ตอนที่ 6 ความสำคัญของจวิ้นจู่
ณ ตำหนักเฉินเซียว ยามอิ๋น
นางกำนัลผู้หนึ่ง ได้รับมอบหมายหน้าที่อันสำคัญยิ่ง นั่นก็คือให้มาปรนนิบัติจวิ้นจู่เพื่อชำระร่างกาย รวมถึงการแต่งกายอย่างถูกต้องของแคว้นเหลียนแห่งนี้
นางและเหล่านางกำนัลอายุน้อยกว่า ต่างก็พากันยืนอยู่หน้าห้องบรรทมของจวิ้นจู่ แม้จะเอ่ยเรียกเจ้าของห้องก็ยังไร้เสียงตอบกลับมา พวกนางต่างก็พากันชักสีหน้า หงุดหงิดใจนักหนา เหตุใดจวิ้นจู่ผู้นี้จึงไม่รู้จักระดับความสำคัญของเวลาบ้าง
แต่ใครจะคิดเล่า ยามที่นางกำนัลกำลังพากันซุบซิบผู้เป็นนายสาวคนใหม่ กลับเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง เปิดประตูออกมา เส้นผมดุจน้ำหมึกยุ่งเหยิงนัก ด้วยเพราะเพิ่งตื่นนอนยังมิได้สางผม
เหล่านางกำนัลต่างก็หน้าซีด ถูกสายตาอันมืดดำอำมหิตจ้องมองอย่างเชือดเฉือน พวกนางล้วนมิกล้าสบตา แต่มีนางกำนัลอาวุโสผู้หนึ่ง เมียงมองไปยังด้านในของห้องบรรทม ก็พบว่าจวิ้นจู่แคว้นซ่งกำลังนอนหลับสนิท
“ปลุกนางแต่เช้าเสียเหลือเกิน พิธีอันใดที่ยุ่งยากก็ยกเลิกมันเสียให้หมด” เห็นนางหลับสนิท จึงไม่อยากปลุกให้นางตื่น เพิ่งจะนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ถูกปลุกไปขัดตัวเสียแล้ว
เมื่อคืนเขาสั่งสอนนางหนักไปสักนิด เรือนร่างบอบช้ำนัก อาจกลายเป็นที่ครหาเอาได้ หากเมื่อคืนเขายับยั้งชั่งใจได้บ้างก็คงดี แต่ทว่าเห็นริมฝีปากที่เผยอต่อว่าต่อขาน แววตาดุดัน แฝงไปด้วยความโกรธเกลียดนั้น
ก็ยิ่งทำให้เขาอยากกำราบปราบนางให้อยู่ในใต้เบื้องล่าง ผลสุดท้ายเป็นเขาเสียเองที่ถูกนางครอบงำ จนลุ่มหลงถึงเพียงนี้ เพียงได้สัมผัสกอบกุมความงดงามของยอดถัน ปลายลิ้นสัมผัสถึงความหวานละมุนนั่น ก็ยิ่งชักนำทำให้เขายากนักจะหักห้ามใจได้อีก
กระทั่งมองเห็นกลีบดอกไม้งามสีหวาน ที่เขาค่อย ๆ แหวกกลีบดอกไม้งามเผยออกมา เห็นเกสรสีแดงสดฉ่ำวาววับนั่น ยามที่ลงปลายลิ้นหยอกเย้ายังติ่งเกสรด้านหน้า ทำให้นางบิดม้วนกะส่ายกะสับ หอบหายใจถี่กระชั้นชิด ก็ยิ่งทำให้เขาฮึกเหิมลำพองใจนักหนา
เมื่อสอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องลึกหลืบที่นางหวงแหนสุดชีวิต มันทั้งคับและแน่น เพียงขยับเขยื้อนปลายนิ้ว นางก็ร้องครวญครางออกมาไม่หยุดหย่อน เกิดเสียงฉ่ำแฉะของความเปียกชื้น ก็ยิ่งสร้างความกระสันเสียวให้เขาอยากครอบครองนางจวนเจียนแทบขาดใจ
ซ้ำยังลงเล็บจิกลงที่บ่าของเขาอีกด้วย ไม่นานน้ำหวานค่อย ๆ ไหลเอ่อนองจนเปียกชื้นที่มือหนา จนเกิดเป็นเสียงฉ่ำแฉะมิหยุดหย่อน
เมื่อนั้นเขาจึงไม่รีรออีกแล้ว รีบกดลูกชายเข้าไปในกายสาวของนางทั้งเนิบนาบ สลับกับร้อนแรงในห้วงเวลาอันสุขสมนี้
กว่าสงครามนี้จะจบลงได้ ก็เล่นทำให้แขนและขาของเขาอ่อนปวกเปียกไม่น้อย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะปรารถนางถึงเพียงนี้ ไม่เคยหักห้ามใจได้เลยสักครา กลับรู้สึกต้องการนางอยู่ใต้ร่างของเขาเสมอ และเพลานี้ เหล่านางกำนัลทั้งหลาย ยังมายืนกดดันให้นางตื่นแต่เช้าตรู่ เขาจึงไม่พอใจนัก
แม่นมสูงวัยผู้นี้ ได้คำสั่งมาจากหวงโฮ่ หรือโจวฮองเฮา เพื่อมาจัดการเครื่องแต่งกายของพระชายา ดังนั้นแล้วที่อันอ๋องกล่าวมาล้วนไม่ถูกต้องนัก
“มิได้เพคะ อันอ๋องอย่าได้ทรงตรัสเยี่ยงนี้ มันเกี่ยวพันทั้งสองแคว้น หากทำให้จวิ้นจู่เสื่อมเสียเกียรติในวันนี้ ภายภาคหน้าแคว้นซ่งอาจนำเรื่องนี้มาโจมตีแคว้นเหลียนก็เป็นไปได้นะเพคะ” หญิงชราจึงออกความคิดเห็น หวังว่าจะทำให้อันอ๋องเลิกเอาแต่ใจตนเองเสียที
“สามหาวนัก เป็นเพียงบ่าวรับใช้ กล้าสอนสั่งอ๋องเช่นข้ารึ” นางกำนัลพวกนี้ เห็นเขาเป็นคนสมองหมูหรืออย่างไร เขาเป็นห่วงนางเท่านั้นกลัวว่าหากเข้าพิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนเกิดเป็นลมล้มพับขึ้นมาจะทำอย่างไร เกรงว่าอาจกลายเป็นที่นินทาให้สนุกปากทั่วทั้งแคว้นกระมัง
“บ่าวมิกล้าเพคะ อันอ๋องทรงพิจารณาด้วยเพคะ” นางกำนัลถึงกับหน้าซีดปากคอสั่น ด้วยเพราะสายอันมืดดำอำมหิตจ้องมองมา ราวกับว่าจะฉีกร่างของนางออกเป็นชิ้น แม้จะมีอายุมากแต่นางก็ยังต้องรักษาชีวิตเอาไว้ พร้อมกับทรุดกายลงคุกเข่า เอ่ยทั้งน้ำตาอย่างหวาดกลัว
“คนถ่อยเช่นเขา จะคิดการภายภาคหน้าได้อย่างไรกัน เตรียมตัวให้ข้าเถิด ไม่ต้องฟังความจากอันอ๋อง” ซ่งฟางหรูได้ยินเสียงคำรามนี้ นางไม่ตื่นก็ต้องตื่นเพราะเสียงอันกึกก้องของเขา
คาดว่าอันอ๋องเหลียนเจาคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ไม่น้อย นางจึงลุกขึ้นพร้อมกับคว้าเสื้อคลุมเรือนร่างเอาไว้ เดินออกมาห้ามทัพเสียก่อน ประเดี๋ยวงานอภิเษกหนนี้จะกลายเป็นที่โจษจันทั่วแคว้น
อีกทั้งนางยังเป็นถึงจวิ้นจู่แห่งแคว้นซ่ง ย่อมไม่อาจทนให้ตนเองถูกลดเกียรติ เพียงเขาข่มเหงรังแกนางไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ นับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงมากพอแล้ว
“เพคะ จวิ้นจู่เชิญทางด้านนี้เพคะ พวกบ่าวเตรียมอาภรณ์และมงกุฎหงส์เอาไว้ให้แล้ว อาภรณ์ชุดนี้คาดว่าน่าจะใส่พอดี ห้องอาภรณ์เร่งรีบตัดเย็บ เกรงว่าจะทำให้จวิ้นจู่ไม่พอพระทัยเพคะ” นางกำนัลรู้สึกหายใจหายคอได้บ้าง ที่มีจวิ้นจู่ออกหน้าช่วยห้ามเสียก่อน
ทว่าอันอ๋องกลับให้ความสำคัญกับจวิ้นจู่นัก แม้ว่าสตรีนางนี้ออกปากตำหนิ อันอ๋องก็ไม่มีทีท่าเคืองโกรธสักนิด กลับดูสงบนิ่งราวกับว่าเมื่อครู่มิได้โกรธเคืองเสียอย่างนั้น
“ที่จริง ข้าก็มีอาภรณ์ของข้า มิต้องรบกวนพวกเจ้านำอาภรณ์นั้นออกมา” มิรู้ว่าแคว้นเหลียนจะฉีกหน้านางหรือไม่ ก่อนจะเดินทางมา ท่านแม่ของนางได้เตรียมอาภรณ์ที่งามพร้อม
อีกทั้งยังขนเครื่องประดับมาให้นางเสียมากมาย ที่จริงแล้ว ของเหล่านั้นนางมิปรารถนานำมันมา แต่ทว่าท่านแม่ยังกำชับกำชามิหยุดหย่อน อย่าให้แคว้นเหลียนดูแคลนได้
ด้วยภาระหน้าที่นี้ ซ่งฟางหรูย่อมเย่อหยิ่งและทระนงตน เมื่อก่อนไม่ต้องคิดมาก กลับเที่ยวเล่นสนุกสนานไปวัน ๆ แต่หนนี้นางจะเที่ยวเล่นเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว ทุกย่างก้าวล้วนอันตรายนัก ผู้ใดจะเป็นมิตรหรือศัตรูยังไม่แน่ชัด แต่ศัตรูตัวร้ายที่นางหมายหัวเอาไว้ ย่อมต้องเป็นหวังเหมยฮัว ชายารองผู้นั้น
“แต่ว่า” นางกำนัลอายุมาก ครุ่นคิดอย่างกังวลใจ เกรงว่าอาจถูกโจวฮองเฮาตำหนิเอาได้
“ทำตามที่นางสั่ง นางต้องการสิ่งใดก็ทำไป” เหลียนเจาตะคอกเสียงดัง ทำให้หญิงชราสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ เห็นนางกำนัลผู้นี้มีทีท่าขัดขืน อีกทั้งคงเป็นโจวฮองเฮาจัดแจงให้นางมา
หวังว่าจะทำให้ซ่งฟางหรูงามหน้า แต่ฝันไปเถิดแผนของโจวฮองเฮาไม่มีวันสำเร็จเป็นอันขาด หากมีเขาอยู่ ผู้ใดจะรังแกข่มเหงนางไม่ได้ นอกจากเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้อื่นห้ามแตะต้อง มิเช่นนั้นเขาจะจัดการคนผู้นั้นให้จดจำชั่วชีวิต
“เพคะอันอ๋อง” นางกล่าวเสียงสั่นอย่างหวาดผวา แววตาที่มองมาเมื่อครู่ราวกับจะฉีกเนื้อเลาะกระดูกของนางออกเสียอย่างนั้น
“อีกเดี๋ยวค่อยพบกันนะ” สีหน้าของเหลียนเจากลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม เอ่ยเสียงนุ่มไพเราะนักยามพูดคุยกับซ่งฟางหรู
“...” หากเป็นไปได้ ไม่อยากพบหน้าชายใจร้ายคนนี้ เขาไม่เคยอ่อนโยนกับนางสักนิด กลับดุดันนัก เรือนร่างของนางคงเต็มไปด้วยร่องรอยของเขากระมัง ช่างน่าละอายเหลือเกิน นางกลายเป็นสตรีไร้พรหมจรรย์ก่อนที่จะเข้าพิธีอภิเษกเสียอีก
“ดูแลนางให้ดี อย่าให้มีผู้ใดพูดไม่น่าฟังเด็ดขาด หากเรื่องมาถึงหูเปิ่นหวาง รับรองว่าหัวพวกเจ้า...” แววตาของเขานั้นดุปีศาจร้ายกลืนเมือง ยามที่มองไปยังเหล่านางกำนัลทั้งหลาย
พวกนางอายุก็มากแล้วยังหวาดผวาต่อคำพูดของอันอ๋อง เช่นนั้นแล้ว นางกำนัลอาวุโสจึงกล่าวน้ำเสียงนอบน้อมถ่อมตนตอบกลับผู้เป็นนายว่า “อันอ๋องเพคะ พวกบ่าวล้วนแก่มากแล้ว ย่อมรู้อะไรควรไม่ควร ไม่พูดจาส่งเดชอย่างแน่นอนเพคะ ขอให้อันอ๋องโปรดวางพระทัย ไม่ว่าจวิ้นจู่ต้องการสิ่งใด หม่อมฉันมิขัดขวาง พร้อมยินดีส่งเสริมเพคะ”