"ครูเจ้าเอยคะ ห้องครูเจ้าเอยคิดกิจกรรมได้ยังคะ" นิจรีย์เพื่อนครูอนุบาลด้วยกันที่อยู่ห้อง 2/3 มาไถ่ถาม
"กิจกรรมอะไรคะ"
"ก็ที่ ผ.อ.ให้ครูแต่ละห้องคิดกิจกรรมการแสดงที่ให้เด็กๆได้มีส่วนร่วมกัน แสดงโชว์ผู้ปกครองในงานสินค้าท้องถิ่นประจำปีของโรงเรียนยังไงคะ"
"จริงสิเจ้าเอยลืมไปสนิทเลย ของครูนิจทำอะไรคะจะได้ไม่ซ้ำกัน"
"จะให้เด็กๆแสดงนิทานพื้นบ้านค่ะเอาเรื่องง่ายๆให้เขาจำบทกันแค่คนละนิดก็พอ เน้นว่าเด็กๆได้แต่งตัวเข้าฉากได้ร่วมแสดงกัน"
"ดีจังเลยค่ะ เจ้าเอยคิดออกแล้วเจ้าเอยจะให้เด็กๆแสดงการละเล่นพื้นบ้าน ขอบคุณนะคะที่ช่วยเตือน ช่วงนี้วุ่นๆเลยลืมไปเลย"
"การละเล่นพื้นบ้านหรือ รีรีข้าวสารก็น่าสนใจแฮะ" หลังจากเธอแยกตัวกับครูนิจรีย์ก็มานั่งคิดถึงสิ่งที่จะให้เด็กในชั้นเรียนเธอได้มาร่วมแสดง
"เด็กๆจ๊ะ อาทิตย์หน้าเราจะมีการแสดงคุณครูอยากให้ทุกคนมาร่วมกิจกรรม เดี๋ยวครูเจ้าเอยจะมีจดหมายแจ้งฝากใส่กระเป๋าไปให้ผู้ปกครองนะคะ แล้วเราก็มาร่วมซ้อมการแสดงกันดีไหม" จันทร์เจ้าเอยประกาศต่อหน้าชั้นเรียนให้เด็กน้อยเข้าใจ
"ผมอยากขี่ม้าโชว์ครับ" เด็กชายเป็นเอกยังคงพูดถึงเรื่องม้าไม่ลืม
"โอ้โหมันน่าสนใจมากเลยนะจ๊ะ แต่ว่าหนูยังเด็กอยู่คุณครูอยากให้เด็กๆแสดงการละเล่นพื้นบ้านกัน ไหนมีใครรู้จักบ้างคะยกมือหน่อย"
"แต่คุณลุงคนนั้นเขามีม้าผมอยากขี่ม้าครับ"
"เป็นเอกลูกม้ามันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กนะ" จันทร์เจ้าเอยคงคิดว่าเด็กน้อยคงจำฝังใจถึงสิ่งที่ตัวเองประทับใจมากๆอยู่
"มีใครรู้จักการละเล่นพื้นบ้าน รีรีข้าวสารบ้างจ๊ะ เดี๋ยวครูเจ้าเอยจะพาเด็กๆฝึกร้องเพลงกันนะจ๊ะ"
"เย้ๆๆร้องค่ะครู" เด็กคนอื่นพากันดีใจชอบใจ
จันทร์เจ้าเอยเปิดโทรทัศน์สื่อการสอนให้เด็กๆได้ดูการละเล่นดังกล่าวเป็นตัวอย่าง
"รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน คดข้าวใส่จาน พานเอาคนข้างหลังไว้ให้ดี"
ในขณะที่เด็กในห้องเรียนกำลังรับชมโทรทัศน์อยู่นั้นจันทร์เจ้าเอยก็ได้เป็นลมวูบไปอีกแต่คราวนี้เธอสลบราวหลับไหลไปนานพอสมควร
"รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน คดข้าวใส่จาน พานเอาคนข้างหลังไว้ให้ดี" เสียงเด็กประสานเสียงร้องเพลงการละเล่นพื้นบ้านอยู่จำนวนเกือบสิบคนแต่มีอยู่หนึ่งคนที่นั่งมองเขาเล่นกันไม่ได้ไปร่วมวงด้วย
"เอ็งอยากมาเล่นไหม" เด็กหญิงคนหนึ่งแต่งตัวดูมีฐานะเป็นลูกของชนชั้นเจ้านายเดินมาถามเด็กหญิงคนหนึ่งที่อายุเท่าๆกับเธอกำลังนั่งมองดูด้วยสายตาเหงาเหมือนไม่มีเพื่อนเธอจึงชักชวนให้มาเล่นด้วยกัน
"อย่าไปชวนมันค่ะคุณหนู มันสกปรกออกมาค่ะ" เสียงหญิงวัยกลางคนนุ่งผ้าเตี่ยวและโจงกระเบนเดินมาห้ามไว้
"ทำไมล่ะเล่นหลายคนสนุกดีออกแม่ซ่อนกลิ่น" เด็กหญิงผู้มีจิตใจดีถามกลับถึงเหตุผล
"เท่าที่เล่นอยู่ด้วยกันนี้ก็พอเจ้าค่ะคุณหนู นังพวกนี้มันยังเป็นลูกระดับหัวหน้าคนงานลูกพ่อค้าที่รู้จักมักคุ้นแต่นังนี่มันเป็นลูกทาสไม่สมควรมาเล่นกับคุณหนูเจ้าค่ะ" หญิงที่ถูกเรียกชื่อว่าซ่อนกลิ่นอธิบาย
"เป็นทาสแล้วเล่นด้วยไม่ได้รึ" เด็กหญิงผู้อารียังคงข้องใจ
"พวกลูกทาสในเรือนเบี้ยไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่คู่ควรจะมาตีเสมอ" ดูเหมือนจะเป็นคำด่าที่เหยียดหยามกันมากกว่าจะเป็นคำตอบ
"แต่เขาก็เป็นลูกทาสที่อยู่ในเรือนเราไม่ใช่หรือแม่ซ่อนกลิ่น"
"มันเป็นลูกทาสที่ทำงานอยู่ก้นครัวช่วยแบกหามไม่มีเจ้านายเจ้าหัวเรียกรับใช้เป็นคนสนิทชิดเชื้อดูไม่น่าวางใจเจ้าค่ะ"
"หมายความว่าถ้าเขามีเจ้านายที่ตามรับใช้เป็นพิเศษเขาก็จะเล่นกับเราได้ใช่ไหม" เด็กหญิงใจดีถามตาใส
"ก็...พอจะอะลุ่มอล่วยได้บ้างเจ้าค่ะ" แม่ซ่อนกลิ่นตอบอย่างเสียไม่ได้
"เยี่ยงนั้นเอ็งใส่นี่ไว้ จากนี้ไปเอ็งคือคนของข้า ไว้ข้าจะไปเล่นที่ใดข้าจักเรียกเอ็งให้ติดตามไปรับใช้" เด็กหญิงผู้เปี่ยมด้วยเมตตาตั้งแต่อายุยังน้อยถอดสายสร้อยข้อเท้าที่ทำมาจากเชือกอย่างดีและมีกระพรวนประดับอย่างสวยงามให้กับเด็กหญิงที่แต่งกายมอมแมม
"ให้บ่าวรึ"
"ใช่จากนี้ไปเอ็งเป็นคนของข้า"
"คุณหนูไปให้มันทำไมเจ้าคะ" แม่ซ่อนกลิ่นแย้ง
"ไม่เห็นจะเป็นไรไป มันหาใช่ของมีค่าราคาอันใดข้าซื้อมาจากอาแปะคนจีนที่เอามาขายที่ตลาด ข้าใส่เบื่อแล้ว" เด็กหญิงเจ้าของสร้อยข้อเท้าพูดเพื่อให้คนโต้แย้งจนด้วยเกล้า
"ยังไม่ขอบคุณคุณหนูอีก เอ็งนี่มันไม่มีมารยาทพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนรึไง" แม่ซ่อนกลิ่นด่าด้วยความหมั่นไส้และรังเกียจ
"ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะใส่มันไปตลอดชีวิต" เด็กหญิงผู้หน้าสงสารดีใจยิ่งนักที่ได้ของที่ถึงแม้ไม่มีราคาแต่ก็มีค่ากับเธอยิ่งนักเกิดมามีแค่เสื้อผ้าปิดพันกายก็นับว่าบุญโขแล้ว
"เอ็งจักใส่มันไปตลอดชีวิตของเอ็งไม่ได้ดอก เมื่อเอ็งโตขึ้นสร้อยข้อเท้าเส้นนี้ก็จักเล็กลงแล้ว"
"อย่างไรบ่าวก็จะใส่เจ้าค่ะ บ่าวสัญญา" เธอตอบด้วยสายตาที่รักษาคำมั่น
"ไป เอ็งมาเล่นกับข้า" เด็กหญิงผู้สูงศักดิ์จูงมือลูกทาสคนนั้นอย่างไม่รังเกียจให้เธอได้เข้าไปร่วมวงเล่นด้วย
"จริงสิ เอ็งชื่อว่ากระไร"
"บ่าวชื่อ...."
"ครูเจ้าเอย ครูเจ้าเอย" เสียงนารีและนิจรีย์ช่วยกันตบแก้มเธอเบาๆเรียกสติ
"เป็นลม อีกแล้วแต่คราวนี้เลือดกำเดาไม่ออกค่อยยังชั่วหน่อย" นารีพูดเมื่อเห็นจันทร์เจ้าเอยค่อยๆลืมตาขึ้นมา
"เกิดอะไรขึ้นคะ" จันทร์เจ้าเอยถามอย่างงงๆ
"ก็เป็นลมอีกแล้วน่ะสิ นี่ขนาดทานข้าวเที่ยงแล้วนะ" นิจรีย์บอกแก่เธอ
"แปลกจังจำได้ว่ากำลังสอนเด็กๆร้องเพลงอยู่ๆภาพมันก็ตัดแล้วก็ตื่นมาเจอครูนิจกับนารีเนี่ยแหล่ะค่ะ" เจ้าเอยเล่าเหตุการณ์
ถึงแม้จะจำเรื่องราวไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงตอนที่เป็นลมแต่ที่เธอจำได้ติดใจคือเพลง "รีรีข้าวสารและภาพเหตุการณ์คล้ายความฝันเมื่อสักครู่"
"แกอุปทานไปเองหรือเปล่าเจ้าเอย" ปลาดาวเพื่อนสนิทพูดขึ้นเมื่อจันทร์เจ้าเอยโทรไปหาและเล่าสิ่งที่เธอแปลกใจให้ฟัง
"แกน่าจะกำลังอินกับสิ่งที่สอนเด็กมันเลยเหมือนกับจิตใต้สำนึกแกมันทำงาน" ปลาดาวอธิบายเพิ่มตามหลักจิตวิทยาที่เธอเรียนมา
"ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ที่จริงฉันเพิ่งนึกถึงเมื่อตอนกลางวันนี้เองนะว่าจะให้เด็กๆร้องเพลงนี้" จันทร์เจ้าเอยยังคาใจ
"ก็แค่อุปทานมากกว่านะ อย่าคิดมากแกพักผ่อนแล้วถ้ามันยังไม่ดีขึ้นฉันแนะนำว่าแกควรหาเวลาไปพบแพทย์ตรวจร่างกายดูบ้างนะ" ปลาดาวเสนอแนะอย่างเป็นห่วง
"จริงสินะ บางทีฉันควรไปหาหมอเสียบ้าง" เจ้าเจ้าเอยเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนรัก
"แทนทานข้าวหรือยัง" จันทร์เจ้าเอยส่งข้อความหาแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจกันได้ประมาณ 3 - 4 เดือน
"ยังเลยเรายุ่งอยู่น่ะ เจ้าเอยมีอะไรหรือเปล่า"
"ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายอยากให้แทนหาเวลาไปหาหมอเป็นเพื่อนหน่อย"
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
"ไม่มากแค่เป็นลมบ่อยๆน่ะ"
"ดูแลตัวเองนะ แทนไม่มีเวลาไปดูแลแต่ยังไงถ้าเจ้าเอยจะไปหาหมอเมื่อไรแทนจะไปเป็นเพื่อนนะ"
"โอเคไว้คุยกันนะ"
ความจริงเธอยังไม่ค่อยอยากไปหาหมอสักเท่าไรแต่ก็ชวนชายหนุ่มเผื่อเอาไว้ถือเสียว่าจะได้มีเวลาให้กันบ้าง
.....................