“ท่านแม่! ทำไมเป็นแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน!” เฉ่าเหมยคุกเข่าร้องไห้ข้างเตียงมารดาที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนหันไปถามสาเหตุจากสาวใช้จูฮวนด้วยความตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่”
จูฮวนส่ายหน้า “ตอนเช้าที่บ่าวเข้ามา เห็นฮูหยินที่แต่งกายยังไม่เสร็จดีนอนสลบอยู่ที่พื้น คราแรกคิดว่าฮูหยินอาจจะไม่สบาย แต่พอให้หมอมาตรวจกลับไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติเจ้าค่ะ”
“แล้วท่านพ่อเล่า ใครเป็นคนส่งจดหมายมาหาท่าน”
จูฮวนส่ายหน้าอีกครั้ง “บ่าวไม่รู้จักเจ้าค่ะ เห็นว่าพออ่านจดหมายแล้วก็รีบร้อนออกไปทันที”
เฉ่าเหมยงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ครั้นพอถามถึงน้องสาวน้องชาย ก็ได้ยินว่าทั้งสองอยู่กับแม่นมอีกเรือนหนึ่งก็ค่อยวางใจ เฉ่าเหมยไม่อยากให้พวกน้องๆ ต้องมารับรู้เรื่องน่าหวั่นใจเช่นนี้
ถัดออกมายังห้องโถงด้านนอก ใต้เท้าเป่าเหยียนกำลังร่วมหารือกับเยว่เฉิงเรื่องความไม่ชอบมาพากลนี้
“ข้าเจอกระถางกำยานแบบเดียวกับในห้องเสด็จแม่” เยว่เฉิงสั่งให้ทหารนำกระถางกำยานมายื่นแก่ใต้เท้าเป่าเหยียน
ใต้เท้าเป่าเหยียนรับมาแล้วก็พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับว่ามันมีสีและลวดลายลักษณ์ที่คล้ายกันมาก
“นี่ก็แสดงว่ากระถางนี้มาจากสกุลถานจริงๆ”
“ใต้เท้าตัดสินเช่นนั้นไม่ได้หรอก” เยว่เฉิงเอ่ยขัด “ไม่เพียงมีลักษณะเหมือนกัน แต่ยาพิษที่แฝงมาด้วยยังเป็นชนิดเดียวกันอีก”
ใต้เท้าเป่าเหยียนตาเบิกกว้าง “ไท่จื่อทรงคิดว่า...”
“ถานฮูหยินเป็นเพียงแพะรับบาป ยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”
“แต่ว่า...คนที่เข้านอกออกในตำหนักของฮองเฮามีไม่มาก ใครเล่าจะกล้านำของอันตรายพวกนี้เข้าไปโดยไม่มีใครตรวจสอบหรือพบเห็น มันเสี่ยงเกินไป” ใต้เท้าเป่าเหยียนวิเคราะห์
เยว่เฉิงเองก็คิดเช่นเดียวกัน คนที่จะกล้าทำเรื่องสุ่มเสี่ยงเช่นนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ใครสักคนที่มีอำนาจมากจนไม่มีใครกล้ายุ่งหรือไม่...
อาจมีฐานะที่แสนธรรมดาไร้พิษสงจนคนทั่วไปมองข้ามก็เป็นได้
ทั้งสองใช้เวลาปรึกษากันอยู่นาน กระทั่งได้ข้อสรุปว่าเฉ่าเหมยและมารดานางน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“ข้าคิดว่ากระถางกำยานน่าจะมีสองอัน อันหนึ่งเพื่อปลิดชีพเสด็จแม่ข้า และอีกอันหมายชีวิตถานฮูหยิน แต่อาจเพราะถานฮูหยินจุดมันในช่วงฟ้าสาง สูดดมไปไม่เท่าไรจึงไม่ถึงแก่ชีวิต”
“ไท่จื่อปราดเปรื่อง ข้าเห็นด้วย” ใต้เท้าเป่าเหยียนโค้งคำนับแล้วขอตัวออกไปตรวจสอบและหาหลักฐานเพิ่มเติม
เยว่เฉิงรับสั่งให้ทหารจำนวนหนึ่งออกไปตามหาแม่ทัพกงหรือถานเทียนสวี่ให้รีบกลับมา จากนั้นรับสั่งให้พาตัวหมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของหวงสือหลิวและประจำอยู่ที่จวนถานจนกว่าหญิงสาวจะฟื้นคืนสติ
ขณะเยว่เฉิงเดินออกมาที่ด้านนอก เขาเห็นเฉ่าเหมยคุกเข่ารออยู่ที่ด้านนอกระเบียง
“ทำอะไรของเจ้า” เยว่เฉิงเอ่ยถาม
“หม่อมฉันจะมายืนยันความบริสุทธิ์ หม่อมฉันและท่านแม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ฮองเฮา แต่หากไท่จื่อมิทรงเชื่อ ต้องการจะเอาผิดให้ได้ ก็ขอให้พระองค์เอาตัวหม่อมฉันไปสำเร็จโทษได้เลยเพคะ”
เยว่เฉิงยกยิ้มแสยะ “ปกติชอบแต่ผลักไสข้า ตอนนี้มาขอร้องให้ข้าพาเจ้าไป พิลึกนักนะ”
“หม่อมฉันเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลถาน บิดาที่เป็นผู้นำหายตัวไร้ร่องรอย มารดาถูกลอบวางยาไม่ได้สติ น้องสาวน้องชายก็ยังเล็ก หม่อมฉันจำเป็นต้องปกป้องทุกคน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางเงยหน้าจ้องตากับเยว่เฉิง
“ข้าส่งทหารออกไปตามหาบิดาเจ้าแล้ว รอเจอเขาก่อนค่อยว่ากัน” เยว่เฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะก้าวเท้าเดินออกมา
“ไท่จื่อ!”
เยว่เฉิงชะงักเท้า ทว่าไม่ได้หันกลับมามอง
“หม่อมฉันเสียใจด้วย เสด็จแม่ของพระองค์มีบุญคุณแก่หม่อมฉันมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำเรื่องชั่วช้านี้ หม่อมฉันมิมีวันให้อภัยแน่”
เยว่เฉิงกำมือแน่น เสียงที่พูดออกมาฟังดูเจ็บปวดยิ่ง “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พูดคุยกับเสด็จแม่ก็คือเรื่องที่เจ้าขอถอนหมั้น พวกเรามีปากเสียงไม่เข้าใจกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้... หากรู้ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้าย ข้าคงไม่ทำอย่างนั้น”
เฉ่าเหมยนิ่งอึ้ง ดวงตามองตามแผ่นหลังโดดเดี่ยวที่ค่อยเคลื่อนห่างออกไป หัวใจดวงน้อยรู้สึกผิดที่ตนเป็นสาเหตุให้แม่ลูกต้องมีเรื่องไม่ลงรอย กลับกลายเป็นสร้างแผลในใจแก่เยว่เฉิงโดยมิได้ตั้งใจ
จากชีวิตคุณหนูใหญ่สกุลถาน ชีวิตมั่งคั่งผาสุก ด้านขวามีบิดาคอยปกป้องคุ้มครอง ด้านซ้ายมีมารดาคอยดูแลสั่งสอน มิเคยต้องกังวลหรือรู้สึกถึงความหวั่นกลัวเท่านี้มาก่อน
“ท่านพี่ ไม่หิวหรือ” เฉ่าลู่เอ่ยถามพี่สาว เด็กน้อยเห็นเฉ่าเหมยนั่งนิ่งไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยก็นึกสงสัย
เฉ่าเหมยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เฉ่าลู่และเทียนตี้ นางบอกเพียงว่าบิดาถานเทียนสวี่ต้องออกไปประจำการนอกเมืองสักพัก ส่วนมารดาหวงสือหลิวนั่นมีไข้อ่อนๆ ไม่อยากให้น้องๆ เข้าพบเพราะเกรงว่าพวกเขาจะติดหวัด
“พี่ใหญ่...” เทียนตี้รับรู้ถึงความไม่ปกติก็เบ้ปากทำท่าจะร้องไห้
เฉ่าเหมยยิ้มแล้วยื่นมือไปลูบศีรษะน้องชาย “พวกเจ้ารีบกินเถิด พอดีข้ารู้สึกท้องไส้ไม่ค่อยดีน่ะ”
เฉ่าเหมยพยายามจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ คุยเล่นเรื่อยเปื่อยก่อนจะจูงมือน้องๆ ทั้งสองไปส่งยังเรือนนอน
“ท่านพี่ ข้าคิดถึงท่านแม่” เทียนตี้ส่งเสียงอ้อน “อยากเจอท่านแม่”
“มิได้ เดี๋ยวเจ้าจะติดหวัดเอานะ”
“ข้าไม่กลัวติดหวัด”
“เป็นหวัดไม่สนุกหรอกนะ เจ้าก็เคยเป็นหวัดมาแล้ว ทรมานจะตาย” เฉ่าลู่ช่วยพูดแล้วหันมายิ้มแฉ่งให้เฉ่าเหมย “ข้าพูดถูกใช่ไหมเจ้าคะท่านพี่”
“อาลู่พูดถูกต้อง อาเทียนจะเอาแต่ใจไม่ได้นะ”
เฉ่าลู่ยิ้มภูมิใจก่อนจะกอดแขนพี่สาวไว้พลางกล่าวเสียงหวาน “ท่านพ่อเขียนจดหมายมาบ้างไหมเจ้าคะ จะไปนานหรือไม่ ข้าคิดถึงท่านพ่อ หรือพวกเรารอท่านแม่หายดีแล้วเดินทางไปหาท่านพ่อดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉ่าเหมยยิ้มเจื่อน ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องปิดบังความจริงแก่น้องๆ “ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ”
ใช้เวลานานพักใหญ่กว่าเจ้าตัวแสบทั้งสองจะยอมหลับตานอน
เฉ่าเหมยเดินออกมาที่สวนพลางครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง หลังจากการสวรรคตของฮองเฮาเฟยอวี่ นางแทบไม่มีเวลาไว้อาลัยหรือโศกเศร้าต่อการจากไปของผู้ที่เปรียบเสมือนมารดาคนที่สองเลย
ปัญหาทุกอย่างประเดประดังเข้ามาจนนางแทบจะไม่ทันได้พักหายใจ อีกทั้งยังดูจะใหญ่เกินตัวหญิงสาวจะรับไหวเสียด้วย
“ใครน่ะ!?”
เฉ่าเหมยได้ยินเสียงคล้ายบางอย่างกำลังเดินเข้ามาใกล้ นางรีบหมุนตัวกลับมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนคนผู้หนึ่งจะปรากฏตัวขึ้น ทำหญิงสาวร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านอาสุ่ย!”
สุ่ยเกาเจี้ยหรือนายอำเภอสุ่ย สหายเก่าแก่คนสนิทของหวงสือหลิวและถานเทียนสวี่ หลังจากกลับไปประจำการยังบ้านเกิดก็แทบไม่ได้กลับมาเยือนเมืองหลวงมากนัก แต่ก็จะคอยส่งจดหมายมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเป็นระยะ
“ท่านอา หลานดีใจเหลือเกินที่ท่านอามา ตอนนี้หลานมืดแปดด้านไปหมด ท่านพ่อหายตัวไป ท่านแม่ก็...” เฉ่าเหมยพูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้ารู้แล้ว เจ้าใจเย็นก่อนนะ” สุ่ยเกาเจี้ยกล่าวปลอบ
“ท่านทั้งสอง พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนเถิด” องครักษ์เย่อินเอ่ยพลางผายมือเชิญนายทั้งสองไปยังเรือนรับรอง
“เย่อิน เจ้าไม่ได้ติดตามท่านพ่อข้าหรือ เหตุใดมากับท่านอาสุ่ยได้”
“เขาเป็นคนไปพาตัวอามาน่ะ” สุ่ยเกาเจี้ยตอบแทน
“พาท่านอามาหรือ?”
เย่อินผงกศีรษะ “ระหว่างทางพวกข้าน้อยและแม่ทัพกงถูกลอบทำร้ายจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าจึงพาท่านไปขอความช่วยเหลือยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด”
“ซึ่งโชคดีว่าเป็นหมู่บ้านที่ข้าประจำการอยู่” สุ่ยเกาเจี้ยบอก
“แล้วท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ บาดเจ็บหนักหมายความว่า...อาการมิสู้ดีใช่หรือไม่” เฉ่าเหมยตัวสั่น นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความหวาดวิตก
“ตอนนี้ถานเทียนสวี่ปลอดภัยแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลนะ” สุ่ยเกาเจี้ยเอ่ยปลอบหลานสาว “แต่คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะได้สติ”
เฉ่าเหมยตบอกด้วยความโล่งใจแต่ครู่เดียวก็กลับมามีสีหน้าอมทุกข์อีก “ท่านอา... มีคนคิดร้ายกับครอบครัวข้า”
“ข้ารู้ คนผู้นี้ไม่ธรรมดา กล้าเขียนจดหมายปลอมหลอกล่อบิดาเจ้าให้ออกไปแล้วลอบทำร้าย อาศัยจังหวะที่ตระกูลถานขาดหัวเรือหลักวางแผนใส่ร้ายและวางยาพิษมารดาเจ้า”
เฉ่าเหมยตาแดงก่ำ สูดหายใจเข้าเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาไว้ “แล้วข้าควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่ต้องทำอะไร” สุ่ยเกาเจี้ยเบนสายตาไปยังนอกเรือน “ข้ามีแผนเตรียมรับมือไว้แล้ว”
ไม่รู้ว่าสุ่ยเกาเจี้ยพูดจริงหรือแค่พยายามพูดให้หญิงสาวคลายความกังวลเพียงเท่านั้นหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเฉ่าเหมยก็รู้สึกขอบคุณและอบอุ่นใจขึ้นมาก นางคิดว่าคืนนี้ตนเองคงจะสามารถข่มตาหลับได้แล้ว
เฉ่าเหมยบอกให้สาวใช้จัดเตรียมเรือนรับแขกให้สุ่ยเกาเจี้ยพักผ่อน รวมทั้งขอร้องให้ชายหนุ่มช่วยอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลาย
“ช่างเหมือนกันกับหวงสือหลิวจริงๆ น่า” สุ่ยเกาเจี้ยยิ้มมองเด็กสาวที่เดินกลับไปยังเรือนพลางหวนคิดถึงความทรงจำมากมายในอดีต
บุรุษนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนฉีกกระดาษออกมาหนึ่งในสี่ส่วนแล้วเขียนเฉพาะใจความสำคัญลงไป เสร็จแล้วก็ม้วนมันให้มีขนาดเล็กเท่านิ้วก้อย เดินไปเปิดหน้าต่างแล้วผิวปากสองครั้ง ไม่นานนกพิราบตัวหนึ่งก็บินเข้ามาหา
สุ่ยเกาเจี้ยนำกระดาษที่ตนเขียนเมื่อครู่มาผูกติดกับขานกพิราบ จากนั้นปล่อยให้มันบินออกไป
“ฝากเจ้าส่งให้ถึงมือเขาด้วยนะ”
แม้เมื่อก่อนสุ่ยเกาเจี้ยและสหายถานเทียนสวี่จะเคยประมือกับขุนนางชั่วมาแล้ว แต่ครั้งนี้มันเกี่ยวพันกับราชวงศ์เบื้องสูง ก้าวผิดเพียงครั้งอาจทำศีรษะหลุดจากบ่าได้ง่ายๆ
เช้าวันต่อมา สุ่ยเกาเจี้ยได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับหลานๆ ทั้งสาม เฉ่าลู่นั่นเริงร่าและชวนสุ่ยเกาเจี้ยคุยไม่หยุด แต่กับเทียนตี้นั่น...เด็กชายเอาแต่ขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“อาเทียน นี่ท่านอาสุ่ยไง จำไม่ได้หรือ” เฉ่าเหมยเอ่ยถามน้องชาย
เทียนตี้ส่ายหน้า ทำหน้าขู่ฟ่อๆ ลูกเดียว
“ท่านอาอย่าถือสาเลยนะเจ้าค่ะ” เฉ่าเหมยช่วยพูดแทนน้อง
สุ่ยเกาเจี้ยหัวเราะพลางโบกมือ “ไม่เป็นไร เทียนตี้คงเหมือนกันถานเทียนสวี่กระมัง ตอนแรกบิดาพวกเจ้าก็ตั้งกำแพงไม่วางใจข้าเหมือนกัน”
ได้ยินสุ่ยเกาเจี้ยเอ่ยถึงบิดา เทียนตี้ก็เริ่มมีทีท่าสนใจมากขึ้น เอ่ยขอให้บุรุษเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังอีกหน่อย
“ท่านพ่อพวกเจ้าหวงท่านแม่มาก ระแวงว่าข้าจะไปแย่งคนรักของเขาจึงพยายามกันท่าอยู่ตลอด แต่พอได้ไปร่วมรบในสงครามด้วยกัน ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยแล้ว ท้ายที่สุดก็กลายเป็นสหายคนสนิทที่แทบจะสาบานเป็นพี่น้องกันเลยก็ว่าได้”
เฉ่าเหมยได้ฟังแล้วก็รู้สึกประทับใจในความสัมพันธ์ของอาสุ่ยและบิดาของนางอย่างมาก คิดว่าหากมีสุ่ยเกาเจี้ยอยู่ด้วย ปัญหาครั้งนี้นางจะต้องผ่านไปได้แน่
แต่แล้วขณะคนทั้งหมดคุยเล่นกันอยู่นั้น สาวใช้จูฮวนก็วิ่งเข้ามาบอกว่ามีคนในวังขอเชิญเฉ่าเหมยเข้าพบฮ่องเต้ฝูเย่า
“ท่านอา” เฉ่าเหมยหันมามองสุ่ยเกาเจี้ยด้วยความเป็นกังวล
“ให้เย่อินอารักขาเจ้าเข้าวัง” สุ่ยเกาเจี้ยเอื้อมมือมาบีบมือหลานสาวเบาๆ “กล้าหาญเข้าไว้ จำไว้ว่าเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เจ้ายังมีอา เข้าใจหรือไม่”