บทที่ 4
พี่ณิน & น้องกวิน (2)
“คุณ! คุณเนื้อคู่อย่าเพิ่งไปค่ะ รอด้วย!” การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีคือการร้องเรียกเขา ตามมาด้วยกันสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาคนตัวโตที่ตอนนี้มีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาชะงักฝีเท้าหยุดการเคลื่อนไหว นัยน์ตาคมมองมาด้วยความแปลกใจ ส่วนคิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม
“นี่คุณ…”
“คุณเรียนอยู่คณะนี้เหรอคะ โชคดีสุด ๆ เลยอะไม่คิดว่าจะได้เจอนะเนี่ย คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันขอไปหยิบยาก่อน นี่พกติดตัวตลอดเลยนะเนี่ย รอแป๊บ” ฉันเอ่ยปากโพล่งบอกเสร็จสรรพก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อหยิบของบางอย่าง
กระทั่งเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคุณเนื้อคู่ก็รีบชูถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล และส่งยื่นไปให้คนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังชะงักค้าง ราวกับว่าตกตะลึงกับการปรากฏตัวของฉันไม่หาย
“ยาค่ะ วันนั้นคุณรีบกลับไปก่อนอะ มันมียาแก้ปวดด้วยนะ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเอาไปให้คุณที่ไหนก็เลยพกติดตัวไว้ตลอดเลย เผื่อบังเอิญได้เจอกัน แล้วก็บังเอิญจริง ๆ ไม่คิดเลยนะคะเนี่ยว่าฉันจะได้เจอคุณที่นี่อะ” เมื่อเห็นว่าคนตัวโตยังยืนนิ่งไม่ยอมรับสิ่งที่ฉันส่งยื่นไป ก็ทำให้ฉันตัดสินใจใช้ปลายถุงเกี่ยวกับนิ้วเรียวของเขาเอาไว้ ก่อนจะรีบสาธยายถึงความบังเอิญที่ไม่ทันคาดคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างน่าตกใจแบบนี้
“…”
“แล้วคุณชื่ออะไรอ่า ฉันชื่อณินนะ ณินที่มาจากคำว่าญาณิน ไม่ใช่จากคำว่านินจาอะ” ความเงียบของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ความอยากรู้จักลดน้อยลงสักนิด ฉันแนะนำตัวเองก่อนพร้อมกับการอธิบายถึงที่มาของคำว่า ‘ณิน’ ให้เขารับรู้ เพราะโดยส่วนมากใครหลาย ๆ คนก็คงแปลกใจทั้งนั้นว่ามันมาจากอะไรกันแน่
อย่างเพื่อนในคณะก็ชอบเรียกฉันว่านินจากันทั้งนั้นจนมันกลายเป็นฉายาและชื่อที่เรียกติดปากกันไปหมดแล้ว
“…” ไร้ซึ่งคำตอบ มันมีเพียงเสียงถอนหายใจที่ดังออกมา พร้อมกับดวงตาคมคู่นั้นที่ตวัดมองผ่านไป
“แล้วคุณเรียนอยู่ปีไหนอะ จริง ๆ ฉันอายุยี่สิบเอ็ดนะแต่ว่าอยู่ปีสอง พอดีว่าซิ่วมาอะเลยได้เรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน คุณน่าจะเป็นน้องฉันแน่เลยใช่ป้ะ” จากการคาดเดาก็คงคิดว่าคุณเนื้อคู่น่าจะอายุน้อยกว่าฉันนั่นแหละ ดูจากการใส่เนคไทและเข็มขัดของมอแล้วน่าจะอยู่ปีหนึ่งแหง ๆ
ใคร ๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เวลาเข้าเรียนใหม่ ๆ ก็คงแต่งตัวถูกระเบียบจัดเต็ม แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันขอค้านก็คือใบหน้าของคุณเนื้อคู่ที่มันดูหงุดหงิด และไม่มีความอ่อนน้อมเหมือนเด็กใหม่เลยสักนิด
วีนเหวี่ยง เย็นชา รำคาญ…ครบจบในคนคนเดียว!
“อ๊ะ…จะไปไหน อย่าเพิ่งไปสิ ยังไม่ได้บอกชื่อเลยนะ” ฉันรีบยกมือห้ามและขยับตัวไปขวางทางเดินเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง
“กวิน”
“ฮะ?” เสียงร้องออกมาด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับใบหน้าที่ตอนนี้เหลอหลาบ่งบอกว่ากำลังงงขั้นสุด
“ชื่อกวิน เรียนนิเทศ อยู่ปีหนึ่ง เด็กกว่าคุณ แค่นี้ใช่ไหมที่อยากรู้”
“อ่อ…อ๊ะ! เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป” ฉันพยักหน้ารับหงึก ๆ ในหัวก็กำลังประมวลถึงข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ แต่ไม่นานก็ต้องรีบดึงสติกลับมา เพราะคนตรงหน้ากำลังจะสาวเท้าเดินเลี่ยงออกไปอีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังแสดงสีหน้าและท่าทางที่ไม่พอใจอย่างถึงที่สุดอีกด้วย
“คุณมีอะไรอีกครับ อยากรู้อะไรอีก อ้อ…ขอบคุณมากครับสำหรับความรับผิดชอบและก็ยานี่ ขอบคุณครับ ขอตัว”
“ไม่ได้อยากได้ยินคำขอบคุณสักหน่อย แหม…แล้วดูเรียกสิมาคงมาคุณอะไร เรียกพี่ณินก็ได้จ้ะน้องกวิน คนกันเองอะเนอะ” ฉันสะบัดมือไปมาพลางป้องปากหัวเราะเหมือนนักแสดงตามละครหลังข่าว ใช้จริตมารยาหวังตีเนียนเพิ่มความสนิทกับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ให้ได้มากที่สุด
“ครับ มีอะไรอีกไหมครับ ผมรีบ”
“มี มีจ้ะ” ท่าทางรำคาญของอีกฝ่ายทำให้ฉันนึกหมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เพียงกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ และแสดงออกผ่านรอยยิ้มแป้นกว้าง ๆ ออกไปแทน
“ครับ?”
“เอ่อคือ เอ่อ…อะไรดีวะ…” พอถูกสายตาคมจดจ้องก็ทำให้ไปไม่เป็น
เหตุผลร้อยแปดที่เพียรคิดอยู่ ๆ หายลับดับวูบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือนอกจากความว่างเปล่า
“ถ้าไม่พูดผมไปนะ”
“คือรถพี่เสียอะ! น้องช่วยพี่หน่อยสิ พี่ไม่รู้จะทำยังไงดี เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว โสดสนิทไม่มีคนคุย นี่ก็ป่วยไม่ค่อยสบายด้วย ไอค้อกไอแค้ก ไอดีวายเอเอ็นไอเอ็น น้องกวินพอจะช่วยพี่ได้ป้ะคะ” แกล้งกระแอมเหมือนคนป่วยนิด ๆ พร้อมกับส่งสายตาหยอด ๆ ไปให้ อยากจะตกรางวัลให้ตัวเองด้วยกระเป๋าสักใบจริง ๆ ว่าการแสดงของฉันมันล้ำเลิศขนาดนี้
“ยังไงนะ” คนตัวสูงเลิกคิ้วมองฉันอย่างพิจารณา ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจกับคำพูดเมื่อกี้นี้เลยสักนิด การกระทำเหล่านั้นจึงทำให้ฉันต้องปัดตกการจีบเสี่ยว ๆ นั้นไปโดยปริยาย ก่อนจะปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติเพื่อเข้าสู่โหมดจริงจังมากที่สุด
“อะแฮ่ม! คือรถพี่เสีย มันเป็นอะไรก็ไม่รู้อะ น้องพอจะช่วยพี่ได้บ้างเปล่า พี่ไม่รู้จะทำไงแล้วจริง ๆ ไม่รู้เรื่องรถด้วย เบอร์โทรช่างก็ไม่มี จะโทรหาเพื่อนก็เกรงใจอะ นี่พี่เจอน้องพอดีเลยอยากมาขอความช่วยเหลือ”
“แล้วไม่เกรงใจผมบ้างเหรอ”
ไอ้เด็กบ้านี่…ฉันพูดคำคำนี้ในใจออกมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายตอบโต้กลับมาแบบนั้น
“ก็…”
“หน้ามอมีร้านซ่อมอยู่ เดี๋ยวพี่ไปกับผมแล้วกัน ไปบอกอาการกับช่าง เดี๋ยวช่างคงให้รถมายกไปแหละ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนตรงหน้าเดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองกระทั่งขับมาจอดเทียบข้างลำตัว โดยที่ฉันยังคงมึนงงยืนนิ่งเพราะยังคิดตามสิ่งที่เขาพูดไม่ทัน
เมื่อกี้เขาว่าไงนะ?
“ขึ้นดิ ไปหาช่างกัน”
“ฮะ?”
“เร็วดิพี่ ผมไม่ได้ว่างทั้งวันนะ ขึ้นรถแล้วไปหาช่างกัน!”
ฉันตอบรับและรีบพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะลนลานรีบขึ้นนั่งซ้อนท้ายที่รถทรงสูงด้วยความยากลำบาก
โชคดีมากที่ฉันไม่ได้ใส่กระโปรงทรงเออย่างที่ชอบใส่บ่อย ๆ วันนี้ฉันใส่กระโปรงพลีทขนาดยาวเหนือเข่าเล็กน้อย มันจึงทำให้สะดวกต่อการซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ แบบนี้หลายเท่า
แต่สิ่งที่ฉันคิดว่าโชคร้ายกำลังจะมาเยือนก็คือคำตอบที่ต้องอธิบายกับช่างนี่แหละ จะหาข้ออ้างอะไรมาพูดดีวะเนี่ย รถก็ปกติดีทุกอย่าง แค่อยากหาเรื่องชวนคุณเนื้อคู่คุยเฉย ๆ
ไอ้ณินอยากจะบ้า!