ตอนที่ 1 การเดินทาง
หนูยิ้มสาวสวยเดินทางจากเมืองไทยมาถึงยังวัดหว่องไท่ซินที่อยู่ในฮ่องกง Wong Tai Sin Temple ซึ่งทุกคนจะรู้จักกันดีคือวัดหวังต้าเซียน
หนูยิ้มเงยหน้ามองทางเข้าวัด สีหน้าของเธอไม่เหมือนคนอกหัก กลับดูเรียบเฉยแม้ไร้รอยยิ้มก็ยังดูน่ารักสดใสสมวัย ด้วยเพราะอายุของเธอเพิ่งจะยี่สิบสี่ปี กลับถูกผู้ชายคนนั้นหักหลังได้ลงคอ แล้วยังมีเพื่อนชั่วคอยแทงข้างหลังจนพรุน กว่าจะรู้ความจริงพวกเขาก็ดันกำลังจะมีลูกด้วยกัน
หล่อนจึงยิ้มรับให้กับโชคชะตาที่จะว่าโหดร้ายก็ไม่เชิงโชคดีก็ไม่ใช่ เพราะเขาคนนั้นเป็นรักเดียวของเธอนับตั้งแต่ที่เธอเปิดใจรักใครสักคน ก็หวังว่าจะฝากชีวิตและอนาคตไปกับเขา สุดท้ายมันก็พังทลายล้มครืนลงมาไม่เป็นท่า
หนูยิ้มล้วงกระเป๋าเปิดเครื่องมือสื่อสารไฮเทคออกมา เธอเปิดไปดูข้อมูลต่าง ๆ ในนั้นเขียนว่าการเดินทางมาที่วัดนี้ต้องนั่งรถไฟฟ้าแล้วมาลงที่สถานี Wong Tai Sin ทางออก B3 ติดกับ ห้าง Temple Mall ซึ่งมันก็ทำให้เธอเดินทางได้ง่ายขึ้น
จากนั้นเธอเลื่อนหน้าจออย่างช้า ๆ อ่านข้อความหลังจากนั้นว่าการเดินควรจะเป็นเช่นไร มีทั้งลูกศรสีแดงและสีเขียว หากเดินตามลูกศรสีเขียวแล้วจะนำเธอไปยังห้องลับเพราะว่า เป็นการ เสริมดวง ไหว้พระประจำปีเกิด และมีนักพรตทำพิธีเสริมบารมีให้ เรื่องนี้หนูยิ้มย่อมไม่พลาดอย่างเด็ดขาด
แล้วยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งทำให้หนูยิ้มอยากไปมากที่สุดนั่นก็คือวัดแชกงหมิว เพราะคำร่ำลือมิได้แตกต่างกันมากนักเป็นเทพเจ้าแชกงนั่นเพราะอดีตของท่านคือแม่ทัพใหญ่ ปราบศึกน้อยใหญ่จนได้รับชัยชนะ
ด้วยเพราะท่านใช้สัญญาลักรูปกังหันสี่ใบพัดติดไว้ที่ด้านหน้ารถศึกนำขบวนรถกองทัพออกรบเพื่อปราบศัตรูที่มารุกรานผืนแผ่นดิน
เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายต่างก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวของท่านแม่ทัพแชกง เพราะมีกังหันสี่ใบพัดย่อมเชื่อว่าย่อมนำพาแต่ความเป็นสิริมงคล และนำพาแต่ความโชคดีมาสู่กองทัพ
เหล่าทหารต่างก็มีจิตใจฮึกเหิมศึกน้อยใหญ่ล้วนได้ชัยชนะมาแทบทั้งสิ้น ดังนั้นเองชื่อเสียงของท่านแม่ทัพแชกงจึงเป็นตำนานตราบชั่วลูกหลาน แม้จะเปลี่ยนผู้ครองแคว้นมาหลากหลายรุ่น แต่ก็ยังเทิดทูนสรรเสริญท่านแม่ทัพแชกงอยู่ทุกยุคทุกสมัย
หนูยิ้มปิดเครื่องมือสื่อสารแล้วเดินเข้าไปข้างในวัดหวังต้าเซียน “ใหญ่จริง ๆ ด้วย ขอให้ลูกได้พบเนื้อคู่ด้วยเถิด” เธออธิษฐานในใจ แต่หารู้ไม่ว่านับจากนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือทีเดียว
ทางเข้านั้นจะมีเสาหินขนาดใหญ่ ด้านบนมีหินแกะสลักรูปสัตว์เอาไว้ ซึ่งหนูยิ้มไม่รู้ว่าคืออะไร จึงเดินก้าวเข้าไปอย่างมุ่งมั่น เธอได้รับธูปกับเทียนไหว้และอธิษฐานอยู่ด้านนอก เพราะในวิหาร หวังต้าเซียนนั้นบุคคลทั่วไปเข้าไม่ได้ เธอได้แต่ยืนชื่นชมอยู่ภายนอกเท่านั้น
หลังจากหนูยิ้มจึงเดินตามลูกศรไปยังห้องลับ ผู้คนพลุกพล่านเบียดเสียดกันไม่น้อย หนูยิ้มถูกนักพรตผู้หนึ่งสะกิดที่แขนเสื้อ เขาเอ่ยขึ้นเป็นภาษาที่ทำให้ฟังไม่เข้าใจนัก “หนูไม่เข้าใจค่ะ รอสักครู่นะคะ”
ระหว่างก้ม ๆ เงย ๆ จะหาเครื่องมือสื่อสาร คิดว่าจะให้นักพรตผู้นั้นได้พูดแต่กลับกลายเป็นว่าท่านนักพรตมิได้สนทนาอันใดอีก กลับส่งด้ายแดงให้หนูยิ้มแล้วเดินจากไป เธอยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความสงสัย
“หรือว่าเราจะโชคดีกันนะ” เธอระบายยิ้มอ่อน จากนั้นจึงได้เดินออกมาข้างนอก จะพบว่ามีเทพเจ้าจันทรายืนอยู่ระหว่างกลางรูปปั้นชายและหญิง
“นี่แม่หนูมาทางนี้สิจ๊ะ ยายจะบอกอะไร” หญิงชราหลังค่อมเดินเข้ามาทักทาย
หนูยิ้มแปลกใจจึงได้เข้าไปพบ “ค่ะคุณยาย มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ” เธอมองซ้ายทีขวาทีก็ไม่พบว่ามีญาติติดตามมาสักคน
หญิงชราจับเข้าที่แขนของหล่อน แล้วก็พูดขึ้นว่า “โชคดีจริง ๆ ได้พบหนู วันนี้มาอธิษฐานขอเนื้อคู่ใช่ไหมจ๊ะ” หญิงอายุมากเอ่ยสอบถาม หนูยิ้มพยักหน้าคงไม่แปลกหรอกเพราะส่วนมากก็มีแต่ผู้หญิงกับผู้ชายทั้งนั้นที่มาขอพรให้พบเนื้อคู่โดยเร็วด้วยกันทั้งนั้น
“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดขึ้นมาอีก
“ยายขออวยพรให้หนูได้พบเนื้อคู่โดยเร็วนะ” คุณยายกล่าวจบก็ไม่รั้งรออะไรอีก เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้หนูยิ้มยืนนิ่งเพราะมึนงง มันคือสองเหตุการณ์จากเมื่อครู่ข้างในเธอพบกับนักพรตซึ่งมอบด้ายแดงให้เธอ แล้วเมื่อเดินออกมาด้านนอกก็พบกับคุณยายอีก แล้วก็ไม่รู้ว่าเดินไปไหนเสียแล้ว
หนูยิ้มหันหลังกลับจะเดินไปยังรูปปั้นของผู้ชายที่มือนั้นถือผ้ามงคลเอาไว้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง หนูยิ้มไม่ลืมที่จะผูกมือของรูปปั้นชายหนุ่ม พลันมีชายชรายืนอยู่ข้าง ๆ ของเธอแนะนำการผูกด้ายและในมือยังมีรายชื่ออีกด้วย ชายชราผู้นี้นั้นใบหน้าแม้ว่าจะดูเหี่ยวย่น แต่ทว่าดวงตากลับโอบอ้อมอารีและอบอุ่นยิ่งนัก
เมื่อหนูยิ้มผูกด้ายแดงแล้วเธอจึงหลับตาอธิษฐานจิตอย่างแข็งขัน หวังว่าจะทำให้เธอได้พบกับเทพบุตรฟ้าประทาน ฝ่ามือของเธอสัมผัสที่เท้าของรูปปั้นสามครั้งและเอ่ยเบา ๆ ขึ้นมา “หากว่ามีวาสนาต่อกันขอให้ได้พบได้เจอกับคนที่รักจริงสักที”
“ย่อมเป็นดั่งคำขอร้องวิงวอน แม่หนู ลืมตาขึ้นเถอะ เนื้อคู่เจ้าอยู่ไม่ไกลนัก”