บทที่ 5
จีบหน่อย (1)
รถยนต์คันหรูสีขาวถูกยกขึ้นบนรถสไลด์ของร้านซ่อมรถชื่อดังที่อยู่หน้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งมันมาจอดเทียบหน้าตัวร้าน ทำให้ฉันที่นั่งรออยู่ด้านในห้องแอร์เย็น ๆ ถึงกับร้อนใจรีบผุดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาลูกชายตัวเก่งทันที
จากการพูดคุยกับช่างในตอนแรก ฉันไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะมีคุณเนื้อคู่ยืนอยู่ข้าง ๆ บอกไปเพียงว่ารถสตาร์ตไม่ติดและได้จอดทิ้งไว้ที่ตึกนิเทศ ซึ่งเพียงเท่านั้นก็ทำให้ช่างตัดสินใจเรียกรถสไลด์มารับรถของฉันมาที่ร้านซ่อมรถแห่งนี้
“อย่ารุนแรงกับลูกของหนูมากนะคะพี่ น้องเพิ่งถอยมาจากศูนย์ไม่ถึงปีเลยอะ” ฉันรีบเดินไปบอกพี่ช่างผู้ชายที่ตอนนี้กำลังรับหน้าที่ดูแลเคสรถของฉัน โดยที่คุณเนื้อคู่นั้นนั่งรออยู่ด้านในห้องรับรอง ซึ่งอยู่ห่างกันพอสมควร และที่สำคัญฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันกำลังพูดคุยกับพี่ช่างในตอนนี้แน่นอน
“พี่ลองเช็กดูแล้วนะ รถน้องก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ สตาร์ตได้ตามปกติเลยนี่นา แล้วทำไมตอนนั้นน้องถึงบอกว่ามันเสียล่ะ”
“เอ่อ…ก็ไม่รู้สิคะพี่ ตอนนั้นอยู่ ๆ มันก็สตาร์ตไม่ติดอะ โห่พี่…หนูก็ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่รู้เรื่องรถไรนี่หรอก” ฉันแสร้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ทำท่าทางไขสือไม่รู้เรื่องราว ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเข้าใจเต็มอกว่าลูกชายตัวเก่งคันนี้มันสมบูรณ์และแข็งแรงมากแค่ไหน
“งั้นน้องก็เอารถกลับได้เลย แต่ต้องจ่ายค่าช่างกับค่าเรียกรถก่อนนะน้อง หรือถ้าน้องอยากให้พี่ลองเช็กเพิ่มเติมก็ได้นะ แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“งั้นพี่ช่วยเช็กดูหน่อยแล้วกัน หนูอยากให้มันชัวร์อะพี่ จะได้สบายใจ ไม่ต้องรีบนะคะ หนูรอได้” ฉันรีบบอกกับพี่ช่างจนลิ้นแทบพันกัน เนื่องจากสายตาดันหันไปเห็นคุณเนื้อคู่ที่กำลังเดินออกมา แถมยังทำท่าว่าจะตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของเขาอีกด้วย
“ได้น้อง งั้นนั่งรอแป๊บนะ”
“ค่ะ ๆ ตามสบายเลยพี่…คุณเนื้อ…เอ๊ย น้องกวิน! จะไปไหนอะ” ฉันสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาคนตัวโตพลางจับรั้งที่ชายเสื้อเขาเอาไว้
“ก็ผมช่วยพามาหาช่างแล้วนี่ไง แถมช่างก็เอารถพี่มาแล้วด้วย หมดธุระของผมแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ขายาวก้าวฉับตรงดิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่จอดอยู่หน้าร้าน โดยไม่ได้สนใจกับเสียงเรียกรั้งของฉันเลยสักนิดว่ากำลังตะโกนร้องบอกแค่ไหน
“เดี๋ยวสิ รถพี่มันยังต้องเช็กอีกสักพักเลย ใจคอจะทิ้งให้พี่อยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ มันมีแต่ผู้ชายง่ะ”
“แล้วใจคอพี่จะรบกวนผมอย่างเดียวเลยรึไง”
ทว่าประโยคตอบกลับทำเอาฉันสะอึกแน่นิ่งไปชั่วขณะ เหมือนถูกด่าว่าไร้มารยาทยังไงก็ไม่รู้ อีกทั้งสายตาคมคู่นั้นยังจดจ้องมาที่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยคำตำหนิมากมาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูด แต่ฉันก็สามารถรับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่พอใจฉันขั้นสุด
“อ่า…ขอโทษ งั้นกลับเลยก็ได้ ขอบคุณมากนะที่ช่วยเรื่องรถ ไว้ถ้ามีโอกาสพี่ขอตอบแทนเราแล้วกันนะ” สีหน้าจืดเจื่อนปรากฏขึ้นทันทีที่ได้รับคำตอบตอกหน้าหงาย
เหมือนกับถูกของแข็งบางอย่างตีเข้ากลางหัวจนมันมึนตึงไปทั้งหมด ร่างกายก็ชาวาบตั้งแต่โคนผมมายังปลายนิ้วเท้า ยอมรับเลยว่าฉันเกิดอาการ ‘เงิบ’ และเสียหน้ากับคำพูดของคุณเนื้อคู่จริง ๆ
“ไม่เป็นไร”
“เย็นชาจังเลยน้า…ขับรถดี ๆ ล่ะ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยพี่ บาย” ฉันถอนหายใจพลางโบกไหวมือลาให้กับคนตัวโต ที่ตอนนี้กำลังคร่อมตัวรถมอเตอร์ไซค์และเตรียมพร้อมในการออกตัว
จนกระทั่งเขาขับเคลื่อนมันออกไปช้า ๆ ฉันจึงได้หมุนตัวกลับมา ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปรอในห้องรับรองของทางร้านซ่อมรถดังเดิม
“ใช่เรื่องที่จะมาฉีกแบงก์เล่นไหมวะเนี่ย รถดี ๆ แต่เอามาตรวจเช็กให้เสียเงิน อยากจะบ้า!”
ใช้เวลาราว ๆ สองชั่วโมงก็ได้ลูกชายกลับคืนสู่อ้อมกอด ค่าเสียหายในวันนี้คือสามแบงก์เทาไม่ขาดไม่เกิน ความเซ็งถาโถมอัดเข้าร่างกายจนอยากระบาย แต่ความหิวโหยจากการนั่งรอรถหลายชั่วโมง ทำให้ฉันจำต้องแวะจอดกินข้าวที่ร้านใกล้ ๆ กับคอนโดฯ ของตัวเองเพื่อเติมพลังก่อนจะแผลงฤทธิ์คิดทำอะไรบ้า ๆ ได้อีก
“อ้าวนังหนูคนสวย มา ๆ วันนี้จะกินอะไรดี ไม่เจอหน้าหลายวันเลยนะเนี่ย” ทันทีที่ขาก้าวเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง เสียงแหลม ๆ ของป้าเจ้าของก็เอ่ยทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มฉีกกว้าง ที่สามารถเห็นได้ไกลมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร
“เอาสุกี้แห้งไม่ใส่ผักกาดค่ะป้า อ้อ…ใส่น้ำจิ้มสุกี้น้อย ๆ น้า หนูลดโซเดียมอยู่”
“ได้จ้า ป้าจำได้ ไม่สุกี้ก็ผัดเห็ดนี่แหละที่หนูชอบสั่ง”
“ป้าจำได้ด้วยเหรอคะเนี่ย โห ดีใจอ่า” ฉันทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ ขณะที่ใบหน้าก็หันไปสนทนากับป้าเจ้าของร้านที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นในการทำอาหารหน้าเตา
“ป้าจำหนูได้ เมนูของหนูมันเรื่องมากยิ่งกว่าใคร แถมเครื่องประดับที่หนูใส่มันก็เยอะจนเวอร์ ป้าจำได้แม่นเลยล่ะลูก”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาฉันนิ่งไปชั่วขณะ ป้ากำลังหลอกด่าฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย…
“อ้าวสุดหล่อ! วันนี้กินอะไรดีลูก เข้ามานั่งก่อน”
“เอากะเพราหมูกรอบไข่ดาวจานหนึ่งครับป้า”
ขณะที่ฉันกำลังคิดตกตะกอนถึงคำพูดเมื่อครู่ เสียงของป้าเจ้าของร้านก็เอ่ยขึ้นทักทายกับลูกค้าที่เข้ามาใหม่ ซึ่งมันก็ทำให้ฉันหันไปมองตามระดับสายตา กระทั่งพบว่าคนที่เดินเข้ามานั้นคือคนที่ฉันเพิ่งแยกจากเขาไปไม่นานนี้เอง
คุณเนื้อคู่!
ให้ตาย…วันนี้ฉันเจอหน้าเขาด้วยความบังเอิญสองครั้งแล้วนะเนี่ย ไม่รู้ว่าฉันคิดเองเออเองไปคนเดียวหรือเปล่าว่านี่มันพรหมลิขิตชัด ๆ!
“คุณเนื้อคู่! เจอกันอีกแล้ว มานั่งนี่สิ โต๊ะพี่ว่างนะ” ทันทีที่สายตาจับจดจ้องมองร่างสูงที่เพิ่งเดินเข้ามาและรับรู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ก็ทำให้ฉันรีบโบกไหวมือและออกปากทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ไม่เป็นไรครับ โต๊ะอื่นก็ว่าง”