บทนำ

1179 Words
แสงแดดแรกของฤดูใบไม้ผลิสาดส่องเข้ามายังจวนขุนนางผู้มั่งคั่ง รถม้าค่อยๆ เคลื่อนจอดหน้าประตูใหญ่ บุรุษแต่งกายสีดำสนิทก้าวลงมาจากรถม้าพลางอุ้มบุตรสาวที่กระจองอแงลงมาพร้อมกัน “ท่านพ่อ! ข้าไม่อยากไปเรียนแล้ว!” เด็กหญิงนามเฉ่าเหมยร้องบอก “เฉ่าเหมยอย่าพูดเอาแต่ใจ” ถานเทียนสวี่ผู้เป็นบิดาเอ่ยปราม “การศึกษาสำคัญมาก เจ้าควรตั้งใจศึกษาหาความรู้” เด็กหญิงทำหน้างอไม่ฟังคำสอน นางดิ้นตัวไปมา กล่าวบอกให้บิดาปล่อยตนลง เมื่อเท้าเล็กแตะถูกพื้น เจ้าตัวน้อยก็รีบปรี่วิ่งเข้าไปในจวนทันที “ท่านแม่! อยู่ไหนเจ้าคะ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เด็กรับใช้คนหนึ่งชี้นิ้วไปทางศาลากลางสวน “ฮูหยินนั่งอยู่ทางด้านนั่นขอรับคุณหนู” เฉ่าเหมยพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปหามารดา “ท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านแม่” หญิงครรภ์แก่ที่กำลังนั่งเอนหลังพักสายตาอยู่บนเก้าอี้โยกลืมตาขึ้นมอง เมื่อเห็นบุตรสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ “ท่านแม่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปเรียนแล้วเจ้าค่ะ” “เหมยเหม่ย” “ข้าพูดจริงนะเจ้าค่ะ” เฉ่าเหมยทรุดตัวนั่งลงกับพื้น มือทั้งสองกอดขาข้างหนึ่งของมารดาไว้ เกยคางกลมมนของตนลงบนตักนุ่มนิ่มพลางเอ่ยออดอ้อน “นะเจ้าคะท่านแม่ ข้าอยากอยู่กับท่านแม่ที่เรือนมากกว่า” “เจ้าเพิ่งเข้าวังได้สองวันเอง เหตุใดจึงขี้เกียจเสียแล้วเล่า” “ข้าไม่ได้ขี้เกียจ หากแต่...ข้าไม่ชอบคนพวกนั้น คนพวกนั้น...ใจร้าย พวกเขาไม่ชอบข้า” “พวกเขา? หมายถึงใครกัน” ขณะกำลังสอบถามถึงสิ่งที่ทำให้บุตรสาวเป็นกังวล บิดาผู้เคร่งขรึมพลันเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน “ฮูหยิน เจ้าอย่าตามใจนางเด็ดขาด นับวันยิ่งดื้อรั้นนัก” เฉ่าเหมยหันขวับมามอง “ท่านพ่อ ข้ามีเหตุผลนะเจ้าค่ะ” “เหตุผลเด็กน้อยของเจ้า ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ไปเรียนได้หรือ” ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่แล้ว สองพ่อลูกมีนิสัยยอมหักไม่ยอมงอเหมือนกัน หากให้เถียงกันต่อไปเรื่อยๆ ก็คงยากจะหาจุดที่ลงตัวได้ “ที่พ่อเจ้าว่าหมายความว่าอย่างไร เหตุเด็กน้อย? หรือบทเรียนในวังยากเกินไป” “มิใช่เลย ข้าเป็นลูกสาวท่านแม่นะ ข้าก็ต้องเก่งและฉลาดเหมือนท่านสิเจ้าค่ะ” เฉ่าเหมยรีบพูดยกยอมารดาโดยเร็ว “แต่กับเพื่อนร่วมชั้นสิเจ้าคะ พวกเขาชอบดูแคลนข้า ไม่คุยหรือเล่นกับข้า หัวเราะข้าเวลาข้าตอบคำถามอาจารย์ไม่ได้” “พวกเชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นอย่างนั้น เย่อหยิ่งและถือตัวเป็นที่สุด” ถานเทียนสวี่เอ่ยขัดเด็กสาว เพราะใจหนึ่งเขาก็หาได้ชอบพวกชนชั้นสูงสักเท่าไร “เช่นนั้นก็อย่าให้ข้าไปเรียนอีกเลย” “เฉ่าเหมย” ถานเทียนสวี่กดเสียงดุ หวงสือหลิวส่งสายตาห้ามสามีพูดต่อก่อนนางจะค่อยๆ ลูบศีรษะบุตรสาว เอ่ยกับนางอย่างเข้าอกเข้าใจ “ชีวิตคนเราหาได้ง่ายดั่งใจคิด อุปสรรคมีมาก บทเรียนหามีน้อย แม่เข้าใจ หากลูกอึดอัดไม่อยากเรียน เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียน” เฉ่าเหมยฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “แต่ว่า... ลูกจะต้องทูลกับฮองเฮาเองนะ เพราะพระองค์เป็นคนรับสั่งอยากให้ลูกเข้าไปเรียนในวัง” รอยยิ้มค้างเติ่งอยู่บนใบหน้า เพราะถึงเฉ่าเหมยจะไม่ชอบพฤติกรรมของเหล่าองค์ชายองค์หญิง แต่กับฮองเฮานั่นต่างออกไป พระองค์เป็นสตรีที่ไม่ถือตัว อีกทั้งยังรักและใจดีกับเฉ่าเหมยราวบุตรสาวคนหนึ่งของตนก็มิปาน “เอ๊ะ!” จู่ๆ หวงสือหลิวก็ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องของนาง ทำสองพ่อลูกตื่นตกใจ ปรี่เข้ามาถามอาการนางกันจ้าละหวั่น “ไม่เป็นไรๆ น้องแค่ดิ้นเท่านั้น คงจะอยากให้กำลังใจพี่สาวเป็นแน่” หวงสือหลิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จับมือเล็กของเฉ่าเหมยมาวางลงบนหน้าท้องกลมนูน “อีกไม่นานคงได้เจอกันแล้ว เหมยเหม่ยของแม่จะได้เป็นพี่สาว แม่อยากเห็นภาพเจ้าสองพี่น้องหัวเราะเล่นซนด้วยกันเหลือเกิน” หัวใจเฉ่าเหมยเต้นระทึก เหลือบมองครรภ์ของมารดาแล้วยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าแต่กลับรู้สึกผูกพันกันได้มากถึงเพียงนี้ นี่สินะที่เรียกว่าสายสัมพันธ์พี่น้อง “ท่านแม่... น้องจะรักข้าหรือไม่ หากข้าเป็นพี่สาวที่ไม่ได้ความเล่า” หวงสือหลิวยิ้มตอบ “น้องจะรักและภูมิใจในตัวเหมยเหม่ยอย่างแน่นอน เหมยเหม่ยของแม่ทั้งเก่งและกล้าหาญนี่เนอะ “ เฉ่าเหมยนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น แววตาเป็นกังวลในตอนแรกเปลี่ยนเป็นจริงจังพร้อมประกายไฟแห่งความมั่นใจ “ข้าจะเป็นพี่สาวที่น่าภูมิใจ! ข้าจะเป็นแบบอย่างที่ดีของน้องเจ้าค่ะ! เช่นนั้นข้าขอตัวไปทบทวนตำราก่อน วันพรุ่งข้าจะตอกหน้าคนพวกนั้น แสดงความเก่งของข้าต่อหน้าท่านอาจารย์” ถานเทียนสวี่เลิกคิ้วงุนงง มองตามบุตรสาวที่เดินกลับไปยังเรือนอย่างแข็งขันแล้วหันกลับมาเอ่ยถามหวงสือหลิว “เจ้าเล่นกลหรือ เหตุใดเฉ่าเหมยจึงเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเช่นนี้” หวงสือหลิวหัวเราะ “ข้าแค่มีศิลปะในการพูด ใครจะไปเหมือนท่านพี่เล่า พูดอะไรแต่ละอย่าง ยังกะออกคำสั่งทหารในกองทัพ “ “ข้าเป็นคนพูดตรง คิดสิ่งใดย่อมพูดตามที่คิดเสมอ” “แต่กับสตรี อีกทั้งเป็นบุตรสาวของท่าน อารมณ์ความรู้สึกย่อมอ่อนไหวง่ายเป็นธรรมดา ควรตรองให้ดีก่อนพูด” “นี่เจ้าคิดจะสั่งสอนแม่ทัพหรือ” หวงสือหลิวลุกขึ้นยืน มือหนึ่งคอยพยุงหลังของตนไว้ “แล้วท่านแม่ทัพมีปัญหาหรือไง” ถานเทียนสวี่เดินเข้ามาช่วยพยุงภรรยา ปรับน้ำเสียงให้นุ่มละมุนขึ้น “ฮูหยินแม่ทัพชี้แนะตักเตือน แม่ทัพอย่างข้ามีแต่จะเชื่อฟังรับคำสอน” หวงสือหลิวหัวเราะชอบใจ หอมแก้มถานเทียนสวี่เป็นรางวัลก่อนจะบอกให้เขาช่วยพยุงตนกลับไปพักผ่อนที่เรือน แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นศาลา หญิงสาวกลับรู้สึกเจ็บที่ครรภ์ของตนเหลือเกิน เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า แข้งขาอ่อนแรงจนทรงตัวไม่ไหว “สือหลิว! เจ็บท้องหรือ!? ไหวหรือไม่” ถานเทียนสวี่รีบตะโกนสั่งบ่าวรับใช้แถวนั้นให้รีบไปตามท่านหมอมาโดยด่วน ส่วนตนนั้นก็รีบช้อนตัวหวงสือหลิวขึ้นอุ้มแล้ววิ่งตรงไปยังเรือนทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD