ตอนที่ 7 ตัวตนที่ผ่าเหล่า
(เวลาล่วงเลยมาจนถึง 6 โมงเย็น (18:00 น))
(ณ โรงอาหารด้านล่างสุดของคฤหาสน์)
ภายในโรงอาหารที่อยู่ด้านใต้สุดของคฤหาสน์หลังใหญ่เป็นการออกแบบโดยการแกะสลักไม้เนื้อแข็งที่ค่อนข้างวิจิตรและอลังการใหญ่โตดูๆ แล้วเหมือนจะสามารถรองรับร้านอาหารได้เป็นสิบๆ ร้านแต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอันใดทำให้เหลือร้านอาหารของคุณลุงคุณป้ารุขเทวดาจิ๋วเพียงร้านเดียวเท่านั้นที่เปิดทำการอยู่
“ฟุดฟิด ฟุดฟิด อื้ม~หอมจังเลยน๊า” ฮารุกล่าวขึ้นหลังจากได้กลิ่นอาหารที่มาถึง
“เอ้าๆกินเข้าไปเยอะๆเลย ถือซะว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ไปเลยแล้วกัน ง่ำ ง่ำ อีกอย่างก็ต้องขอบใจนายหัวแดงที่ซัดไอ้เจ้าตัวปัญหาให้ลงไปนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งกับพื้นได้ ฮ่า ฮ่า” นักเรียนหญิงผมสีขาวกระเซอะกระเซิงอารมณ์ดีที่กำลังถือน่องไก่ทอดสีเหลืองอร่ามอันใหญ่ในมือทั้งสองข้างยิ้มไปมา กล่าวตะโกนต้อนรับขึ้น
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็ถยอยกันเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกันกับสองหนุ่มสาวเพื่อนนักเรียนใหม่ของพวกเขา
“อ๋า~ เอาล่ะ ไหนๆ ทุกคนก็มาอยู่กันพร้อมหน้ากันแล้วงั้นก็มาแนะนำตัวเองให้เพื่อนใหม่ของพวกเราได้รู้จักกันเถอะ” นักเรียนชายหน้าหล่อผู้มีผมสีดำยาวแสกกลางสไตล์เกาหลีพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน
หงึก หงึก
“เห็นด้วยๆ” นักเรียนหญิงผมขาวขานตอบเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” นักเรียนสาวแว่นตากลมมาดเข้มตอบกลับด้วยเสียงเรียบๆ
“อือๆ” นักเรียนชายตัวเล็กผมดำตอบเพียงสั้นๆ
“งั้นเริ่มจากตัวฉันเองแล้วกัน ฉันมีชื่อว่า องอาจ มีพลังอาคมสายควบคุบและบงการสามารถสั่งการหรือสลับร่างกับสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ได้ แต่ก็ต้องเป็นสัตว์ที่ฉันเคยสัมผัสพวกมันไปแล้วอะนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะฮารุ ชาไทย”
องอาจ หนุ่มหน้าหล่อดูใจดี รูปร่างสมส่วนสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ที่ใส่เสื้อด้านในสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางกางสแล็คสีดำแนะนำตัวขึ้น รูปร่างหน้าตาขององอาจหากมีใครได้พบเห็นเขาที่โลกภายนอกละก็คงจะเผลอมาขอถ่ายรูปด้วยแน่ๆ
“ฉันชื่อว่า ยาหยี สามารถใช้อาคมประเภทพลังจิตได้และเป็นหัวหน้าห้องของชั้นปีหนึ่งถึงแม้ทั้งชั้นเรียนจะมีแค่พวกเราก็เถอะ” ยาหยีนักเรียนหญิงผู้ใส่แว่นตากลมโตพูดแนะนำตัวสั้นๆ อย่างเรียบง่ายก่อนจะหันกลับไปกินข้าวต่อ
“ตะ ต่อไปก็ผมเองผมชื่อว่า รัมย์ ตัวผมไม่ค่อยถนัดทั้งคาถาอาคมและการต่อสู้ผมจึงมุ่งเน้นไปที่การปรุงสมุนไพรแทน หากมีใครต้องการจะดื่มสมุนไพรสูตรพิเศษก็บอกผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”
ชายตัวเล็กขอบตาดำคล้ำพูดด้วยท่าทางเขินอายพร้อมกับหยิบขวดสมุนไพรเล็กๆ ขึ้นมาอย่างภูมิใจแม้เพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบจะเบือนหน้าหนีเจ้าสิ่งนั้นก็ตาม
“เรามีชื่อว่า แพรววา ก็อย่างที่เห็นเราเป็นเทพารักษ์เหมือนกับอาจารย์กิ่งแก้วซึ่งเป็นย่าทวดของเราเอง” แพรววาสาวผมขาวมาดแมนที่มีหน้าอกหน้าใจล้ำหน้าออกมากล่าวอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับลอยไปลอยมาในชุดรัดรูปทั้งตัวลายรากไม้สีเขียว
“ส่วนเจ้าบ้ากล้ามที่หาเรื่องนายผมแดงเมื่อเช้าชื่อ นิว เป็นสมิงที่จริงๆ แล้วควรจะอยู่ปี 2 แต่เจ้าโง่นั่นชอบทำตัวตามอำเภอใจและไม่ฟังคำสั่งใครอยู่เรื่อยตอนที่ออกไปทำภารกิจเลยซ้ำชั้นอย่างที่เห็น เห้อ เซ็งชะมัดที่ได้อยู่ร่วมชั้นกับเจ้าหมอนั่น” แพรววากล่าวต่อโดยที่ไม่ค่อยใส่ใจนัก
เมื่อทุกคนแนะนำตัวเองจนครบหมดทุกคนเหลือเพียงแค่ นิว หนุ่มสมิงผมส้มที่ไม่ได้นั่งฉลองอยู่ตรงนี้และเหล่าคณะอาจารย์ที่ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อ สาวชาวญี่ปุ่นจึงเกิดความสงสัยขึ้นก่อนจะถามคำถามบางอย่างออกมา…
“นี่ทุกคนแล้วทำไมภายในโรงอาหาร เอ๊ะ! …ไม่ใช่แค่ในโรงอาหารสิแต่ทั้งสถาบันถึงมีแค่พวกเรากันล่ะ ฉันสังเกตตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าที่นี่นั้นเงียบสงบไม่ได้ยินเสียงของใครสักคนเดียว มีเพียงเสียงที่มาจากสายลม ต้นไม้และสัตว์ป่าตัวเล็กๆ เท่านั้น ทำไมถึงไม่เห็นมีเพื่อนนักเรียนคนอื่นหรือนักเรียนชั้นปีอื่นอยู่เลยหรอ?” ฮารุกล่าวข้อสงสัยของตนออกมาอย่างเปิดเผยด้วยใบหน้าใสซื่อ
“…”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่สาวชาวญี่ปุ่น รวมถึงตัวของชาไทยเองด้วยที่ก็เก็บความสงสัยมาตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าตอนที่กำลังเดินชมรอบๆ สถาบันอยู่ ว่าทำไมถึงไม่เห็นมีนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ที่นี่กันเลยเพราะไม่ว่าสถาบันแห่งนี้จะกว้างขวางมากขนาดไหนแต่การที่ไม่มีวี่แววของนักเรียนคนอื่นอยู่เลยสักคนเดียวมันเป็นอะไรที่ชวนสงสัยเป็นอย่างมาก
“…”
เงียบ
แม้จะเป็นเพียงคำถามง่ายๆ ที่สามารถตอบกลับมาได้ในไม่กี่คำแต่ทุกคนกลับเงียบสนิทไม่มีเสียงใดถูกเอ่ยออกมาให้เพื่อนใหม่ทั้ง 2 คนได้คลายความสงสัยเลยมีเพียงใบหน้าและแววตาที่ดูเศร้าสร้อยแทนคำพูดตอบกลับมาแทน เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขาถึงได้ทำตัวเช่นนั้นกัน
“พวกเราก็ไม่ได้อยากเก็บเป็นความลับอะไรหรอกแต่ว่า…” องอาจเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกหลังจากเงียบไปนาน
“เอ่อ…ถ้าจะให้พูดเรื่องนั้นก็คง…เอ่อ…จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน? ถึงตอนนั้นฉันจะไม่รู้อะไรมากก็ตามเพราะยังเป็นเทพารักษ์ฝึกหัดอยู่แต่ว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นมันก็…” แพรววาพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
ปึง!
“พอได้แล้ว!” ยาหยี ทุบโต๊ะ พูดแทรกขึ้นเสียงดังด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคืองและเห็นถึงสายตาที่เจ็บปวดบนใบหน้าแสนสวย
เพียงแค่คำถามๆ เดียวก็กลับเปลี่ยนบรรยากาศครื้นเครงก่อนหน้าให้กลายเป็นบรรยากาศหม่นหมองได้ในพริบตา
“หน่าๆใจเย็นก่อนสิ ยาหยี โอเคเอาล่ะทุกคน! ก่อนที่บรรยากาศจะหม่นหมองลงไปกว่านี้ฉันจะบอกสิ่งที่พวกนายเด็กใหม่ทั้งสองคนจำเป็นต้องรู้ก็คือ พวกเรายังมีเพื่อนร่วมชั้นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ที่สถาบันกับพวกเราในตอนนี้เขาเป็นรองหัวหน้าห้องที่กำลังออกไปปฏิบัติภารกิจเมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่ชื่อว่า ไอดิน”
องอาจ พูดอย่างระมัดระวังเพื่อคลายความสงสัยให้แก่เพื่อนใหม่ทั้งสองคนและเพื่อไม่ให้กระทบจิตใจของ ยาหยี ด้วย
“…แล้วก็รุ่นพี่ชั้นปีสี่ที่เป็นพี่ชายของแพรววาและยังเป็นรุ่นพี่เพียงคนเดียวในสถาบันของเรา ซึ่งตอนนี้เขาก็น่าจะกำลังฝึกงานอยู่ที่สถาบันอาคมในต่างประเทศอยู่ล่ะมั้งนะ” องอาจ พูดต่อเพื่อให้ความสงสัยที่มีอยู่บนใบหน้าของเพื่อนใหม่ทั้งสองหมดไปแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม
เมื่อทุกอย่างที่ควรรู้ได้รับการเติมเต็มแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับเข้าห้องพักของตนเองเพื่อพักผ่อนจากวันแรกในการเปิดเรียนอันแสนวุ่นวาย
(ณ ห้องประชุมรวมของคณะอาจารย์)
ภายในห้องประชุมรวมของคณะอาจารย์ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้นห้าของคฤหาสน์ มีหน้าต่างทรงกลมขนาดใหญ่เมื่อมองออกไปจะเห็นกับกลุ่มเมฆยามราตรีและหมู่ดาวเคียงคู่กับแสงจันทร์สะท้อนลงบนเส้นทางยาวสีขาวตกกระทบกับบึงบัวขนาดใหญ่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาด้านใต้น้ำตกและผาหินสูงชันที่รายล้อมพื้นที่ทั้งหมดของสถาบันหมื่นปทุมนี้เอาไว้
เวลากลางดึกในวันเปิดเรียนวันแรก อาจารย์ไกร อาจารย์กิ่งแก้วและเมฆจิ๋วสาตาคิรยักษ์ทั้งสามได้เข้ามาอยู่ภายในห้องประชุมชั้นห้าของคฤหาสน์ทรงไทย
“ต้องขอบใจพวกท่านมากที่มาเข้าร่วมประชุมอย่างกะทันหันเนื่องมาจากความเอาแต่ใจของข้าด้วยก็แล้วกันนะ อาจารย์กิ่งแก้ว สาตาคิรยักษ์พวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไรกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าหนุ่มผมแดงในการฝึกการต่อสู้ครั้งแรกเมื่อเช้านี้?” ไกร เอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาดุดัน
“ห๋า? ฝึกการต่อสู้งั้นหรอวะ เอ็งกล้าเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นการฝึกต่อสู้งั้นหรอฟะ เจ้ามนุษย์อ้วนแผงคอสิงโตบื้อ!” สาตาคิรยักษ์ที่อยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวต่อว่ากลับไปเพราะหากเกิดเหตุการณ์ผิดพลาดจากการต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นอาจจะกระทบต่อดวงจิตของนายท่านของเมฆจิ๋วได้
“นั่นเป็นเพียงการฝึกซ้อมไม่ใช่การรบจริงเสียหน่อย ข้าไม่มีทางปล่อยให้นักเรียนในชั้นเรียนของข้าตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว” ไกรตอบกลับอย่างสมเหตุสมผล
“ในตอนที่เจ้าหนูนั่นกำลังจะพ่ายแพ้แต่แล้วก็กลับลุกขึ้นมาต่อกรกับสมิงหนุ่มได้อีกครั้ง ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานของมหายักษ์ผู้ที่ถูกสังหารไปเมื่อ 1,000 ปีก่อนตนนั้นได้ ซึ่งอยู่ภายในตัวของเจ้าหนูผมแดง… นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากได้ยินจากข้าใช่หรือไม่ล่ะ? ไกร” กิ่งแก้วออกความเห็นตรงเข้าประเด็นที่คิดว่าไกรต้องการจะรู้อย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ท่านพูดถูกที่ท่านกล่าวมาคือสิ่งที่ข้าอยากได้ยินจากท่าน ข้าตงิดใจเล็กน้อยตั้งแต่ที่ได้รับภารกิจมอบหมายหน้าที่จากนิมิตหมายของท่าน ที่ให้ไปนำตัวของเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งมาเข้าเรียนที่นี่แล้ว…” ไกร บอกกล่าวในสิ่งที่ตัวเองกำลังสงสัยอยู่ออกมา
“…แต่ข้ากลับไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับ 1 ใน 4 อำมาตย์ของมหายักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้หลบหนีไปหลังจากพ่ายทัพไปเมื่อครั้งอดีตหลบซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจของเด็กมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง…”
“…ถ้าเพียงแค่การโผล่ออกมาวับๆ แวมๆ ของ 4 อำมาตย์ที่ไม่มีพลังของมหายักษ์มาคุ้มกบาลละก็ ข้าก็คงยอมปิดตาตัวเองข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของท่านตัวคนเดียวก็ยังได้ท่านกิ่งแก้ว” ไกร ยังคงพูดสิ่งที่ขุ่นเคืองอยู่ภายในใจออกมาและยังคงพูดต่อ
“แต่ข้าเองก็ผงะไปเหมือนกันเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานของมหายักษ์ตนนั้นแม้เพียงเศษเสี้ยวอันเล็กจ้อยก็ตาม รวมทั้งอาจารย์ใหญ่ที่สัมผัสถึงพลังงานนั้นได้ก่อนข้าเสียด้วยซ้ำไป” ไกร ยังคงพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา
พรุบ!
“หน็อย นี่เอ็งกล้ามาดูถูกนายท่านของข้างั้นเรอะไอ้มนุษย์อ้วนเวร” เมฆจิ๋วพุ่งตัวเข้าประจันหน้ากับไกรด้วยแววตาแดงก่ำ
ไกรใช้มือใหญ่ๆ ของเขาปัดเมฆจิ๋วออกไปจากภาพตรงหน้าอย่างง่ายดายเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเหล่าอำมาตย์ทั้ง 4 ตน ที่ไม่ได้มีพลังงานอาคมของมหายักษ์มาหล่อเลี้ยงก็เป็นได้เพียงแค่ยักษ์ชั้นสูงระดับต่ำที่เขาสามารถรับมือได้โดยที่ไม่ต้องเอาจริงด้วยซ้ำไป
“…” ส่วนกิ่งแก้วยังคงเงียบต่อไป
“ในเมื่อตัวตนที่ทรงพลังอย่างมหายักษ์ตนนั้นถูกสังหารไปแล้วพลังงานอาคมที่อยู่ในร่างก็จะสลายหายไปชั่วนิจนิรันดร์และเข้าสู่วัฏจักรวังวนไป” ไกรเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา
“ซึ่งตอนนี้ข้าว่าท่านอาจารย์กิ่งแก้วก็คงจะเข้าใจข้าดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีตัวตนที่ทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับระดับของมหายักษ์ได้สลายหายไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีตัวตนไหนเลยที่สามารถสร้างความหายนะบนโลกใบนี้ได้เฉกเช่นมหายักษ์ตนนั้น”
ข้อสงสัยที่มีอยู่มากมายภายในใจของไกรยังคงขุ่นมัวไร้คำตอบและสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาคืออะไรกันแน่
“หึ หึ หึ ก็อย่างที่ท่านกล่าวมาแต่ท่านกล่าวผิดไปบางอย่างนะไกร แม้ว่ามหายักษ์ตนนั้นจะสร้างความวุ่นวายไปมากขนาดไหนแต่ผู้ที่ท่านควรจะใช้คำว่า ‘หายนะ’ ด้วยได้นั้นน่าจะเป็นผู้นำของ 1 ใน 7 มารมากกว่านะ” กิ่งแก้วตอบกลับ
“ส่วนข้านั้นเป็นตัวตนที่มีอายุขัยมาอย่างยาวนานข้าจึงรู้ดีกว่าใครเพราะข้าเองก็เคยเห็นตัวตนที่ยากจะหยั่งถึงเหล่านั้นสลายหายไปกับตาด้วยตาทั้งสองข้างของข้าเอง แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามหายักษ์ตนนั้นเป็นตัวตนที่อันตรายเกินกว่าผู้ใช้อาคมธรรมดาๆ ทั้งประเทศแห่งนี้จะรับมือไหวจริงๆ…”
กิ่งแก้วกล่าวต่ออย่างอ้อมๆ ด้วยสีหน้าไม่จริงจังนักและดูเหมือนว่าเธอกำลังเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่ในคำพูดของเธอ
ปึง!
“รีบเข้าประเด็นเสียที! ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมท่านถึงต้องการนำตัวเด็กหนุ่มคนนั้นมาที่สถาบันแห่งนี้กันแน่ แล้วพลังงานอาคมที่แผ่ออกมาของมหายักษ์ตนนั้นจากภายในร่างกายของเจ้าหนุ่มนั่นมันคืออะไรกันแน่!” ไกรใช้กำปั้นหนาใหญ่ของเขาทุบลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ใจเย็นๆ เอาไว้ก่อนสิไกรข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลเรื่องอันใดอยู่ ท่านกลัวว่าเจ้าหนูนั่นจะเป็นเมล็ดพันธุ์ของมหายักษ์ตนนั้นสินะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่าทำให้ข้าขำหน่อยเลยเรื่องตลกพรรค์นั้นมันไม่ดูล้าหลังไปหน่อยหรือไงถ้าข้าย้อนกลับไปฟังมุกตลกเช่นนี้ของท่านเมื่อ 500 ปีก่อน ข้าคงจะสติแตกไปแล้วแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ข้าเห็นกับตาของข้าเองเลยนะว่ามหายักษ์ตนนั้นได้สลายหายไปจนสิ้นแล้วเพราะข้าก็อยู่ในมหาสงครามครั้งนั้นด้วย ข้าจะไปลืมช่วงเวลาอันแสนวิเศษแบบนั้นได้เยี่ยงไรกันเล่า …ข้าเพียงแค่ต้องการจะพบเจอกับคนรักเก่าของข้าเท่านั้นแหละนะ หุ หุ” กิ่งแก้วได้แต่ขำเบาๆ กับคำกล่าวอ้างที่ไกรสาธยายพ่นออกมาตั้งนาน
“ท่านกำลังจะบอกว่าเจ้าเด็กนั่นก็แค่บังเอิญเป็นผู้มีสายเลือดของยักษ์ที่มีพลังงานอาคมและกลิ่นอายออร่าแบบเดียวกันหรือใกล้เคียงกับมหายักษ์ตนนั้นอย่างงั้นหรอ! ท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับตัวตนที่ผ่าเหล่าเช่นนี้ให้ข้าฟังทีท่านกิ่งแก้ว!” ไกรยังคงไม่พอใจและไม่ยอมรับในเหตุผลเมื่อครู่
“ข้าจะบอกท่านให้เข้าใจอีกสักครั้งแล้วกันนะเพื่อว่าท่านจะลืมไปแล้ว…ว่าตัวตนที่ยากจะหยั่งถึงเหล่านั้นจะมีตัวตนเพียง ‘ตัวตนเดียว’ เท่านั้น ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแสนนานเท่าไรหรือดวงจิตจะกลับมาเกิดใหม่อีกสักกี่พันครั้งก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จะมีพลังงานอาคมหรือความทรงจำเช่นเดียวกันกับครั้งอดีตของตนได้หรอก”
กิ่งแก้วบอกความจริงให้แก่ตัวตนสุดแสนจะดื้อด้านเหมือนกับเด็กเพิ่งเกิดอย่างไกรที่มีอายุห่างจากตัวของเธอเป็น 1,000 ปีได้รับรู้ความจริงของเรื่องราวในอดีตเสียใหม่ แต่กิ่งแก้วก็กลับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เช่นกัน
“สิ่งเหล่านั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่ …เว้นเสียแต่ว่ามหายักษ์ตนนั้นอาจจะยังไม่ตาย ฮ่า ฮ่า แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะที่รักของข้า…”
กิ่งแก้วที่อธิบายไขข้อข้องใจให้ไกรได้ฟังหันไปถามก้อนเมฆนุ่มฟูที่เป็นอดีตคู่รักของตนเพื่อยืนยันความมั่นใจให้แก่ชายท้วมร่างใหญ่ที่กำลังยืนหน้าบึ้งคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้า
“…เอ่อ…” สาตาคิรยักษ์ลอยอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางแปลกๆ
“ฮ่า ฮ่า จะเงียบอยู่ทำไมกันละ เอาสิ พูดออกมาเลยสิที่รักว่านายเก่าของท่านนั้นได้สลายสิ้นไปแล้วใช่ไหม?” กิ่งแก้วคะยั้นคะยอก้อนเมฆสีเหลืองนุ่มฟูให้พูดความจริงออกมา
“…” สาตาคิรยักษ์ลอยอยู่อย่างเงียบๆ พร้อมกับหลบสายตาของอดีตคู่รักของตน
“แฮะ แฮะ จะหลบตาข้าไปทำไมกันละ พูดมาสิอย่าชักช้า พูดออกมาสิว่านายเก่าของท่านตายไปแล้วใช่มั้ย …ใช่ ใช่มั้ย?” กิ่งแก้วหัวเราะแห้งๆ ด้วยสายตาร้อนรนรีบเร่งให้อดีตคู่รักของตนเปิดเผยความจริงออกมาเพราะถ้าหากไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอเพิ่งกล่าวอ้างออกไปคงมีเพียงเหตุผลเดียวแน่ๆ คือ มหายักษ์ตนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่
“เอ่อ…คือว่า…เรื่องนั้นมั…!” สาตาคิรยักษ์ที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกมากลับหายวับไปต่อหน้าต่อตาของคณะอาจารย์ทั้งสองที่อยู่ในห้องประชุม
พรึ่บ!
ไกรชายร่างท้วมผมหยิกฟูในชุดมาสคอตจระเข้และกิ่งแก้วหญิงผมขาวร่างสูงได้แต่มองหน้ากันเงียบๆด้วยความกระวนกระวายภายในใจกันอยู่สองคนภายในห้องประชุมแสนเย็นเฉียบ
“นั่นใช่ …พลังอาคมแบบเดียวกันกับการเรียกหา สาวกแห่งยักษ์ ที่มีเพียงแค่มหายักษ์ตนนั้นที่ทำได้ใช่หรือเปล่า?” ไกรพูดขึ้น
“…ต่อจากนี้ไปข้าจะทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์ที่ตัวข้าได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องความลับของเจ้าหนุ่มผมแดงท่านก็ใช้ญาณนิมิตของท่านหาทางออกเอาเองก็แล้วกัน สมองข้าคงรับไม่ไหวกับเรื่องพรรค์นี้แล้ว” ไกรพูดด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไปทิ้งให้หญิงผมขาวร่างสูงยืนช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“…”
“เจ้าหนุ่มผมแดงนั่นเป็นตัวตนที่ผ่าเหล่าผ่ากอมาจากไหนกันหรือว่าสตาคิรยักษ์กำลังวางแผนอะไรไว้อยู่กันแน่…” กิ่งแก้วได้แต่ยืนอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงเป็นการจับคู่ที่เลวร้ายน่าดู” ไกรกล่าวปิดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป
ปึง!
(ภายในห้องพักนักศึกษา)
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ชาไทยที่นอนไม่หลับได้แต่พลิกไปมาเพราะมัวแต่คิดเรื่องหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนแปลกใหม่ไปหมดสำหรับตน ขณะกำลังนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก้อนเมฆใบหน้ายักษ์ก้อนนั้นคงพอจะช่วยอะไรตนได้บ้าง จึงขานชื่อของก้อนเมฆนั้นที่ได้ยินมาจากอาจารย์กิ่งแก้วออกมา
“เอ่อ…สาตาคิรยักษ์ …อยู่ที่นี่หรือเปล่า?” หนุ่มผมแดงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจเบาๆ
พรึ่บ!
ทันใดนั้นก้อนเมฆสีเหลืองก้อนเล็กๆก็มาปรากฏตัวให้เห็นเป็นใบหน้ายักษ์ตรงหน้าของชายหนุ่ม
“อะ เอ็ง!? ไอ้เจ้าเด็กมนุษย์เวรเอ๊ย! เพราะเอ็งแท้ๆ ความลับที่ข้าควรจะต้องปกปิดเอาไว้กลับถูกเปิดเผยต่อหน้าทั้งสองคนนั้นไปแล้ว ย๊ากกก” สาตาคิรยักษ์ในร่างก้อนเมฆจิ๋วโมโหจนมีไอความร้อนแผ่ออกมาจากหัวพุ่งเข้าชนใส่หนุ่มผมแดงอย่างเดือดดาล
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
“อะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำอะไรเนี่ย หยุด หยุดสักทีมันจั๊กจี้นะเจ้าก้อนเมฆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชาไทยที่กำลังถูกเจ้าก้อนเมฆสีเหลืองก้อนจิ๋วพุ่งชนก็หัวเราะออกมาทุกครั้งเพราะเมื่อผิวกายของชายหนุ่มสัมผัสกับเจ้าก้อนเมฆก็ทำให้เกิดอาการจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูกจนน้ำตาไหลออกมา
“ละ แล้วความลับอะไรที่เจ้าหลุดปากพูดออกไปล่ะ ฮ่า ฮ่า” ชาไทยหัวเราะร่าพร้อมกับใช้มือขึ้นมาปาดน้ำตาถามออกไปอย่างใสซื่อ
“แฮ่ก แฮ่ก เจ้าโง่! ข้าไม่ได้หลุดปากพูดออกไปนะเฟ้ย ก็เป็นเพราะเอ็งนั่นแหละเรื่องมันถึงได้แดงขึ้นมาได้ไง!” เมฆจิ๋วยัวะขึ้น
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
“ฮ่า ฮ่า หยุดพุ่งเข้ามาได้แล้วหน่า มันจั๊กจี้นะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชาไทยหัวเราะร่าจากการพุ่งเข้าชนด้วยร่างกายอันนุ่มฟูของเมฆจิ๋ว
“ฟู่~ ก็ได้ๆ ยังไงก็ปกปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้อีกแล้วงั้นข้าจะบอกให้เอ็งได้รู้ไว้เลยแล้วกันว่าในร่างของเอ็งน่ะมีนายท่านของข้าอยู่…”
“…เพราะหลังจากนายท่านพ่ายทัพไปในครั้งนั้นก็เป็นข้านี่ล่ะที่ได้ช่วยนายท่านของข้าเอาไว้แล้วหลบหนีเข้าสู่สายธารฯ แม้ข้าจะต้องสละพลังวิญญาณจนแทบไม่เหลือแต่ข้าก็ไม่เสียใจที่ได้ช่วยนายท่านของข้าเอาไว้ได้สำเร็จ! แต่ข้าก็ต้องดวงซวยอีกรอบเพราะนายท่านดันไปผูกดวงจิตเข้ากับดวงจิตอย่างเอ็งน่ะสิ! ข้าเลยติดร่างแหไปด้วย”
เมฆจิ๋วบอกเล่าความจริงในครั้งอดีตให้แก่ชาไทยได้รับรู้ด้วยท่าทางภูมิใจพร้อมกับกล่าวโทษชาไทยอีกรอบด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“โอ้โหว สุดยอดไปเลยน๊า เอ๊ะ!? ดวงจิตของฉันอะนะ” ชาไทยประหลาดใจกับเรื่องที่ได้ฟังอย่างมากพร้อมกับลูบคลำไปทั่วตัวเพื่อหาดวงจิตของตน
“ใช่แล้วเจ้าบื้อ หึ หึ แล้วก็อีกเรื่อง …ข้าคงไม่โมโหขนาดนี้หรอกถ้าในอดีตดวงจิตของเอ็งมันไม่โง่ไปติดอยู่ในสายธารแห่งวัฏจักรวังวนเป็นเวลาตั้ง 1,000 ปีน่ะ!”
“ข้ากับนายท่านควรจะได้มาที่โลกตั้งแต่เมื่อ 900 ปีที่แล้วแล้วเฟ้ยเจ้าโง่! เอ็งคงไม่รู้สินะว่าการติดอยู่ในวังวนกับดวงจิตบื้อๆ ของเอ็งมันโคตรจะทรมานแค่ไหนน่ะ!” เมฆจิ๋วพูดด้วยความโมโหให้อารมณ์เหมือนคุณลุงข้างบ้านที่บ่นปลดทุกข์ของชีวิตให้ฟัง
“เอ๋~งั้นการเวียนว่ายตายเกิดก็มีจริงๆนะสิ แล้วสายธารวัฏจักรอะไรนั่นมันคืออะไรหรอ? มีเผ่าพันธุ์หรือว่ามนุษย์ต่างดาวที่ผมยังไม่รู้จักอะไรอีกบ้าง? มีมิติอะไรอีก? แล้วนรกสวรรค์มีจริงๆใช่ไหม แล้วพวกวิญญาณใช้ชีวิตกันยังไงต้องกินข้าวหรือเปล่า ผมอยากเห็นผีสักครั้งก่อนตายก็ยังดี แล้วมี…”
หนุ่มผมแดงรัวคำถามใส่เมฆจิ๋วกลับไปอย่างตื่นเต้นเพราะในใจลึกๆ ของชายหนุ่มก็แอบสนใจเรื่องลึกลับพวกนี้ไม่ใช่น้อย
“พอได้แล้วเจ้ามนุษย์บื้อ! เอาล่ะฟังให้ดีไหนๆ ในสักวันหนึ่งนายท่านของข้าก็จะต้องตื่นขึ้นมาในร่างของเอ็ง คงโชคไม่ดีแน่ถ้าหากเอ็งผู้เป็นเจ้าของร่างไม่มีความรู้พื้นฐานด้านอาคมอยู่เลย งั้นต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นอาจารย์พิเศษให้เอ็งเองก็แล้วกันเจ้ามนุษย์!”
เมฆจิ๋วเสนอตัวแต่งตั้งตนเองเป็นอาจารย์ ส่วนหนุ่มผมแดงก็ยอมรับด้วยความเต็มใจแม้ว่าในอีกใจหนึ่งจะรู้สึกหวั่นๆ กับคำพูดของเมฆจิ๋วก็ตาม
“งั้นบทเรียนแรกที่เอ็งจะต้องจำใส่สมองไว้ก็คือ ร่างกายของยักษ์อาคมเพลิงโลกันตร์! ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เมฆจิ๋วเตรียมพร้อมเต็มที่ในฐานะการเป็นอาจารย์ครั้งแรก
“เอ๋? งะ งั้นก็จัดมาเลยครับท่านอาจารย์ก้อนเมฆ!” ชาไทยน้อมรับบทเรียนแรกด้วยความมุ่งมั่นแม้ขอบตาจะดำคล้ำก็ตาม…
ทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวและฝึกฝนร่ำเรียนวิชาอาคมเสริมนอกเวลาจากบทเรียนของเมฆจิ๋วกันทั้งคืนจนถึงเช้า