บทที่ 1
เนื้อคู่ (1)
“โอ๊ย! แกจะลากฉันมาทำไมวะ ดูดิ๊เนี่ย นั่งรอมาสี่สิบนาทีแล้วยังไม่ได้ดูเลย!” ฉันบ่นร้องเสียงดังลั่นพร้อมกับใช้สมุดพกเล่มบาง ๆ พัดไกวไปมา เนื่องจากสภาพอากาศในตอนนี้ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลเป็นทาง
สถานที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้คือบ้านของแม่หมอดูดวง คนที่ใครต่อใครก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโคตรแม่น และฉันก็ถูกลากตัวมาที่นี่ด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า ‘เข็ม’ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูดกล่อมโน้มน้าว หรือแม้กระทั่งวิธีการบังคับขู่เข็ญ จวบจนตัวของฉันมาอยู่ที่นี่ตามความต้องการของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่แหละ!
“จะถึงคิวแล้วน่า อีกคนเดียวเอง นั่งก่อนยัยณิน เดี๋ยวฉันเลี้ยงชานมไข่มุกเลยอะ!”
“โน! ฉันจะไปรอข้างนอกแล้วกัน มันร้อน!” คำตอบอันหนักแน่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉันยืนกอดอกมองเพื่อนสนิทด้วยความหงุดหงิด แต่ทว่าในจังหวะนั้นเสียงกระดิ่งสีทองที่ติดฝังอยู่บนประตูไม้กลับดังขึ้น ตามมาด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินออกมา
ปฏิกิริยาของทุกคนโดยรอบต่างก็ยกมือไหว้กันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของฉันที่กระพุ่มมือไหว้พร้อมกับทำตาโตเบิกกว้างราวกับตื่นตะลึง ทั้ง ๆ ที่ฉันเห็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนเดียวเท่านั้นที่ย่างกรายออกมา
“ไอ้ณิน! ยกมือไหว้สิ นี่ไงแม่หมอ คนนี้แหละ”
แขนของฉันถูกกระตุกรั้งให้นั่งลงข้างกายของเพื่อนสนิท ซึ่ง ณ ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำได้เพียงยกมือไหว้ตามคำบอก ราวกับว่ามันเป็นอุปทานหมู่ที่ทำให้ฉันจำต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นังหนูคนนี้จะเจอเนื้อคู่นะ เร็ว ๆ นี้หนูจะเจอเนื้อคู่” เสียงทรงพลังเอ่ยขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมอง กระทั่งพบว่าบุคคลที่ใครต่อใครก็ต่างเรียกว่าแม่หมอนั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
แถมสายตาและองศาของการมองก็จับจดจ้องมาที่ฉัน!
“หนูเหรอ? เหอะ…ง่ายขนาดนั้นเชียว?” ฉันชี้นิ้วมาที่ตัวเองพลางเอ่ยปากถาม น้ำเสียงที่พูดล้วนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยียวนอย่างถึงที่สุด จนเพื่อนสนิทถึงกับรีบหยิกบิดเพื่อให้หยุดการกระทำเหล่านั้น
“ฮึ…ขาว ตี๋ สูง ดูดี หนูจะเจอเขาคนนั้นในอีกไม่ช้า เขาคือเนื้อคู่ของหนู”
ทว่าประโยคนั้นทำเอาฉันถึงกับอ้าปากค้าง รีบหันขวับมองเพื่อนข้าง ๆ ที่ตอนนี้ก็มีท่าทางไม่ต่างกันเลยสักนิด เรียกได้ว่าทั้งฉันและเข็มต่างก็เบิกตากว้างจนแทบทะลักล้น เพราะสิ่งที่แม่หมอพูดนั้นล้วนแต่เป็นสเปคที่ฉันได้ตั้งเกณฑ์ไว้ทุกอย่าง!
หล่อ ขาว ตี๋ ดูดี แม่งเอ๊ย…โคตรใช่!
“อึก มะ…แม่หมอรู้ได้ยังไง ทำไมถึง…”
“วันนี้พอแค่นี้ ค่อยมากันใหม่พรุ่งนี้นะ ฉันเหนื่อยแล้ว”
ปากที่กำลังจะเอ่ยถามแต่กลับถูกเสียงขัดแทรกขึ้นทันควัน หลังจากนั้นเสียงโห่ร้องและอาการเบื่อหน่ายของคนที่มารอต่อคิวก็เกิดขึ้นให้เห็น
แม่หมอเดินผ่านไปโดยไม่ชายตาแล ผิดกันกับฉันที่เอาแต่อึ้ง ทอดสายตามองไปตามร่างที่เดินจากไปช้า ๆ หากแต่ว่ามันกลับทำให้ฉันนิ่งชาจนทำตัวไม่ถูก
“เชี่ย…โคตรตรง! สเปคแกคือหล่อตี๋ แม่หมอโคตรแม่นอะณิน!”
“แม่หมอเขารู้ได้ไงวะ…” สติตอนนี้กำลังล่องลอยจนกู่ไม่กลับ เพราะมันกำลังประมวลผลอยู่ว่าสิ่งที่แม่หมอพูดเมื่อครู่นี้นั้นคือเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่มันก็เป็นความบังเอิญที่ตรงเป๊ะเอามาก ๆ!
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าแม่หมอคนนี้อะโคตรแม่น แต่พวกเรารีบกลับกันเหอะว่ะ ฝนจะตกละ ค่อยไปคุยกันบนรถ” ฉันพยักหน้าตอบรับพลางเดินไปยังรถยนต์คันหรูของเพื่อนสนิทที่จอดอยู่ไม่ไกล
ใบหน้าเชยขึ้นมองท้องฟ้าเล็กน้อยก็พบว่าตอนนี้มันกำลังมืดครึ้มอึมครึมไปด้วยเมฆสีทึบ รวมไปถึงแรงลมที่พัดปลิวไหวจนเรือนผมสยายไม่เป็นทรง
“เร็วดิยัยณิน รีบเดิน”
“เออ รู้แล้วน่า ฉันกำลัง…อ๊ะ ว้าย!” ปากที่กำลังตอบได้ไม่ทันจบประโยค ทว่ามันก็กลับกลายเป็นเสียงร้องตกใจ เมื่อระหว่างการย่างกรายไปยังรถยนต์คันหรูนั้น ข้อเท้าของฉันเกิดอาการพลิกกะทันหันเนื่องจากทางเดินพื้นปูนไม่ได้เรียบสนิท แถมรองเท้าที่ใส่ก็ยังเป็นส้นสูงสามนิ้วอีกต่างหาก
จนกระทั่ง…
ตุ้บ!
ร่างกายของฉันเซถลาล้มลงกับพื้นโดยไม่ทันทรงตัว หากแต่ว่าเสียงร้อนตะโกนของเพื่อนสนิทกลับยิ่งทำให้ฉันตาตื่นรีบหันขวับไปมองยังระดับสายตา กระทั่งพบว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ขับแล่นพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง ซึ่งมันเป็นทิศทางที่ฉันเทคะมำลงไปพอดิบพอดี หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องและเสียงแตรก็ดังสนั่น จนพานคิดถึงอนาคตอันใกล้ที่พอจะจินตนาการได้ว่าสภาพร่างกายของฉันจะต้องบุบสลายเป็นแน่
“ยัยณิน! ระวัง!”
โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้ฉันอาจหาญลืมตาขึ้นมองเหตุการณ์ได้ ฉันร้องกรี๊ดสุดเสียง เมื่อในหัวสมองจินตนาการว่าตอนนี้ร่างกายของตัวเองคงบิดพลิ้วเลือดกระจายไปหมดแล้ว แต่ทว่าแรงสัมผัสจากบางสิ่งบางอย่างกลับทำให้ฉันรู้สึกตัวได้ว่า ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว
“อ้าว…” ฉันลืมตาขึ้นพรูอมกับการทำหน้าเหวอ สำรวจร่างกายตัวเองดูก็ไม่พบบาดแผลหรือรอยเลือด แถมสายตาก็ยังเห็นเพื่อนสนิทที่กำลังโอบประคองให้ลุกขึ้นยืนได้ชัดเจน
“ยัยณิน! แกโอเคไหม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อะ…โอเค ฉันโอเค แล้วทำไมฉันถึง…”
“เฮ้ย! คนเจ็บอยู่นี่ ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยหรือไงวะ!”