอะเลยนะคะ ว่าแต่เนื้อหมูสวย ๆ เค้าขายกันชั่งละเท่าไหร่ พี่พอจะรู้ไหม?"
พอเข้ามาถึงด้านในตงกูก็จับมือของภรรยาเอาไว้ไม่ปล่อย คนตัวเล็กก็ดูท่าว่าตื่นเต้นกับทุกอย่างที่เห็น
"เนื้อหมูชั่งละ 6 หยวน ไก่ตัวเล็กอยู่ที่ตัวละ 4 หยวน ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ 7 หยวน"
"แล้วค่าแรงของคนที่ทำงานในโรงงานวันละเท่าไหร่เหรอคะ"
"พี่หลิวหยางลูกชายของลุง ทำงานอยู่ในระดับหัวหน้างาน เงินได้ที่ได้ก็อยู่ที่ 40 หยวน แต่ถ้าเป็นพนักงานทั่วไปจะอยู่ที่วันละ 8 เหมา ไม่ถึง 1 หยวนหรอก"
"แสดงว่ารายได้ของคนที่อยู่ในชนบทยุคนี้อยู่ที่ 250 - 400 หยวนต่อปีสินะ กว่าจะได้กินหมู 1 ชั่งต้องทำงานตั้ง 1 สัปดาห์โดยที่ไม่ใช้จ่ายอย่างอื่นถึงจะพอจ่ายค่าเนื้อหมู"
เห็นแบบนี้ฉุนหรานก็อยากเอาเนื้อสวย ๆ ที่มีอยู่ในร้านหม้อไฟของเธอออกมาขายเพื่อหาเงินเก็บเอาไว้ รอวันที่การค้าเปิดเสรีเธอน่าจะพอมีเงินเก็บไว้ซื้อที่หรือซื้อตึกทำเลดีเอาไว้เปิดร้านของเธอเอง
ตงกูพาภรรยาเดินดูของไปเรื่อย ๆ ในตลาดแห่งนี้มีทั้งเนื้อสัตว์ ข้าว แป้งและเครื่องปรุง หม้อ ชุดเครื่องครัว รวมไปถึงเสื้อผ้าและผ้านวมผืนใหญ่วางขายอยู่ มันทำให้ฉุนหรานตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
พอเดินดูจนครบเขาก็พาเธอออกมาปั่นจักรยานดูร้านค้าที่มีอยู่ในเมืองคุนหมิง ร้านขายข้าว ร้านขายเครื่องปรุงและเครื่องเทศ ร้านขายเนื้อสัตว์ ร้านขายเครื่องมือการเกษตร ร้านขายเสื้อผ้า ทุกอย่างล้วนถูกควบคุมจากทางการและต้องขออนุญาตอย่างถูกต้อง
กระทั่งทั้งสองมาหยุดอยู่หน้าสหกรณ์การค้าที่เป็นร้านขายของของทางการ ซึ่งรวบรวมทุกอย่างเอาไว้ในนั้นไม่ว่าจะเป็น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ยาสระผม ครีมทาผิว และของจิปาถะรวมไปถึงขนมของเด็ก ๆ
"เข้าไปข้างในกันครับ พวกนี้เป็นคูปองที่ต้องใช้ อาหรานอยากได้อะไรก็ซื้อได้เลย"
"หู้ว พ่อบุญทุ่มขนาดนี้พี่ไม่กลัวฉันใช้เงินของพี่หมดเหรอคะ"
สีหน้าและแววตาของภรรยามันดูทะเล้นจนตงกูรู้สึกมันเขี้ยว เขาอยากจับเธอมาตีก้นแรง ๆ แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ก่อน รอให้ถึงคืนนี้ก่อนเถอะ
"หึ ซื้อเถอะครับ ต่อให้เงินหมดพี่ก็จะขยันออกไปล่าสัตว์ไปขาย หาเงินเข้าบ้านให้อาหรานเอาไว้ใช้อีก ดีไหม?"
"พอเลย ไม่ต้องมาใช้สายตาแบบนี้ ฉันรู้นะว่าพี่คิดอะไร เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ"
"ครับคุณภรรยา"
สายตาของสามีมันทำให้ใจของเธอเต้นโครมครามเหมือนถูกจีบอยู่ตลอด เป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เลือดลมในตัวเธอรู้สึกสูบฉีดจนรู้สึกอุ่นซ่านท่ามกลางลมหนาว
พอเข้ามาถึงด้านในฉุนหรานเลือกที่จะเดินดูรอบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตุเธอจึงรีบเดินไปดูผ้าที่จะใช้เย็บทำผ้านวม พร้อมกับสั่งให้พนักงานนำปุยนุ่นออกมาให้ประมาณ 8 ชั่ง ซึ่งมันก็เยอะมากจนเต็มถุงใหญ่
"เอาครีมทาผิวกับของใช้พวกนี้ไปด้วยนะอาหราน บำรุงผิวพรรณหน่อย อีกเดี๋ยวก็เข้าฤดูหนาวแล้วผิวยิ่งจะแห้งกว่าเดิม"
ตงกูลองดมดูครีมทาผิวจนได้กลิ่นที่ชอบ เขาจึงยื่นให้กับภรรยาได้ดมดูก่อนที่ฉุนหรานจะพยักหน้าแล้วส่งยิ้มกลับมา เท่านั้นก็ทำให้เขามีความสุขมากแล้ว
"ขอบคุณนะคะที่เลือกให้ ฉันอยากได้ลูกอมตรากระต่ายกับนมอัดเม็ดไปฝากหลาน ๆ หน่อยค่ะ พี่ช่วยเลือกหน่อยได้ไหม?"
"ได้ครับ"
ทั้งคู่เลือกซื้อของฝากให้หลานเสร็จก็ไปเลือกเสื้อผ้ากันต่อ พนักงานนำชุดออกมาให้ฉุนหรานเลือกหลายแบบหลายสี ราคาอยู่ที่ชุดละ 5 หยวนถือว่าเป็นราคาที่สูงเอาเรื่อง จึงไม่แปลกที่คนยุคนี้จะมีเสื้อผ้าเพียงคนละ 2-3 ชุดเท่านั้น
"แพงจัง!"
เห็นแบบนั้นฉุนหรานก็เริ่มเสียดายเงิน เธอกำลังจะหันหลังไปที่อื่นแต่ผู้เป็นสามีกลับตัดสินใจเลือกสีที่เข้ากับเธอโดยไม่ถามเธอสักคำ แต่ยังดีที่เขาเลือกแบบกางเกงที่ดูทะมัดทะแมงจึงทำให้ฉุนหรานยิ้มกว้างออกมาได้
"เอาสีส้มอิฐลายดอก กับสีครีมปกน้ำตาลครับ"
"ได้ค่ะ กางเกงเอาสีน้ำตาลเข้มกับน้ำตาลอ่อนเข้าคู่เลยใช่ไหมจ๊ะ แหม๋ สามีของน้องสาวนี่ช่างเอาใจใส่ภรรยาจริง ๆ เลยนะ"
พอได้ยินพนักงานเอ่ยชม ตงกูยิ่งหน้าบานเข้าไปอีก ทางด้านฉุนหรานก็แทบจะอายม้วนยิ่งกว่าสาวน้อยแรกรุ่น อ้อ จริงสิ ร่างนี้อายุเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น ส่วนเธอที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้หากยังไม่ตายจากโลกเดิมก็อายุ 28 ปีแล้ว
"เอาเข้าคู่กันเลยค่ะ ส่วนพี่ก็เลิกยิ้มได้แล้ว ฉันอยากคนอื่นนะ"
"มีอะไรต้องอาย เราเป็นสามีภรรยากันนะ สามีเอาใจใส่ดูแลภรรยาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง"
"ทำดีหวังผลละสิไม่ว่า.."
ทั้งคู่นำสิ่งของที่ได้ไปจ่ายเงินที่โต๊ะคิดเงิน ครั้งนี้หมดไปกับการซื้อของเกือบ 30 หยวนกับคูปองอีกชุดใหญ่ แต่ตงกูก็ไม่บ่นอะไรสักคำ ระหว่างที่เขากำลังมัดถุงปุยนุ่นใส่อานรถจักรยาน ฉุนหรานจึงรีบเอาช็อกโกแลตกับใบชาขึ้นชื่อของเมืองผู่เออร์ออกมาอย่างละ 3 กล่อง
"จับดี ๆ นะครับ เราจะกลับกันแล้วนะ"
ทั้งคู่ปั่นจักรยานออกจากตัวเมืองในช่วงเวลา 9 โมงเช้าหลังจากซื้อของเสร็จ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านซานตงเพื่อนำรถไปเก็บไว้ที่บ้านของผู้เป็นลุงกับป้า
15 นาทีต่อมา
"กลับมากันแล้วเหรอลูก"
"ครับคุณป้า"
พอลงจากรถได้ตงกูก็รีบปลดเชือกที่มัดถุงนั่นออกแล้วนำไปเก็บ ทางด้านฉุนหรานก็นำของฝากไปให้ผู้เป็นลุงกับป้าของสามี และที่ขาดไม่ได้คือขนมที่เธอสัญญากับหลานสาวตัวน้อยเอาไว้
"อันนี้เป็นใบชา ฉันตั้งใจนำมาให้คุณลุงกับคุณป้าค่ะ ส่วนอันนี้เป็นขนมช็อกโกแลตที่อาสะใภ้สัญญากับอาอ้ายเอาไว้ มีนมอัดเม็ดกับลูกอมตรากระต่ายด้วยนะจ๊ะ ลองชิมดูนะ"
"โห้ อาสะใภ้ใจดีที่สุด ขอบคุณค่ะ"
"จ้า"
"ใบชานี่คงราคาแพงมากเลยนะอาหราน หลานไม่ต้องลำบากซื้อมาให้ลุงกับป้าก็ได้"
นางซือเหลียนเอ่ยกับหลานสะใภ้ พอเห็นของฝากนางก็รู้เลยว่าหลานสะใภ้ต้องใช้เงินไม่น้อยในการซื้อใบชาดีนี้มา ขนาดลูกชายกับสะใภ้ของนางทำงานมีเงินเดือนทั้งคู่ ยังต้องคิดแล้วคิดอีกหากจะซื้อใบชากลับมาสักกระป๋อง
"ไม่ลำบากเลยค่ะ ชงดื่มให้อร่อยนะคะ ถ้ามีโอกาสหนูจะเอามาฝากอีกค่ะ"
"ไม่ต้องลูกไม่ต้อง อันนี้ป้าฝากลับไปให้แม่ของพวกเราด้วยนะ พอดีวันนี้ป้าทำข้าวฟืนกินแล้วนึกขึ้นได้ว่าแม่ของพวกเราชอบมา วันหลังว่าง ๆ ป้าจะขึ้นไปหา"
ตงกูรีบเดินไปรับหม้ออวยที่ใส่ข้าวฟืนมาถือไว้ แม้เค้าจะแปลกใจเรื่องใบชากับขนมช็อกโกแลตแต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกไป
"งั้นผมกับอาหรานกลับก่อนนะครับลุง ป้า อากลับนะอาอ้าย เคี้ยวตุ้ย ๆ เลย อร่อยใช่ไหมเรา"
"อื้อ อาหย่อยมากเลยค่ะคุณอา"
พอเห็นหนูน้อยกินช็อกโกแลตอย่างเอร็ดอร่อยทุกคนก็พลอยสุขใจไปด้วย
"เดินระวังนะลูก ช่วงนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วหมอกก็เริ่มเยอะ จะลงเขาขึ้นเขาแต่ละครั้งต้องระวังให้มากนะ"
"ครับลุง พวกเราไปนะครับ"
ตงกูบอกลาทุกคนขณะเดียวกันก็รับตะกร้ามาสะพายบ่า พร้อมกับมัดถุงปุยนุ่นให้ติดกันอย่างแน่นหนา จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าเดินไปท้ายหมู่บ้านเพื่อขึ้นเขากลับไปด้วยเส้นทางเดิม