ตอนที่ 9 ผู้ชายข้างห้อง

3213 Words
ตอนที่ 9 ผู้ชายข้างห้อง เมื่อเช้าแดดยังจ้าอยู่แท้ๆ พอเลิกงานปุ๊บ ฝนก็เทกระหน่ำทันที เธียรธารายืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ดูเหมือนคนในสยามรังสรรค์จะมีแต่คนมีรถส่วนตัวกันหมด ที่ป้ายรถเมล์จึงมีแต่เธอคนเดียว ก่อนออกมาชัชพลเสนอตัวไปส่ง แต่เธอปฏิเสธโดยอ้างว่ามีนัดกับคนรู้จัก อีกฝ่ายก็ไม่ทู่ซี้อะไร เพราะวันนี้เขาจะนอนที่นี่ กระแสฝนเทลงมาหนักจนรองเท้าของเธอเปียก อากาศเย็นลงจนไหล่บางสั่นเล็กน้อย หงุดหงิดที่วันนี้เป็นวันที่เธอแต่งตัวได้ไม่ทะมัดทะแมงเอาเสียเลย หญิงสาวเตะน้ำฝนเล่นระหว่างรอรถเมล์ ยอมให้ละอองฝนสาดซัดตัวเองให้สาแก่ใจ พลางสบถสาบานกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องไม่ลืมพกร่มมาทำงานด้วย ล่วงเลยถึงหกโมงเย็น ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธียรธารากอดตัวเอง ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย นึกอยากเป็นนางเอกซีรีส์ที่มีพระเอกคอยกางร่มให้ตอนฝนตกขึ้นมาบ้าง เพียงแค่คิดละอองฝนก็หยุด เธอเงยหน้ามองฟ้า แขนของใครบางคนจับชายผ้าสีเทากางเหนือศีรษะของเธอ กลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายล้อมรอบ สมองใต้กลุ่มผมยาวเปียกชื้นเกิดลัดวงจรชั่วขณะ เท้าของคนคนนั้นก้าวข้ามมานั่งมาจากด้านหลังแล้วทรุดนั่งข้างตัวเธอ คล้ายกับกำลังโอบเธอจากที่ไกลๆ แต่ก็ให้เกียรติเกินกว่าจะคิดในทางอกุศล เธอหันไปมองผู้หวังดี แขนที่กางออกไปคือส่วนของชายเสื้อสูทที่เขาสวมอยู่ เชิ้ตสีขาวตัวในเปียกน้ำฝนจนแนบลู่ไปกับแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ลมหายใจของเขาหนักแน่นและเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เส้นผมดำสนิทเปียกแนบลู่แก้มขาวซีดของเขา กลีบปากสีอ่อนเหมือนไอดอลเกาหลีปิดสนิท จมูกโด่งยังมีหยาดฝนเกาะอยู่จนเธออยากจะช่วยกำจัดตำหนินั้นให้เขา ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองตรงไปที่ถนน นั่นทำให้เธอยิ่งย่ามใจ อยากมองให้นานขึ้นอีกนิด เป็นครั้งแรกที่ได้มองเขาในระยะแนบชิดขนาดนี้ กรอบแว่นหนาบนใบหน้าซ่อนเร้นสายตาของเธอเอาไว้ เธอกำลังเผลอไผล เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ลืมนึกถึงความเหมาะสมทั้งหมดทั้งมวล แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันหลายครั้ง หรือเป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ในวันนี้ แต่อะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากกว่าที่เธอคิด สวยจัง…เป็นครั้งแรกที่เธอคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรูปงามเหมือนกับชายหนุ่มจากวรรณคดี เหมือนพระลอ ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นในหัว “ถ้าเป็นงานจับมือไอดอล คุณจะต้องจ่ายเงินเกือบพันเพื่อจับมือเพียงแค่แปดวินาที หรือถ้าเป็นงานแฟนมีต คุณอาจจะต้องเสียเงินเป็นหมื่นเพื่อนั่งข้างไอดอลอย่างใกล้ชิดแค่หนึ่งนาที” เสียงนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ ใบหน้าหล่อเหล่าผินมองเธอในระยะประชิด “ถึงผมไม่ได้เป็นไอดอล แต่รู้มูลค่าของหน้าตาตัวเองพอสมควร คุณว่าการที่ผมช่วยคุณในครั้งนี้ แลกกับอะไรดี” เธียรธาราถอยกรูด แต่กลับติดแขนของเขาที่กางเสื้อให้ ใจหนึ่งนึกหวาดระแวงขึ้นมาว่าผู้ชายตรงหน้าอาจเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจก็ได้ “ข้าวสักมื้อได้ไหม ผมหิว” อิรามองหน้าเธอ แววตาคล้ายออดอ้อน สติของหญิงสาวเตลิด กว่าจะกู้กลับมาก็ตอบไปแล้ว “ได้…” เธอแทบกัดลิ้นตัวเอง หญิงสาวหลบตาวูบ รีบเอ่ยแก้ตัว “ขอบคุณค่ะ แต่คิดว่าไหนๆ ก็เปียกแล้ว ไม่ต้องกางเสื้อให้ฉันก็ได้ คิดว่าไม่เหมาะเท่าไร” อิราเงียบ การที่เขาไม่ขยับตัวแทนคำตอบได้หมดแล้ว เธอคิดจะลุกออกจากม้านั่งตัวเดียวกัน เขากลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา “รถเมล์มาพอดี ไปกันเถอะ เราต้องไปลงสุดสายแล้วค่อยนั่งรถวนกลับมา ไม่อย่างนั้นอาจเป็นหวัดทั้งคู่” เธียรธารากำลังคิดว่าตัวเองแสดงซีรีส์สักเรื่องอยู่ เธอนั่งติดกระจกรถ ลมหายใจเป่ารถกระจกหน้าต่างจนเกิดเป็นกลุ่มไอน้ำสีขาว ข้างกายคือชายหนุ่มผู้หวังดีเพื่อนร่วมทีมของเธอ ในเงาสะท้อนของกระจก อิรานั่งตัวตรง ไม่ได้วอกแวก ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่าม แถมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่ก็บางเสียจนเห็นไปไหนต่อไหนแล้ว เธอคิดว่าสาวประเภทสองที่นั่งเบาะอีกฝั่งต้องมองสำรวจเขาเป็นร้อยพันครั้งแน่ๆ ผู้ชายตอนเปียกฝนเซ็กซี่ที่สุดแล้ว เธอแอบคิดอกุศล สูทสีเทาเข้มอยู่บนตัวของเธียรธารา อิราให้เหตุผลว่าเธอเป็นผู้หญิง หากให้คนอื่นมองผ่านเสื้อตัวบางที่เปียกแนบเนื้อคงไม่เหมาะนัก ไออุ่นจากคนร่างสูงยังไม่หายไปไหน วูบหนึ่งเธอจึงนึกจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอกซีรีส์อีกครั้ง ผู้หญิงโป๊อาจดูไม่เหมาะสมในสายตาของคนยุคนี้ แต่ผู้ชายโป๊คือมิ่งขวัญของประเทศชาติ ทุกคนเห็นดีเห็นงาม ไม่มีใครมองว่าอุบาทว์ อีกทั้งยังส่งเสริม หนึ่งในนั้นก็เธียรธารานี่แหละ “เสื้อคุณค่ะ” หน้าลิฟต์ เธอคืนเสื้อให้เขา อิรารับเสื้อมาพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “ผมอาบน้ำก่อน อีกสี่สิบนาทีจะโทรหานะครับ” “คุณไม่มีเบอร์ฉันนะคะ” กว่าจะรู้ตัวว่าพูดเหมือนเสนอเบอร์โทรให้เขาก็สายเกินไป เธอยกมือปิดปาก ดวงตากลมโตเลิ่กลั่ก พูดอุบอิบในลำคอ “ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้เบอร์โทรกับคุณนะคะ” ดวงตาคมเหลือบมองประตูห้องของหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกล “ผมหมายถึงเบอร์ห้องสองศูนย์ศูนย์สาม สายภายในน่ะครับ” เขายังคงรอยยิ้มบริสุทธิ์ เหมือนได้ยินเสียงหน้าใครแตก แต่หน้าเธอหนากว่าที่เขาคิด กลีบปากบางยิ้มกลบเกลื่อน “ค่ะ ฉันขอตัวก่อน” เธียรธาราวิ่งจู๊ดเข้าห้อง ขณะที่อิราบังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นแววตาอ่อนโยนระคนขบขัน ชายหนุ่มอมยิ้ม เดินไปที่ห้องของตัวเอง เธียรธาราใช้เวลาสิบนาทีในการอาบน้ำสระผม อีกสามสิบนามีคือค้นหาเสื้อผ้าที่พอใช้ได้ ทว่าที่มีอยู่คือเสื้อผ้าที่ใส่อยู่บ้านเสียส่วนใหญ่ ชุดทางการสำหรับออกไปไหนมาไหนแทบไม่มีเลย สุดท้ายหญิงสาวจึงกลั้นใจใส่กางเกงขายาวสีฟ้ากับเสื้อยืดทีมฟุตบอลสีแดงแล้วสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวของทีมเดียวกัน เพราะมัวแต่หาเสื้อผ้าที่พอดูได้ ผมยาวของเธอจึงเพียงแค่หมาดน้ำ ไดร์เป่าผมก็ยังไม่ได้ซื้อ พัดลมก็ไม่มี เธอจึงหวีลวกๆ แล้วปล่อยผมให้แห้งเอง แต่พออิรามาเคาะประตูห้อง คำพูดแรกที่เขาพูดก็คือ “คุณรอเดี๋ยว ผมจะไปเอาไดร์มาให้” แล้วก็จบด้วยการที่อิรานั่งมองเธอเป่าผมให้แห้งในห้องรับแขก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขึ้นเสียงใส่เธอสักนิด แต่แววตาที่มองเหมือนเธอเป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลทำให้เธียรธาราไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีนั้น ก่อนออกไปหาอะไรกิน เขายังบอกอีกว่า “ผมเป็นผู้ชาย ไม่ต้องใช้ของพวกนี้ คุณใช้ไดร์เป่าผมไปก่อน ไว้ซื้อมาแล้วค่อยเอามาคืน” “แล้วคนที่ห้องคุณจะ…อ้อ คุณอยู่คนเดียว” จบบทสนทนาเรื่องไดร์เป่าผมเพียงเท่านี้ “คุณอยากกินอะไรคะ” เธอถามระหว่างลงลิฟต์ นึกตลกที่เมื่อเช้ายังทำกับเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้ดันต้องมากินข้าวด้วยกันเสียนี่ “ถัดไปสองบล็อกเป็นห้าง หาอะไรกินในฟูดคอร์ทก็ได้ครับ” เธอเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะกินอะไรง่ายๆ แต่เมื่อนึกถึงอาหารมื้อกลางวันที่เขากินแล้วก็เข้าใจ หญิงสาวจึงแกล้งทำเป็นกระแอมแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันทำงาน แถมยังตากฝนจนเหมือนจะไม่สบาย เอาเป็นว่าเราไปกินบุฟเฟต์หมูกระทะกันเถอะ อากาศแบบนี้ต้องกินอะไรร้อนๆ ฉันเลี้ยงเอง” เขาไม่ปฏิเสธ เดินตามเธอโดยไม่ปริปากอะไร ฝนหยุดตกแล้ว แต่พื้นบนทางเท้ายังมีน้ำขังเป็นจุด เธียรธาราสวมรองเท้าแตะจึงรีบเดินอย่างรวดเร็วเพราะกลัวฝนตก แต่อิราที่ขายาวกว่ากลับเดินรั้งท้าย หญิงสาวหันมองเขาเป็นระยะ เมื่อเห็นว่าเขายังเดินตามเงียบๆ เธอจึงไม่คิดทำลายความเงียบนี้ หันไปสนใจมองแสงสีในเมืองกรุง ฮัมเพลงในลำคอ การกระทำทุกอย่างของเธอตกอยู่ในสายตาของคนตัวสูงตลอดเวลา เขามองเธอจากด้านหลัง มองเท่าไรก็ไม่รู้เบื่อ รู้สึกอยากมองแบบนี้ตลอดเวลา บนห้างสรรพสินค้ามีแต่ร้านปิ้งย่างกับร้านชาบู เธียรธาราเลือกชาบู เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งอาบน้ำ คงไม่ดีนักหากต้องสระผมอีกรอบก่อนนอน อิราเองก็ไม่เกี่ยงงอน เธอเลือดร้านไหนเขาก็เดินตามเข้าไป อ้างว่าเธอเป็นคนเลี้ยง เขาแค่มีหน้าที่กินเท่านั้น เป็นการกินชาบูที่เกร็งอย่างยิ่ง พฤติกรรมการกินของอิราเรียบร้อยเหมือนคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ระหว่างที่เคี้ยวอยู่เขาไม่มีทีท่าว่าจะพูดแม้สักคำ กินแต่ละคำไม่เคยมีเศษอาหารหรือน้ำซุปหกเลอะเทอะ อีกทั้งยังกินเงียบมาก รวดเร็ว ว่องไว สะอาดหมดจด และแล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงอาการเกร็งของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้น ประสานสายตากับเธียรธารา “ดูเหมือนผมจะทำอะไรผิด” ดวงตาใสซื่อคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกผิด “ปะ…เปล่าค่ะ แต่ตกใจที่คุณเกินเรียบร้อยกว่าฉันอีก คุณกินเงียบมากๆ” เธอโกหกไม่เก่ง แก้เก้อด้วยการพูดตรงๆ เลยดีที่สุด อิราอมยิ้ม “คงเป็นเพราะผมหิวเกินไป กินเสียงดังเดี๋ยวคุณจะตกใจ” เขาเช็ดปาก “ที่จริงเวลาผมกิน ผมชอบฟังเสียงคนอื่นมากกว่า” เธียรธารายกมือปิดปาก ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อย “ฉันกินเสียงดังเหรอคะ” เธอร้อนตัว “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น หมายถึงว่าชอบฟังคนอื่นพูดมากกว่า เพราะผมพูดไม่เก่ง” เขาแก้ให้ “ฉันไม่รู้จะพูดอะไร ปกติกินข้าวคนเดียวตลอดค่ะ” เธียรธาราหลุบตาลง จึงไม่ได้เห็นประกายตาของเขา “ผมก็กินข้าวคนเดียวประจำ” “คุณไม่ได้มีครอบครัวเหรอคะ” อาจละลาบละล้วง แต่ก็ดันไว้ดีกว่าแก้ เธอไม่อยากเป็นขี้ปากคนอื่นว่ายุ่งกับคนมีเจ้าของ ถึงแม้จะยังไม่รู้อนาคตก็เถอะ แหม…บังเอิญตั้งหลายรอบ บางทีติ่งซีรีส์แบบเธอก็อยากมโนบ้างนะ เขาตอบเธอเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ “พ่อแม่พี่น้องของผมอยู่บ้าน แต่บ้านผมค่อนข้างสันโดษและเข้านอนเป็นเวลา บางทีงานบริษัทก็เลิกดึก คุณน่าจะเข้าใจ การกลับบ้านดึกทำให้รบกวนเวลานอนพวกเขา อีกอย่างผมเป็นชายโสด ถ้าจะขึ้นคานก็ขออยู่คนเดียวดีกว่าให้คนที่บ้านถามทุกวันว่าเมื่อไรจะแต่งงาน จริงไหมครับ” บอกว่าตัวเองโสด เขาคงไม่ได้กำลังทอดสะพานให้เธอ เธียรธาราเงยหน้าขึ้น สบกับสายตาอันบริสุทธิ์ใจของเขาก็แอบรู้สึกผิด เขาแค่พูดความจริง “ที่จริงนอนที่บริษัทก็ได้นี่คะ น่าจะสะดวกกว่าเยอะ” “เหตุผลคงเหมือนกับคุณละมั้ง อยู่คนเดียวน่าจะมีความสุขกว่าการอยู่ในที่วุ่นวาย” เขายิ้ม เธออยากถามอีกนิดว่าเขาไม่อยากมีคนอยู่ข้างๆ เหรอ แต่ก็นั่นแหละ เป็นการละลาบละล้วงเกินไปแล้ว “แล้วคุณอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ” กลายเป็นอิราที่ถามคำถามนี้กับเธอ เธียรธารานิ่งอึ้ง รู้สึกเป็นครั้งแรกว่าอาการพูดไม่ออกเป็นยังไง เธอหลุบตาลงต่ำ คีบเนื้อหมูใส่ปากเพื่อเลี่ยง “เมื่อก่อนผมคงเหงาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่น่าเหงาแล้วล่ะ” อิราพูดเสียงเรียบ “มีคนอยู่ห้องข้างๆ ผมจะเหงาได้ยังไง จริงไหมครับ” ใบหน้าของเธียรธาราเห่อร้อน รู้สึกเหมือนโดนรุกหนัก แต่พยายามบอกตัวเองว่าเธอไม่ใช่นางเอกซีรีส์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้ชายคนนี้จะมีความรู้สึกแบบพระเอกนางเอกเขามีกัน ดังนั้นแล้วหลังจากกลืนหมูชิ้นโตลงท้อง เธียรธาราก็เงยหน้าขึ้น แข็งใจยิ้มตอบเขา “ฉันไม่เหงาหรอกค่ะ เพื่อนร่วมงานหล่อๆ ตั้งหลายคน ถ้าเพื่อนฉันรู้เข้าคงอิจฉาฉันมากแน่ๆ” “นั่นสิ พวกเธอต้องอิจฉาคุณแน่ๆ” เขายิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววขบขัน เป็นครั้งแรกที่อิราฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย ออร่าวิ้งที่แผ่รังสีผ่านไอน้ำในหม้อชาบูทำให้เธอตาลาย หัวใจดวงเล็กในอกข้างซ้ายเต้นตุบตับ แค่สบตากับเขาเพียงเล็กน้อยมือไม้ก็อ่อนจนจับตะเกียบไม่มั่นคงแล้ว แต่จะทำยังไง ในเมื่อจะหายตัวไปตอนนี้ก็ทำไม่ได้ “ฉันอิ่มแล้ว คุณอิ่มหรือยังคะ” เป็นคืนแรกที่เธียรธารานอนไม่หลับ หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมา ใบหน้าหล่อออร่าของอิรายังคงหลอกหลอนยามหลับตาเสียจนกระสับกระส่าย หากย้อนเวลากลับไปได้เธออยากจะเขย่าคอเขาสักทีไม่ให้แจกยิ้มเรี่ยราดแบบนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะเคยมีผู้ชายมายุ่งเกี่ยวค่อนข้างมาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตื่นเต้นเหมือนเด็กมัธยมปลายแบบนี้เลยสักนิด เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก เธียรธาราสะดุ้ง ใจเต้นระทึก เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับผนังห้องข้างๆ ดังขึ้นอีกแล้ว เธอไม่อยากฟุ้งซ่าน แต่ก็อดคิดบาปไม่ได้ หรืออิราจะพาสาวมาดึ๊บๆ กันจริงๆ แค่คิดเธอก็หน้าแดงแล้ว ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก เสียงนั้นดังขึ้นอีกแล้ว คนบ้า…จะดึ๊บกันทำไมไม่ขยับเตียงหน่อย ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก อีกแล้ว ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก เสียงนี้ดังเป็นชุด เหมือนเดิมวนซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเป็นการดึ๊บจริงก็ถือว่าดึ๊บได้จังหวะเป๊ะมากๆ ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก แต่เอ๊ะ คนอะไรจะดึ๊บกันเป็นหุ่นยนต์แบบนี้ ฟังไปฟังมาก็เหมือนรหัส เธียรธารายืดตัวแนบหูกับผนัง ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก อาจจะเป็นรหัส…มอร์สเหรอ? ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก เธอเคาะกลับ ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก…ตึก […_. (UNDERSTOOD) ตึก…ตึก…ตึก…ตึก ตึก ตึก […_] เธอนิ่งไป เคาะหนึ่งครั้งแทนหนึ่งจุด (.) สามครั้งติด แทนหนึ่งขีด (_) เว้นช่วงหนึ่ง แทนการจบคำ (/) รหัสมอร์ส[1] ตัวอักษรภาษาอังกฤษเหรอ? เหมือนจะเป็นตัววี [V] เธียรธาราหลับตา นึกถึงรหัสที่เรียนมา แล้วเคาะกลับไป [../ ._ _ _] (I AM) เสียงนั้นเงียบไปสักพัก ก่อนจะมาเป็นชุด [_... ._ ._.. _._. _ _ _ _. _._ _] (BALCONY) ระเบียง? เพื่อคลายความสงสัยนั้น เธียรธาราลงจากเตียงแล้วรีบเดินไปที่ระเบียง เขายืนอยู่ตรงนั้น ร่างสูงชะลูดในชุดนอนลายทางสีอ่อนเงยหน้ามองกลุ่มเมฆทะมึนบนฟ้า ท่าทางสุขสบายราวกับว่าไฟวิบวับด้านล่างเป็นอีกโลกหนึ่งที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยว หญิงสาวใจเต้นแรง เป็นความบังเอิญหรือเขาจงใจแกล้งเธอกันแน่ ทว่าก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้าห้อง ดวงตาคมคู่นั้นก็มองมา เขาชูมือซ้ายขึ้น พลิกหลังมือให้เธอดูพลางอมยิ้ม “มือผมเกือบแตก นึกว่าคุณไม่เข้าใจ” “ฉันนึกว่าเพื่อนคุณมาเล่นผีผ้าห่มกับสาวอีกแล้ว” เขาหัวเราะ “ผมดีใจนะ” เธียรธาราเอียงคอ “เรื่องอะไรคะ” “เมื่อก่อนผมคิดว่าไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ผมคิด พวกเขาพยายามมองว่าผมเป็นคนประหลาด เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ เป็นคนที่ควรค่าแก่การให้เกียรติและเทิดทูน มองผมเหมือนเครื่องจักรตัวหนึ่งที่สร้างผลงานล้ำเลิศตลอดเวลา แต่วันนี้ผมดีใจ” เธอรู้สึกเบลอ แอบคิดว่าอิราอาจจะเกิดอาการแพ้อาหารจนเพ้อ เธอจึงยืนเงียบ ปล่อยให้ลมพัดใบหน้า ฟังเสียงนุ่มทุ้มนั้นเปล่งออกมาแต่ละคำ เหมือนฟังนิทานจากคนธรรพ์ในวรรณคดี แต่กลายเป็นว่าเขาเงียบไป มองเธอด้วยสายตาที่ชวนหวั่นไหว กระแสลมพัดเส้นผมของเขาจนยุ่งเหยิง ทำให้รู้สึกว่าตัวเขาอยู่ห่างไกลจากกรอบที่คนอื่นมองเห็นมากแล้ว “ดีใจที่คุณเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อออกมา” อกซ้ายของเธียรธาราเต้นอย่างหนักหน่วง หากว่ามีสปอตไลต์ส่องหน้าอีกฝ่ายคนเห็นว่าเธอหน้าแดงแน่ๆ แต่ยังดีที่มันมืดสลัว เธียรธาราจึงรับมือดับความเขินอายพิกลนี้ด้วยความหน้าหนา เธอหัวเราะเสียงแหบแห้ง “สงสัยฉันจะเป็นคนแปลกๆ” “นั่นสิ คนปกติที่ไหนจะเข้าใจผม” ทำไมเธอรู้สึกเหมือนโดนเขาด่านะ แต่คงไม่ใช่ ไม่กี่วินาทีก่อนเขายังชมเธออยู่เลย “เมื่อกี้…รหัสมอร์สเหรอ?” “อืม นึกว่าคุณไม่รู้จัก ผมเคาะตั้งหลายรอบ” ไม่รู้จักก็โดนอาจารย์แห่มาเคาะหัวคนละทีแล้ว “อาจารย์คงสาปส่งฉันแน่ๆ ถ้าจำไม่ได้” นึกแล้วก็ห่อเหี่ยว เธอเกือบลืมมันไปแล้วเหมือนกันนะ “ว่าแต่คุณเรียกมาที่ระเบียงทำไมเหรอ” “เปล่าหรอก ผมแค่ทดสอบอะไรบางอย่าง” เธอพยักหน้า ไม่พยายามทำความเข้าใจความคิดของอัจฉริยะ เธอเข้าใจนี่สิแปลก “ตอนนี้สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว” เธียรธาราแอบหาว แต่เขาดันมองอยู่ก่อนแล้ว “ผมไม่กวนคุณแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ ฝันดี” “ฝันดีค่ะ” เธอรับคำงงๆ เดินกลับเข้าไปในห้อง กระแสลมพัดวูบ หูเหมือนแว่วยินประโยคหนึ่ง “นอนเถิดหนาคนดีของพี่” [1] Morse code นั้นคิดค้นขึ้นโดยซามูเอล ฟินลีย์ บรีส มอร์ส (Samuel Finley Breese Morse) นักวาดภาพชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ. 2380 เป็นการส่งข้อความด้วยสัญญาณสั้นยาวโดยใช้สัญลักษณ์จุดและขีด แทนตัวอักษรต่างๆที่กำหนดไว้เป็นสากล
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD