"นี่ๆเสี่ยวฮวามานี่หน่อย ไป๋ซิ่วพี่สาวเจ้าพาพี่ชายเจ้ากับคนงานร้านเขามาก่อกวนแหนะ"
ไป๋ซู่ฮวาไปตามแรงลากของเซียวผิงผิง จนนางลับตาลู่เปียวที่กำลังจะนำอาหารเข้าปากอยู่ๆประตูบ้านก็เปิดเขาถูกหอบมานั่งแอ้งแม้งบนพื้น สามารถหอบเขามาได้ฝีมือเช่นนี้มีคนเดียว เสด็จพี่หยางหนิงเฉิงก่อนจะเงยหน้า ใช่จริงๆ
"โอ๊ยเสด็จพี่ ทรงทำอะไรหม่อมฉันเจ็บนะ แล้วนี่สามีของแม่นางไป๋คือท่านหรือ ห๊า คนที่เกลียดสตรีเข้าไส้ไม่จริงมั้งข้าคงเข้าใจผิด"
"ไม่ผิดหรอกแล้วเลิกเกาะแกะเมียข้าด้วยว่าแต่มาที่นี่ทำไม เมืองหลวงไกลเพียงนั้นท่านชายเช่นเจ้าไม่อยู่ในจวนดีๆมาเร่ร่อนที่กันดาร หรือถูกเสด็จอาหรือเสนาบดีลู่เนรเทศมาล่ะ"
"เสด็จพี่ ข้ามาเพราะได้ข่าวว่าโอรสของฉินกุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ จึงอยากหาข่าวคนของฮองเฮาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ถ้าเด็กยังอยู่เรื่องรัชทายาทของแคว้นอู่ก็ยังมีหวัง"
"ได้ข่าวว่าอยู่ที่ใดหรือ บุตรของนางเป็นผู้ชายหรือจึงมั่นใจนัก" หยางหนิงเฉิงหลับตาโชคดีที่ให้เสี่ยวจิ้งกับอาหลี่พาเด็กๆไปเล่นที่อื่นแล้ว ลู่เปียวเป็นเด็กดีแต่หูตาสกุลกัวนั่นมากมายต้องระวัง
"ข้าก็ไม่รู้ ได้ข่าวว่านางคลอดเด็กแล้วฝากเจ้าอาวาสวัดไท้ส่วยเลี้ยงดูพ่ะย่ะค่ะ พอดีที่นี่เป็นทางผ่านข้าเลยแวะพัก เอ่อเสด็จพี่เสด็จย่าบอกแล้วว่าจะไม่บังคับพระองค์เรื่องแต่งพระชายาอีก กลับวังเถอะพ่ะย่ะค่ะ อยู่แต่ชายแดนไม่เห็นน่าสนุกตรงไหน"
ไม่นานก็ได้ยินเสียงไป๋ซู่ฮวากำลังกลับมา
"เจ้าไปเถอะ จำไว้อย่าวุ่นวายเมียข้าต่อให้เป็นโอรสของฝ่าบาทหรืออ๋องท่านไหนข้าก็ไม่เว้นนะหวังเฮ่ามาด้วยหรือไม่เรียกเข้ามาหน่อย"
ลู่เปียวค่อยๆพยุงตัวเองออกไป เสด็จพี่ทรงรุนแรงชะมัด คนบ้าอะไรหวงเมียขนาดนี้ กับพี่น้องก็ลงมือ เจ็บชะมัดหวังเฮ่ามายืนรออยู่เห็นเด็กที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆเดินโขยกเขยกก็รู้ว่าคนข้างในเป็นใคร
"ท่านชาย หนิงอ๋องหรือขอรับ"
"อืม จะมีใครอีกล่ะที่โบกมือครั้งเดียวก็ทำข้าลอยได้ เจ็บชะมัดเสด็จพี่พระทัยร้าย ยิ่งมีเมียยิ่งน่ากลัว ไป๋ซู่ฮวาคนนั้นคือภรรยาเสด็จพี่น่ะนี่ท่านลุงหวัง คนที่เกลียดสตรีขนาดนี่เหตุใดถึงหวงเมียนัก"
"บางทีก่อนหน้าอาจแค่ไม่เจอสตรีที่พึงใจ อีกอย่างเด็กคนนั้นดูฉลาด มีไหวพริบไม่ใช่พวกคุณหนูในห้องหอที่วันๆเอาแต่เล่นหมากดีดพิณ เดินบิดผ้าเช็ดหน้าทอดสายตากระมังขอรับ ที่สำคัญข้าน้อยอยู่มาจนสี่สิบแล้วสิบอันดับหญิงงามในเมืองหลวง ยังไม่อาจเทียบนางเลยพะย่ะค่ะ"
"เสด็จพี่เรียกหาท่าน ไปพบเขาด้วยสมกับเป็นดาวมัจจุราชจริงๆ ขุนนางทั้งเมืองหลวงเจอหน้าเขาต้องห่างสิบจั้ง"
ลู่เปียวคือบุตรของรุ่ยอ๋อง อนุชาของฮ่องเต้และเป็นหลานเสนาบดีลู่ส่วนหยางหนิงเฉิงเป็นบุตรของเยียนอ๋องพระเชษฐาของฮ่องเต้
รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องตั้งแต่อายุสิบห้า มีตำหนักเป็นของตนเอง
เสนาบดีลู่ไม่มีลูกชายมีแค่หลานชายลู่เปียวจึงใช้แซ่ลู่เพื่อสืบทอดสกุลให้ท่านตา คนโตหยางตงหยางสืบทอดตำแหน่งซื่อจื่อของตำหนักรุ่ยอ๋อง
ไม่นานหวังเฮ่าก็สีหน้าเคร่งเครียดออกมา ท่านอ๋องให้รีบพาท่านชายกลับตำหนัก คนของกัวฮองเฮากำลังตามไปที่สัดไท้ส่วย หากพบกันอาจเกิดอันตราย ท่านชายเป็นเด็กดื้อจะให้กลับเมืองหลวงคงจะยาก ถึงจะรู้ว่าท่านอ๋องเป็นห่วงท่านชายแต่เก้าในสิบคงหวงเมียสาวมากกว่า ท่านชายรูปงามลองจากเขาเท่านั้น เหอะนี่หรือคนที่เกลียดสตรีเข้าใส่ ไป๋ซู่ฮวาที่จัดการบ้านใหญ่กลับมาเห็นลู่เปียวเดิน โขยกเขยกก็ร้องถาม
"ใต้เท้าลู่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดเดินแบบนั้น ขาแพลงหรือ"
"ฮือๆพี่สะใภ้ฝีมือสามีท่านไง เจ็บจะตายอยู่แล้ว"
"เอ่อ ที่ไม่ค่อยเสมอกันข้าเลยเท้าพลิกน่ะ จัดการได้หรือไม่ต้องให้ข้าออกหน้าไหม"
"ไม่รบกวนท่านหรอกเจ้าค่ะ พวกเขาอยากได้ของๆข้าก็ต้องดูว่ามีปัญญาไหม แต่มีเรื่องนึงต้องให้ท่านช่วยจริงๆ ข้าทำไม่ได้"
จากนั้นก็เล่าความจำเป็นของนางและเรื่องที่ต้องการขอร้อง ลู่เปียวคิดหนักเรื่องนี้เกินความสามารถท่านชายอย่างเขาจริงๆนี่เป็นเรื่องในครัวเรือนแต่ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ หากยังไม่เกิดการซื้อขายก็ยังไม่เกิดความผิด
"พี่สะใภ้ เอ่อไม่ใช่สิฮูหยินเรื่องนี้ข้าเป็นผู้ตรวจการยื่นมือไม่ได้แต่จะให้กุนซือหวังช่วยเป็นธุระให้ อย่ากังวลเลย"
มีเสียงเรียกมาจากด้านใน ไป๋ซู่ฮวาหน้าแดงจนถึงใบหู
"เมียจ๋า คิดถึงจะตายอยู่แล้วเสร็จงานหรือยัง ขาข้านี่นะเมื่อไหร่จะหายสักทีสงสารเมียจังเลย"
หวังเฮ่าเข้าใจทันทีที่คนด้านในส่งสัญญาณมาจึงเอ่ยกับไป๋ซู่ฮวา
"ฮูหยิน ท่านลองปรึกษาสามีท่านดูให้นำรายชื่อพวกเขาใส่ในทะเบียนบ้านของสามีท่าน น้องชายท่านยังเด็กเกินไป อาจมีปัญหาเรื่องความกตัญญูในภาคหน้า อย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโส แต่กับสามีท่านย่อมไม่เหมือนกันหากสามีท่านอนุญาต ข้าจะไปทำเรื่องที่ว่าการให้แล้วจะให้คนนำหนังสือทางการมาให้อีกที"
ไป๋ซู่ฮวาคิดเแล้วเห็นด้วยจึงตอบรับจากนั้นก็พากันไปคำนวณภาษี เดิมทีหมู่บ้านนี้มีหนึ่งร้อยห้าสิบหลังคาเรือน ปกติจ่ายแค่สองตำลึงต่อครัวเรือนข้าวสามกระสอบถั่วสองกระสอบแต่เพราะมีคนก่อเรื่องสามสิบครัวเรือนจึงได้เพิ่มมาอีกครัวเรือนละสามตำลึงธัญพืชเพิ่มอีกหกสิบกระสอบ
ลู่เปียวขานรายชื่อคนที่ติดหนี้พี่สะใภ้เขาทีละคน ข้าวและถั่วอย่างละกระสอบถูกวางตรงหน้า โชคดีที่ไป๋ซู่ฮวาเลือกห้องใหญ่จึงเก็บได้พอดี ส่วนที่เกินมานั้นใส่ไว้ในห้องเก็บเสียงเดิม
นางมีถั่วเหลืองเจ็ดสิบกระสอบ ถั่วลิสงห้าสิบกระสอบ ข้าวเปลือกหนึ่งร้อยห้าสิบกระสอบ พ่อเฒ่าไป๋แทบจะกระโดดมาฆ่านาง อีเด็กอกตัญญู น่าโมโหนักหันไปเห็นหลานชายนอนอยู่ก็เอ่ยขึ้น
"นี่เจ้าสาม ต่อหน้าใต้เท้าท่านนี้เจ้าทุบตีพี่ชายกับคนของเขาบาดเจ็บจะชดเชยอย่างไร"
"ใช่ท่านพ่อพูดถูก นังเด็กสารเลวนั่นพี่ชายเจ้านะลงมือหนักถึงเพียงนี้ ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม"
ลุงใหญ่กับท่านปู่ช่างเข้ากันได้ดีไป๋ซู่ฮวาคิดในใจ ไหล่น้อยๆเริ่มสั่น เหมือนคนกลั้นสะอื้นจนน่าสงสาร ร่างระหงในชุดสีฟ้าอ่อนบอบบางเหลือเกิน ใครเห็นก็อยากเข้าไปปลอบใจ น้ำตาค่อยๆไหลช้าๆก่อนจะเงยหน้าสบตาชาวบ้าวแล้วเอ่ย
"ข้าไม่เข้าใจ ทุกท่านใต้เท้ารบกวนให้ความกระจ่างแก่ข้าน้อยด้วย มีโจรมาขโมยของบ้านท่านๆต้องคำนับหรือไม่ ที่ดินของข้าผลผลิตในแปลงนาของข้าต้องยกให้ผู้อื่นหรือไม่ พาคนมาจะทำร้ายข้าๆต้องขอบคุณเช่นนั้นหรือ ฮือๆสามีข้าก็ขาเจ็บ ตอนนี้ยังป่วยอยู่เลยจะบีบคั้นให้พวกเราอดตายจริงหรือ น้องชายข้าคลอดก่อนกำหนดตั้งแต่เด็กต้องคอยหาหมอ ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่จากไป เขากินอิ่มสักมื้อยังไม่เคยจะหาหมอได้อย่างไร ก่อนหน้าพ่อแม่ข้าเลี้ยงคนทั้งบ้าน มาตอนนี้พวกท่านไม่อยู่แค่ข้าวสามมื้อพวกข้ายังไม่เคยได้เลยฮือๆๆๆสวรรค์มาพาเราสองพี่น้องไปเถอะ มีญาติแบบนี้สักวันก็ต้องถูกสามีรังเกียจหย่าร้างข้าจะทนอยู่ไปทำไมกันฮือๆ"
"เพ้ย ผู้เฒ่าไป๋พวกข้าไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นแต่นังหนูนี่พูดถูก จิงถิงกับเมียทำมาค้าขายเลี้ยงพวกเจ้าทั้งบ้าน พอเขาตายพวกเจ้ายืดของลูกๆเขามาหมด"
"อย่ามาว่าท่านพ่อข้านะ นั่นมันของพี่ชายข้าเข้าต้องกตัญญูต่อท่านพ่อข้าอยู่แล้ว"
ไป๋ซิ่วเสียงดังใส่ชาวบ้าน นางเกลียดอีนักเด็กซู่ฮวานี่เกิดมาก็มีใบหน้างดงาม พ่อแม่ค้าขายมีเงินหลังจากพี่รองตายก็ไม่ต่างจากสุนัข ต้องคอยกินของเหลือของนาง
" กตัญญูอะไรไป๋ซิ่ว ที่ดินนั้นเป็นสินเดิมอาสะใภ้โจวต่างหาก หน้าไม่อายเจ้ากล้าพูด"
"เจ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องบ้านไป๋ คนบ้านเซียวมาเกี่ยวอะไรด้วย"ไป๋ซิ่วชี้หน้าด่าเซียวผิงผิง
"นี่ลุงไป๋ข้าพูดสักคำเถอะนะ ลูกหลานข้าต้องแต่งงานออกเรือน อย่าให้คนว่าได้ว่าหมู่บ้านไป๋ฮวาผู้อาวุโสรังแกลูกหลาน จนเดือดร้อนผู้อื่นเลย เสี่ยวฮวาเงียบเถอะอย่าร้องไห้อีกเลยเดี๋ยวจะป่วยเอาได้ พวกเราอยู่ตรงนี้ไม่มีใครกล้ารังแกครอบครัวพวกเจ้าหรอก"
ชาวบ้านเริ่มสนับสนุน ตั้งแต่เด็กถ้าไม่นับเรื่องคืนนั้นที่ถูกคนให้ร้ายเด็กคนนี้ขยันขันแข็งทำงานในไร่นาไม่เคยบ่นสักคำ
"เจ้าๆๆๆดีๆๆให้คนอื่นมาชี้หน้าด่าปู่ด่าปู่ตนเองช่างกตัญญูเหลือเกิน"
ไป๋เจิ้งชี้หน้าด่าไป๋ซู่ฮวา จากนั้นก็พยุงกันกลับบ้านมีคนของทางการอยู่ตรงนี้ทำอะไรไม่ได้
ตัวก่อกวนไปแล้วนางจึงเอ่ยถามผู้นำหมู่บ้าน
"ท่านปู่จ้าน ท่านรู้จักเต้าหู้หรือไม่เจ้าคะแล้วก็ซอสถั่วเหลืองด้วย"
"ไม่รู้ ว่าแต่มันคือสิ่งใดหรือเสี่ยวฮวา"
ไป๋จ้านถามกลับเด็กสาวตรงหน้า เขารู้ดีว่าเมื่อสักครู่นางไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด คนเช่นไป๋เจิ้งกับครอบครัวควรโดนแบบนี้ แค่เขาคนเดียวคงไม่พอต้องให้ชาวบ้านร่วมกันรังเกียจถึงจะดี
"เต้าหู้เป็นอาหารสามารถทำกินได้ทุกฤดูกาล ซอสถั่วเหลืองเป็นเครื่องปรุงปีนี้ผลผลิตถั่วเหลืองค่อนข้างดี ข้ามีวิธีทำสองสิ่งนี้ แต่ท่านปู่จ้านข้าขอเลือกคนที่จะเรียนเองนะเจ้าคะ น้ำข้าวมีคุณค่า หมากัดเจ้าของหรือไม่รู้คุณคนข้าไม่สอน"
ชาวบ้านพากันมองสตรีที่พากันไปหาเรื่องนางวันก่อนเป็นตาเดียว สตรีเหล่านั้นรีบพากันเดินกลับบ้านทันที ไป๋ซู่ฮวาบอกว่าขอให้สามีนางลงจากเตียงได้ก่อนแล้วจะสอนให้ พวกเขาก็ยินดีชาวบ้านกลับไปแล้วใต้เท้าลู่ก็ไม่อยู่ทานข้าวเย็น
ใครจะกินลง นั่งจ้องเขม็งขนาดนั้นพี่สะใภ้สามีท่านนะโหดร้ายยิ่งนัก โยนสตรีที่น่ารังเกียจให้ทหารชั้นล่างเสพสุขมาไม่รู้กี่คนแล้ว"
ลานบ้านไม่มีคนแล้วเพิ่งจะยามเซิน เมื่อเช้ามีอาหารที่ไป๋ฮวนทำไว้เหลือเยอะมื้อเย็นจึงแค่อุ่นเอาเท่านั้น เจ้าไปดูคนขี้งอนสักหน่อยก่อนเด็กๆจะกลับมาเห็นว่าพากันไปเก็บเห็ดให้นางผัดให้กินอีก
"ท่านพี่หายไข้หรือยังเจ้าคะ อื้อๆ"
หยางหนิงเฉิงไม่ตอบแต่กลับจุมพิตนางเนิ่นนานก่อนจะถอนริมฝีปากอย่างเสียดาย
"เหนื่อยไหม วันนี้ให้พักก็ได้ถึงแม้ว่าใจอยากรักเจ้าจนย่ำรุ่งแต่กลัวเจ้าเหนื่อยเกินไปเด็กดี นอนสักหน่อยเถอะเดี๋ยวมืดๆค่อยตื่นยุ่งมาทั้งวันแล้ว"
ไป๋ซู่ฮวานอนหนุนแขนหยางหนิงเฉิงตะแคงตัวเข้าหาซุกหน้ากับอกแกร่งแขนเรียวกอดเอวหนาไว้แล้วหลับไป นางรู้สึกตัวว่าเริ่มรักคนตรงหน้าเสียแล้ว ท่าทางเขาไม่เหมือนบัณฑิตไม่รู้อนาคตต้องจากกันไหม แต่ตอนนี้อยากอยู่ในอ้อมกอดเขาให้นานเท่าที่จะนานได้ก็พอ