ตอนที่5_สถาบันหมื่นปทุม

3017 Words
ตอนที่ 5 สถาบันหมื่นปทุม  (เวลาล่วงเลยมาจนถึง 5 โมงเย็น (17:00 น)) เอี๊ยด! หลังจากเดินทางลงสายใต้ตามถนนเส้นหลักมาไม่นานรถจิ๊ปสีเทาอมน้ำเงินคันใหญ่ก็ได้มาหยุดจอดอยู่ที่บริเวณหน้าทางเข้าของ บึงบัว ณ ทุ่งสามร้อยยอด ประจวบคีรีขันธ์ สถานที่แห่งนี้มีดอกบัวหลากหลายสายพันธุ์นับหมื่นผุดขึ้นมาให้เชยชมเหนือผิวน้ำใสที่ดูกว้างขวางพร้อมกับละอองหมอกบางๆ ที่ดูเงียบสงบสบายตา รวมไปถึงเหล่าแมลงตัวเล็กตัวน้อยและแสงสีเขียวอ่อนๆ สวยงามจากหมู่หิ่งห้อยที่เกาะอยู่ตามใบบัวกระโดดโลดแล่นบินเป็นเส้นแสงสีไปมา “หาว~ อืม ถึงสักทีสิน้า” ชายแก่ฮิปปี้เปิดประตูลงจากรถพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วยพูดขึ้น “เอาล่ะทั้งสองคนตื่นได้แล้ว พวกเรามาถึงสถาบันแล้วล่ะ” ไกรพูดบอกพร้อมทั้งใช้มือที่หนาใหญ่ของเขาเขย่าร่างของหนุ่มผมแดงกับสาวสวยชาวญี่ปุ่นอย่างแผ่วเบา หงึก หงึก หงึก งืม งืม “ขออีก 5 นาทีหน่า~” เสียงของฮารุขานตอบรับด้วยความงัวเงียขณะที่ยังคงหลับตาอยู่ “หาว~ เอ๋? เรามาถึงแล้วงั้นหรอ?” ชาไทยพูดขึ้นด้วยท่าทีสะลึมสะลือพร้อมกับแคะขี้ตาและเช็ดน้ำลายไปด้วย เมื่อทั้งคู่ลืมตาขึ้นตื่นจากความง่วงก็ต้องแปลกใจกับภาพวิวทิวทัศน์ตรงหน้า แสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่กำลังตกดินทอแสงรำไรสีส้มอ่อนพาดผ่านทะลุสายหมอกเข้ามาสะท้อนผิวน้ำให้เห็นบึงบัวยามเย็นที่อยู่ตรงหน้าช่างสวยงามราวกับภาพวาดอันวิจิตรของจิตรกรชื่อดังไม่มีผิด “เอ๊ะ! แล้วมหาลัยอยู่ตรงไหนกันล่ะเนี่ย? มีแค่บึงบัวไกลสุดลูกหูลูกตาเองหนิ” เมื่อชายหนุ่มผมแดงชื่นชมกับภาพทิวทัศน์ตรงหน้าของตนจนสมใจอยากแล้วก็สะดุ้งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อชายทั้งสองคนบอกว่ามาถึงแล้ว แล้วไหนล่ะมหาวิทยาลัยที่ตนเองจะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ต่อนับจากนี้ “นี่ ไม่ใช่ว่าหลอกผมมาขายหรอกนะ” ชาไทยพูดอย่างกวนๆ ด้วยใบหน้าแหยงๆ แต่ลึกๆ ภายในใจก็แอบหวั่นไหวอยู่ไม่ใช่น้อย “เหอะๆ ใครจะไปหลอกเด็กท่าทางไม่ได้เรื่องอย่างเอ็งกันละไอ้หัวเงาะ หุ หุ” ชายแก่ฮิปปี้ส่ายหน้ากับคำพูดของหนุ่มผมแดง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายคงจะแอบกลัวอยู่ในใจจนตัวสั่นแล้วสินะ ใช่มั้ยล้า~ ระวังโดนเอาไปตัดแขนตัดขาไปขายน๊า~ ฮ่า ฮ่า” ฮารุที่กำลังยืนเท้าสะเอวชมความงามของบึงบัวอยู่ก็อดพูดจาหยอกล้อชายหนุ่มข้างๆ เมื่อหันไปเห็นสีหน้าขวัญเสียไม่สู้ดีของเขาไม่ได้ แปะ แปะ “เอาล่ะ ทั้งสองคนเลิกพูดเป็นเล่นไร้สาระกันได้แล้ว” ไกร ปรบมือดังขึ้นสองครั้งก่อนที่ในไม่กี่อึดใจต่อมาพื้นที่หมอกบางๆ ว่างเปล่าไม่มีอะไรที่อยู่ข้างหน้าของทั้งสี่คนจะถูกแหวกออก ไอเย็นจากหมอกและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวนานาพรรณพุ่งเข้าปะทะไหลผ่านไปทั่วร่างของบุคคลทั้งสี่อย่างแผ่วเบา ฟู่~ ฟู่~ เบื้องหลังแผ่นม่านหมอกที่จางลงค่อยๆ เผยให้เห็นเส้นทางสวยงามสีขาวล้วนทำจากหินอ่อนที่ถูกยกสูงขึ้นเป็นระนาบยาวออกไป บนพื้นทางเดินถูกประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวที่ถูกแกะสลักอย่างดีและขัดจนเงางามเป็นรูปดอกบัวบานตลอดทางทั้งซ้ายขวา มีหมอกบางๆที่เกิดจากน้ำตกสูงชันอยู่ใต้ทางเดิน ที่ปลายสุดของทางเดินมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ดูกว้างขวางมหึมารูปทรงคล้ายราชวังทรงไทยและมีเรือนไทยหลังคาแหลมวิจิตรที่สร้างด้วยหินอ่อนชั้นดีหรูหราหลายหลังนับสิบเรือนปลูกรายล้อมรอบบริเวณของราชวังทรงไทยดังกล่าว มีหน้าผาหินสูงใหญ่ล้อมรอบเหล่าสถาปัตยกรรมอันงดงามเหล่านี้เอาไว้ ดูรวมๆ แล้วคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นการออกแบบแบบไทยๆ ที่มีกลิ่นอายผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนโบราณปนอยู่เล็กน้อย ว้าว~ “ว้าว~ สะ สุโก่ย” ฮารุเบิกตากว้างทำให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินกลมโตสวยงามเป็นประกาย เพียะ! “…ฝัน! ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ” ชาไทยใช้มือทั้งสองตบลงไปที่แก้มของตนเองเพื่อทดสอบว่าตัวเองคงจะไม่ได้ฝันไปแน่ๆ กับภาพที่กำลังเห็นอยู่เบื้องหน้า “เอาล่ะพวกเอ็งทั้งสองคน …พวกข้าในฐานะอาจารย์ขอต้อนรับว่าที่นักเรียนใหม่สู่สถาบันอาคมหมื่นปทุมนับจากนี้เลยแล้วกัน หุ หุ หุ” ชายแก่ฮิปปี้กล่าวต้อนรับนักเรียนใหม่ทั้งสองคนพร้อมกับเดินนำหน้าทะลุผ่านม่านหมอกเข้าไปก่อนเป็นคนแรก ตึก ตึก ตึก ตึก เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้าไปผ่านแผ่นหมอกที่ถูกแหวกออกแล้วทางเข้าออกก็ถูกกลุ่มก้อนเมฆหมอกสีขาวเคลื่อนตัวมาบดบังปิดลงทันที วูบบบ ซู่ ซู่ ทั้งสี่คนเดินไปตามเส้นทางสีขาวที่ดูไม่แคบและไม่กว้างเกินไปที่ทำมาจากแผ่นหินบางๆ ลอยสูงอยู่เหนือน้ำตก มีน้ำตกที่ไหลสู่แอ่งน้ำด้านล่างให้ร่างกายได้ปะทะกับไอเย็นสดชื่นฉ่ำเย็นที่พุ่งเป็นไอหมอกขึ้นมาตลอดเวลา ถึงแม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะด้วยไอหมอกจากน้ำตกและแสงสว่างอันน้อยนิดที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าแต่ชายหนุ่มผมแดงก็สังเกตเห็นว่าด้านล่างสุดของน้ำตกเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกบัวนับหมื่นนับแสนครอบคลุมไปจนสุดลูกหูลูกตายิ่งกว่าบึงบัวด้านนอกเสียอีก “ที่นี่มันอย่างกับฝันไปเลยแฮะ หือ? ข้างล่างนั่นมีทุ่งดอกบัวอยู่เต็มไปหมดเลยนี่หน่ายิ่งกว่าบึงบัวที่เพิ่งเห็นไปเมื่อกี้นี้อีก โหสุดยอดไปเลย~” ฮารุตื่นเต้นเต็มจนเผลอทำตัวเหมือนเด็กไปบ้าง เมื่อได้เข้ามายังสถาบันหมื่นปทุมแห่งนี้เป็นครั้งแรก “สูงจังแฮะ ถ้าตกลงไปสงสัยจะได้กลับบ้านเก่าแหงเลย” ชาไทยกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีขณะที่กำลังชะเง้อมองลงไปด้านล่างสะพานลอยสีขาว “หุ หุ สวยใช่มั้ยล่ะสถาบันหมื่นปทุมของพวกเราน่ะ” ชายแก่ฮิปปี้พูดออกมา “ค่ะ ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่าจะต้องมีกลิ่นที่ไม่ค่อยดีจากบึงบัวแน่ๆ แต่กลับกันเลย กลิ่นของดอกบัวอ่อนๆ ที่ลอยมาตามลมก็ทำให้ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะคะ” ฮารุสูดดมกลิ่นที่ปะปนอยู่ในอากาศด้วยใบหน้าผ่อนคลายไร้ความกังวล “อือ ทีนี้ก็รู้แล้วแฮะว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าสถาบันหมื่นปทุม” ชาไทยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงใช้ชื่อเช่นนั้นเพราะไม่ว่าจะมองหันซ้ายหันขวาไปทางไหนก็มีแต่ดอกบัวเต็มไปหมด “เอาล่ะอย่ามัวแต่คุยเล่นกันเลยรีบๆ เดินตามข้ามาดีกว่าพวกเรามาสายไปเป็นวันเลย” ไกรหันหลังทักขึ้นให้รีบเร่งฝีเท้า ตึก ตึก ตึก ตึก หลังจากเดินเข้ามาได้ไม่นานทั้งสี่คนก็มาหยุดอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของคฤหาสน์ทรงไทยขนาดมหึมาที่เห็นโดดเด่นตั้งแต่ทางเข้า จากนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งเปิดประตูหินบานใหญ่สีขาวออกมาต้อนรับพวกเขาทั้งสี่คน แอ๊ด~ บุคคลผู้นั้นเป็นหญิงวัยกลางคนร่างผอมสูง มีผิวพรรณสีขาวอมชมพูดูอ่อนกว่าวัยพอสมควร ผมยาวสีขาวปล่อยพลิ้วไหวไปด้านหลัง ใส่ชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาลแซมเขียวจรดปลายเท้ามีลายลูกไม้รากไม้คล้ายเถาวัลย์เป็นลวดลายของชุด ใบหน้าตกแต่งดูคมดุด้วยการปาดตาสีเขียวเด่นชัด พร้อมกับเหล่ารุขเทวดาตัวจิ๋วขนาดเท่าฝ่ามือหลายสิบตนลอยวนเวียนส่องแสงจางๆ อยู่รอบตัว “ตะ ตัวอะไรฟะน่ะ” ชาไทยพูดออกมาเบาๆ หลังจากได้เห็นรุขเทวดาเป็นครั้งแรกเพราะผลจากน้ำลายของไกรยังคงมีผลอยู่ “เห๋~ ตัวเล็กๆ น่ารักจังเลยอย่างกับตุ๊กตาเลย อยากเข้าไปจับแก้มนุ่มนิ่มนั่นจังอ่า อ๊า คาวาอี้~” ฮารุยิ้มกรุ้มกริ่มพึมพำกับตนเองหลังจากได้เห็นเหล่ารุขเทวดาตัวน้อยที่กำลังบินวนไปมารอบตัวของหญิงผมขาว ครืน วิบวับ วิบวับ “โย่ว! ออกมารับเลยงั้นเหรออาจารย์กิ่งแก้ว ปกติเวลาป่านนี้ท่านควรจะต้องเข้าพักผ่อนไปแล้วสิ สงสัยจังเลยน๊าว่าเหตุไฉนมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดหรือเปล่า” ชายแก่ฮิปปี้ทักทายพร้อมคุยหยอกล้อในเรื่องที่ตนเองรู้อยู่แล้วกับอาจารย์กิ่งแก้วที่ยืนรออยู่ด้านหลังประตูหินด้วยเสียงยืดยาน ส่วนไกรก็ทักทายอย่างสุภาพพอเป็นพิธี “เอาล่ะ พวกท่านทั้งสองคนคงเหนื่อยกันมามากแล้ว งั้นจงแยกย้ายไปพักผ่อนกันเสียเถอะ ส่วนแขกวัยเยาว์สองคนนี้ข้าจะเป็นผู้นำทางพาไปยังห้องพักนักศึกษาเอง” กิ่งแก้วพูดด้วยเสียงที่ดูสุขุมเยือกเย็นก่อนจะโบกขยับนิ้วให้พลิ้วไหวอย่างช้าๆ เหล่ารุกขเทวดาตัวน้อยก็บินออกไปหยิบจับถือกระเป๋าจากหนุ่มสาวทั้งสองคน ฮึบ ฮึบ ใบหน้าที่ดูมุ่งมั่นปนทรมานของเหล่ารุขเทวดาตัวน้อยที่กำลังช่วยกันแบกกระเป๋าใบใหญ่เกินขนาดตัว ดูๆ ไปแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูแต่ก็อดที่จะขำไม่ได้เหมือนกัน “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองจงตามข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งยังห้องพักนักเรียนเอง” กิ่งแก้วพูดจบก็กลับหลังหันเดินนำทางทั้งสองหนุ่มสาวไป “ค่ะ!/ครับ!” ส่วนสองหนุ่มสาวที่ตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัดก็พร้อมมองหน้ากันอย่างทำตัวไม่ถูก ‘สะ สูงชะมัด’ ชาไทยตะลึงในความสูงของบุคคลผมขาวตรงหน้า ชาไทยที่มีส่วนสูงประมาณ 175 เซนติเมตร เมื่อมายืนอยู่ใกล้ๆ กิ่งแก้วแล้วกลับมีส่วนสูงได้เพียงครึ่งหนึ่งของเธอเท่านั้น เมื่อหันไปมองทางสาวชาวญี่ปุ่นที่เดินเงอะๆ งะๆ ท่าทางเกร็งๆ ดูไปดูมาแล้วคงจะมีส่วนสูงประมาณ 150 ปลายๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหล่อนจะมีอาการตะกุกตะกักจากความกดดันเรื่องความสูงดูผิดมนุษย์มนาที่แผ่ออกมาจากตัวของอาจารย์กิ่งแก้ว ตึก ตึก ตึก ตลอดทางที่ได้เดินมาอาจารย์กิ่งแก้วก็ได้พูดแนะนำสถานที่ต่างๆ ภายในตัวคฤหาสน์ไปด้วย เมื่อมาถึงยังหน้าห้องพักของนักศึกษาหญิงอาจารย์กิ่งแก้วก็ได้แนะเกี่ยวกับกิจกรรมและวิชาเรียนที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้อย่างเป็นกันเอง “…ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่บอกแล้วพรุ่งนี้เช้าข้าจะมารับแต่เช้า” กิ่งแก้วกล่าวบอก “ค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ ราตรีสวัสดิ์” ฮารุกล่าวบอกพร้อมกับเข้าไปในห้องพักของตน จากนั้น ฮารุ ก็ขอตัวแยกย้ายเข้าห้องไปพักผ่อนเหลือเพียงหญิงผมขาว หน้าคมร่างสูงในชุดรากไม้กับหนุ่มมนุษย์ผมแดงและเหล่ารุขเทวดาน้อยเท่านั้น ทั้งคู่เดินมาถึงสะพานลอยข้ามฟากระหว่างหอพักหญิงกับหอพักชาย ตึก ตึก ตึก ตึก “อืมข้าว่าตรงนี้ก็คงจะไม่เลวเท่าไรนะที่ท่าจะแสดงตัวออกมา เอาหล่ะแสดงตัวออกมาซะสิ…” เมื่อเดินมาถึงกลางสะพานที่เป็นทางเชื่อมระหว่างหอพักชายกับหญิงอาจารย์กิ่งแก้วก็หยุดเดินและเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทางเรียบเฉย เงียบกริบ ‘…เอ๊ะ หมะ หมายความว่าไงฟะเนี่ย’ ชาไทยที่เดินตามหลังของหญิงผมขาวร่างสูงมาได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าลงพื้นพร้อมกับพึมพำเบาๆ ในลำคอเพราะไม่กล้าสบตาเธอ อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าที่เธอพูดออกมาหมายถึงอะไรกันแน่ “ข้ารู้นะว่าท่านแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น ข้าไม่ได้ใจเย็นไปได้ตลอดหรอกนะรีบๆ แสดงตัวออกมาได้แล้ว” อาจารย์กิ่งแก้วส่งสายตาแสนเยือกเย็นแต่เฉียบคมมองลงมาทางหนุ่มผมแดงแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “…” ชาไทยเหงื่อไหลพลั่กไม่กล้าสบตากับบุคคลตรงหน้า “หากท่านยังไม่แสดงตัวออกมางั้นข้าคงจะต้องสั่งสอนให้ท่านได้รู้สำนึกเสียหน่อยแล้วและอย่าหาว่าข้าเป็นหญิงใจโฉดก็แล้วกัน” อาจารย์กิ่งแก้วชี้นิ้วเรียวยาวมาทางชายหนุ่มผมแดง จากนั้นรากไม้ที่ประดับตกแต่งอยู่ตามชุดของเธอก็เริ่มขยับแล้วพุ่งออกไปตามทิศทางการชี้นิ้วไปมาของเธอ ว๊ากกก! หนุ่มผมแดงหลับตาปี๋พร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมาป้องกันทันทีโดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วรากไม้เหล่านี้ไม่ได้เล็งมาที่ตัวเขาเลยด้วยซ้ำ ผลุบ! “หยุดก่อนนน!!” ก่อนที่รากไม้แหลมคมหลายสิบเส้นจะพุ่งมาถึงตัวชายหนุ่มก็มีเสียงตะโกนห้ามปรามขึ้นมา เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงปริศนาตอนที่สติสุดท้ายของชาไทยได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่แห่งจิต “แฮ่ก แฮ่ก เกือบไปแล้วนี่เจ้าคิดกล้าลงมือกับเด็กมนุษย์นี่จริงๆงั้นเหรอ!… ขะ ข้าขอโทษนะ ทะ ที่รักของข้า ข้า…” เจ้าของเสียงดังกล่าวปรากฏกายลอยออกมาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เจ้าของเสียงกระวนกระวายนั้น มีลักษณะของใบหน้าของยักษ์เฉกเช่นเดียวกับที่สลักอยู่ตรงบริเวณด้ามจับของตะบองทองคำในลักษณะของกลุ่มก้อนเมฆสีเหลืองทองที่มีขนาดใหญ่กว่าเหล่ารุขเทวดาตัวน้อยเพียงนิดเดียวเท่านั้น ครืด ครืด รากไม้บนตัวของอาจารย์กิ่งแก้วค่อยๆขยับไปมัดพันเมฆหน้ายักษ์ที่สั่นกลัวอยู่ แล้วค่อยๆขยับกลับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเธออย่างช้าๆ หนุ่มผมแดงได้แต่งุงงงในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “เห้อ ในที่สุดข้าก็หาท่านจนพบ ข้าควรจะทำอย่างไรดีกับชายผู้ที่ทิ้งข้าหายไปถึง 1,000 ปีแล้วกลับมาอยู่ในสภาพน่าอนาถตาเช่นนี้กัน ข้าล่ะคิดไม่ออกจริงๆ เจ้าช่วยตอบข้าให้หายสงสัยได้หรือไม่หนุ่มน้อย” อาจารย์กิ่งแก้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกด้วยท่าทางลอยๆไม่ใส่ใจ ก่อนจะละสายตาที่เฉียบคมจ้องเขม็งไปทางชายหนุ่มผมแดงเพื่อเป็นสัญญาณให้ตอบคำถาม “เอ๋!?” ชาไทยคาดไม่ถึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงพูดขึ้นก้องไปทั่วอยู่ภายในจิตใจของชาไทย ติ้ง! ‘เห้ย! เจ้ามนุษย์ ถ้าเอ็งพูดไม่ดีละก็ข้าโดนเล่นยับแน่นะเว้ย’ เจ้าของเสียงนั้นก็คือก้อนเมฆใบหน้ายักษ์ที่สามารถสลับการสื่อสารระหว่างกายหยาบภายนอกและภายในจิตใจได้เมื่อใช้อาคมของตน “…” ‘เร็วสิวะเจ้ามนุษย์บื้อ’ ‘เร็วเข้าสิโว้ยไอ้มนุษย์เฮงซวย! ไม่งั้นฆ่าได้ลงไปนอนเป็นปุ๋ยหมักใต้ต้นมะม่วงแน่’ เมฆจิ๋วคร่ำครวญออกมาแต่ชาไทยก็ยังคงมีใบหน้าที่เหวอทำตัวไม่ถูกจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า “…” ‘หน็อย… ก็ได้! จากนี้ไปไม่ว่าเอ็งจะเดือดร้อนอะไรบอกข้าได้เลยข้าจะจัดการให้เอ็งเองไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น’ ก้อนเมฆใบหน้ายักษ์ยังคงรัวคำพูดอ้อนวอนอยู่ภายในจิตใจอย่างร้อนรนสั่นกลัว แม้ว่าชาไทยจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังของทั้งสองก็ตามแต่หากเมฆจิ๋วตรงหน้าพูดอ้อนวอนขอร้องถึงขนาดนั้นก็มีแต่ต้องจำใจช่วยเหลือ “ผะ ผมคิดว่าพวกเราควรจะพูดคุยกันดีๆ แบบผู้เป็นอารยชนหรือผู้ที่เจริญแล้วที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาดีกว่านะครับผม ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่มีเหตุผลไม่ดีที่จะทำเรื่องแบบนั้นหรอกนะครับ” หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ชาไทยก็พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก กล้าๆ กลัวๆ แก้ต่างให้กับเมฆที่มีใบหน้ายักษ์ “…ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลหนุ่มน้อยแต่เพียงแค่เหตุผลของมนุษย์มันยังไม่มากพอสำหรับเทพารักษ์อย่างข้าหรอกนะ” “ข้านั้นรู้อยู่แล้วว่าบุคคลตรงหน้ามีอุปนิสัยเยี่ยงไร เพราะงั้นคืนนี้ข้าคงจะต้องสอนบทลงโทษให้กับท่านซะหน่อยแล้ว ‘สาตาคิรยักษ์’ ที่รักของข้าให้สาสมแก่เวลาที่ข้าต้องเฝ้ารอการกลับมาของท่านอย่างลมๆ แล้งๆด้วย หุ หุ” อาจารย์กิ่งแก้วหัวเราะในลำคอแล้วนำก้อนเมฆสาตาคิรยักษ์เข้ามาโอบกอดไว้อย่างแนบแน่นก่อนจะพาชาไทยเดินไปส่งถึงห้องพักและแนะกิจกรรมในวันถัดไปแล้วจึงแยกย้ายกันพักผ่อน… ‘มะ ม่ายยยจริงงง!!’ แม้เมฆจิ๋วจะกรีดร้องออกมาเสียงดังขนาดไหนก็ไม่มีใครได้ยินเพราะเขาคงจะลนลานจนลืมปลดอาคมที่กำลังสื่อจิตอยู่ทำให้ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องอันโอดครวญทรมานนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือหนุ่มผมแดง ชาไทย นั่นเอง ชาไทยได้แต่กัดฟันอดทนและภาวนาให้ค่ำคืนนี้ไม่ต้องได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเมฆจิ๋วภายในจิตใจตนเองแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะดูเหมือนว่าเมฆจิ๋วจะถูกกระทำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เป็นคำพูดตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า ‘อ๊ากกก!!’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD