ระหว่างปั่นจักรยานมาตลาดมืด ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่กำลังมองด้วยความตกใจ
“นายเห็นเหมือนฉันหรือเปล่าอาโจว”
จื้อเฉียงสะกิดสหายด้วยความตกใจ พร้อมกับถามว่าเห็นเหมือนที่เขาเห็นไหม
“ฉันไม่ได้ตาบอด นั่นมันเจ้านายของพวกเรา ว่าแต่คนที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานใช่ว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายหรือเปล่า” จงอี้ตอบกลับ เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเองเหมือนกัน
เจ้านายผู้แสนเย็นชาโหดเหี้ยมที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครแม้แต่กลุ่มทหารแดงที่ชาวบ้านล้วนหวาดกลัว ทำไมวันนี้เจ้านายเขาช่างดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นแบบนั้นล่ะ ทั้งสองคล้ายจะมุ่งหน้าไปตลาดมืดใช่หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนรีบกลับไปตลาดมืดกันก่อนดีไหม เผื่อเจ้านายเรียกหา”
วันนี้เขามาจัดการธุระบางอย่างให้เฉินหยางคุน แต่ในเวลานี้ควรจะกลับไปยังตลาดมืดก่อนดีกว่าเผื่อว่าเจ้านายมีเรื่องด่วนและเรียกหา
จากนั้นทั้งสองจึงขี่จักรยานกลับมายังตลาดมืดอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว
ในตลาดมืดแห่งนี้ดูไม่เหมือนกับชาติก่อน ในนี้คล้ายกับมีของมาขายมากขึ้นกว่าเดิม แต่พอคิดไปคิดมาที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวกับที่เธอเคยมาซื้อของชาติที่แล้ว
“ตลาดมืดแห่งนี้ดูเหมือนจะมีของเยอะเลยนะพี่ใหญ่เฉิน เจ้าของคงมีอิทธิพลไม่น้อยถึงกล้ามีร้านค้าให้เช่า มากกว่าที่วางขายตามพื้นหรือแผงตั้งชั่วคราว”
“อืม ตลาดมืดแห่งนี้เท่าที่ผมรู้น่าจะเปิดได้เกือบสามปีแล้ว ส่วนเจ้าของมีอิทธิพลไหมผมไม่รู้หรอก แต่เท่าที่รู้เจ้าของที่นี่บริจาคอาหารและเครื่องนุ่งห่มมากมายให้กับหมู่บ้านที่เดือดร้อน และยังส่งอาหารให้กับกองทัพในราคาย่อมเยา”
“จริงเหรอคะ ดูแล้วเจ้าของที่นี่ก็ไม่น่าจะใช่คนเลวร้ายอะไรนะคะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เห็นใจชาวบ้านที่ลำบากเหล่านั้น ตอนนี้อาหารและเครื่องนุ่งห่มล้วนแต่เป็นสินค้าที่จำกัดปริมาณ ต่อให้คนมีเงินก็หาซื้อลำบาก แต่ในตลาดแห่งนี้มีแทบทุกอย่างเลยนะคะ”
ร้านค้าถาวรและแผงชั่วคราวต่างก็เปิดขายกันละลานตา เธอคิดว่าเจ้าของที่นี่คงเส้นใหญ่ไม่น้อย การที่เปิดตลาดมืดได้เกินหนึ่งปีโดยที่ไม่มีใครมาก่อกวนหรือบุกเข้ามาจับแสดงว่าคนคนนั้นมีเส้นสายพอตัว
“ไปเถอะ ผมจะพาไปดูเสื้อผ้า เริ่มงานใหญ่ ซื้อชุดใหม่สักหน่อยเถิด และไม่ต้องปฏิเสธ คิดเสียว่าเป็นของขวัญจากคู่หมั้น”
เฉินหยางคุนปิดช่องทางการปฏิเสธก่อนจะพยักหน้าให้เธอเดินนำ ส่วนเขาจะเป็นคนเดินตามเอง เมื่อมาถึงร้านเสื้อผ้าเขาจึงเรียกเธอไว้
“ร้านนี้ล่ะ ลองเข้าไปเลือกดู”
“สวัสดีค่ะ ต้องการชุดแบบไหนคะ ร้านเรามีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบสั่งตัด ลูกค้าสามารถแจ้งได้นะคะ”
เจ้าของร้านสาวสวยรีบปรี่เข้ามาสอบถาม เธอใช้สายตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างกำยำ เธอจึงยิ้มให้เขาอย่างยั่วยวนเล็กน้อย มู่อันเหมยขมวดคิ้วกับท่าทางเจ้าของร้าน คุยกับเธอแต่ส่งสายตาให้กับว่าที่คู่หมั้นของเธอ แบบนี้หมายความว่าอย่างไร
“ไม่ซื้อแล้วค่ะ ไปกันเถอะพี่”
อยู่ ๆ มู่อันเหมยกลับไม่พอใจขึ้นมาดื้อ ๆ เธอไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกหงุดหงิด เพียงแค่มีหญิงสาวส่งสายตาให้กับพี่ใหญ่เฉิน ก่อนจะเผลอคว้าแขนของเฉินหยางคุนเดินออกมาอย่างลืมตัว
เฉินหยางคุนเลือกที่จะไม่คัดค้านเพราะในตลาดมืดแห่งนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจสอบความสัมพันธ์ของชายหญิง เขาจึงตีมึนทำเฉยเดินตามมู่อันเหมยไปอย่างนั้น
“มีร้านอื่นอีกไหมคะ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงยังคงหงุดหงิดไม่น้อยในขณะที่ถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ซื้อร้านนั้นล่ะ นั่นคือร้านที่ใหญ่ที่สุดในตลาดมืดแห่งนี้ บรรดาคุณนายต่างก็แอบมาตัดชุดกับร้านนี้ไม่น้อย”
“รู้ดีจังเลยนะคะ พี่ใหญ่เฉินมาตลาดแห่งนี้บ่อยเหรอ ถึงได้รู้ดีจัง หรือว่าสนิทกับเจ้าของร้านนั้นคะ เธอสวยนะ”
“ผมว่าคุณสวยกว่า แต่ต่อให้ใครจะสวยกว่าคุณ ผมก็ไม่สนใจ”
เฉินหยางคุนโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ทำให้มู่อันเหมยรู้สึกขนลุกเพราะอยู่ ๆ มีลมหายใจอุ่น ๆ มาเป่ารดหู เธอทำอะไรไม่ถูกได้แต่เดินไปดูของร้านอื่นแทน
ทั้งสองเดินเข้าออกอยู่หลายร้าน เฉินหยางคุนยินดีที่จะซื้อให้ทุกอย่างขอเพียงมู่อันเหมยมองสิ่งนั้นแล้วแววตาเป็นประกาย ทำให้ในมือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยสิ่งของ
“พอแล้วค่ะพี่ใหญ่เฉิน แค่นี้ฉันก็ใช้แทบไม่หมดแล้ว”
มู่อันเหมยต้องห้ามปราม เธอรู้หรอกว่าบ้านเฉินมีฐานะ แต่หากใช้เงินแบบนี้เธอคิดว่ามันเกินไป หากไม่รู้จักเก็บออม วันหนึ่งก็ต้องหมด พี่ใหญ่เฉินไม่ได้เป็นทหารแล้ว เขาเป็นเพียงชายหนุ่มชนบททำงานแลกแต้มในคอมมูนเท่านั้น จะมีเงินมาเติมในส่วนที่จ่ายไปได้อย่างไร
พอคิดถึงเรื่องเงินทำให้มู่อันเหมยคิดถึงเรื่องหลังแต่งงานขึ้นมา หากเธอจะขอเขาทำงานต่อหลังจากแต่งงานจะได้หรือไม่
“โรงงานยาสูบต้องให้ทำงานครบหกเดือนไม่ใช่เหรอ โรงงานถึงจะแจกชุดพนักงานให้ เท่านี้ไม่มากไปหรอก หรือจะไปซื้อแบบฟอร์มใส่ให้เหมือนคนอื่น”
“ไม่เอาหรอกพี่ใหญ่เฉิน อีกหกเดือนก็ได้ฟรีแล้วจะเสียเงินจ่ายทำไม จริงสิ หากครบสัญญาที่ฉันขอพี่ไว้หนึ่งปี หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้วฉันขอทำงานต่อได้ไหม จะได้แบ่งเบาภาระพี่บ้าง”
น้ำเสียงขอมู่อันเหมยประโยคสุดท้ายคล้ายกับไม่มั่นคง เธอรู้ดีว่าชาวบ้านเช่นพวกเธอส่วนมากหากแต่งงานต้องอยู่บ้านดูแลสามีและแม่สามีรวมถึงลูก ๆ ที่ยังไม่เกิดมา น้อยนักที่จะได้ทำงานนอกบ้านแบบคนในเมืองทำกัน
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะ ผมแต่งงานกับคุณ ผมไม่ได้ต้องการแม่บ้าน”
เฉินหยางคุนยังคงยืนยันคำเดิม อะไรที่สบายใจก็ทำไปเถอะ ตัวเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน หากแต่งงานแล้วเธออยากทำงานต่อเขาก็ไม่ห้าม เพราะนั่นหมายถึงความสุขของมู่อันเหมย
“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะ”
มู่อันเหมยเงยหน้ามองเขาดวงตาเป็นประกาย และคิดว่าชาติที่แล้วเธอปล่อยผู้ชายที่แสนอบอุ่นและยอมอ่อนข้อให้เธอแบบนี้ได้อย่างไร
จากนั้นเฉินหยางคุนจึงพาเธอเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านอื่น เขาไม่รอให้มู่อันเหมยเลือก เพราะคงเลือกเพียงชุดเดียว สุดท้ายมู่อันเหมยได้เสื้อผ้ามาหกชุด หากเธอไม่ห้ามคงได้มาเป็นสิบชุด
“นายคิดว่าเจ้านายดูอบอุ่นเกินไปหรือไม่” จื้อเฉียงที่ตามมาดูเจ้านายยังคงสงสัยกับอาการของเฉินหยางคุน
“ผู้หญิงคนนั้น เจ้านายคงจะรักมาก ครั้งก่อนที่ไปส่งเสบียงให้กับท่านนายพลหู คุณหนูหูส่งสายตาให้เจ้านาย ฉันยังไม่เห็นเจ้านายจะสนใจแบบนี้เลย”
“เราสองคนอย่ามัวแต่มานินทาเจ้านายเลย หากเจ้านายไม่เรียกก็ทำเฉย ๆ ไว้”
ทั้งสองคนยังใช้สายตามองไปยังเฉินหยางคุนและมู่อันเหมย เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินออกไปจากตลาดมืดแห่งนี้แล้ว จึงได้เดินกลับออกมาเช่นกัน
ทันทีที่จักรยานของเฉินหยางคุนเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนที่ไม่ทำงานในวันนี้ต่างก็มองมู่อันเหมยด้วยความอิจฉา มีใครไม่รู้บ้างว่าบ้านเฉินมีฐานะดีแค่ไหน
วันนี้ลูกชายบ้านเฉินพาลูกสาวบ้านรองมู่ไปในเมือง ข้าวของมากมายที่แขวนอยู่ที่จักรยานและในตะกร้าด้านหน้าย่อมต้องเป็นของมู่อันเหมย อีกทั้งบ้านรองมู่ไม่ได้มีฐานะ แสดงว่าของพวกนี้ย่อมเป็นเฉินหยางคุนซื้อให้
“นั่นมันลูกชายบ้านใหญ่เฉินกับลูกสาวบ้านรองมู่นี่”
“ใช่แล้ว ว่าแต่ปกติทั้งสองคนนี้แทบจะไม่คุยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไปด้วยกันได้ล่ะ ทั้งสองดูมีความสนิทสนมกันพอสมควรเลย แบบนี้บ้านรองมู่รู้หรือเปล่าว่าลูกสาวทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้”
มีอย่างที่ไหน ซ้อนท้ายจักรยานชายหนุ่มไปในเมืองทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน หากเจอทหารแดงหรือเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความสัมพันธ์คงจะมีโทษไม่น้อย