เรือนไผ่หยก
เชามี่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น นางจิ้งจอกเนี่ยหยวนซูจากเรือนไป๋เหลียนฮวากล้าส่งสาวใช้และบ่าวที่ถูกคัดตัวไปโดยเป็นคำสั่งไท่ฮูหยินกลับเรือนเดิมที่เคยอยู่
ยามนี้นางแต่งออกจากสกุลเนี่ยแล้ว ดังนั้นกฎของจวนจิ่งคือสิ่งที่นางต้องทำตาม
“โง่ เหตุใดถึงไม่ยืนยันที่จะอยู่เป็นหูเป็นตาให้ข้า” เชามี่ตวาดใส่สาวใช้ของตนที่หวังให้เป็นสายลับสืบสิ่งต่าง ๆ
“นายหญิงเชา สตรีผู้นั้นเป็นพวกนางกลางตลาด ปากร้าย เสียงดัง และกักขฬะเหลือเกิน นางบอกว่าหากใครที่อยู่เรือนไป๋เหลียนฮวา นางจะให้อดข้าวเป็นเวลาเจ็ดวัน และทำงานขนมูลกับคอยนำน้ำถ่ายเบาของนางไปรดแปลงผัก แต่หากใครยอมกลับเรือนของตนจะได้กินของดี และยังได้ส่วนแบ่งเป็นเนื้อหมู เนื้อกวางตากแห้งติดมือกลับมาด้วย”
สาวใช้นามว่า อ้ายเหมย มองอนุคนโปรดของจิ่งหลัวคุน นางมาจากสกุลขุนนางเก่า บิดาเป็นถึงอดีตรองเจ้ากรมฝ่ายพิธีการ การมาอยู่ที่นี่ใครก็มองออกว่าหวังใช้เส้นสายของแม่ทัพหนุ่มเป็นใบเบิกทางให้สกุลเชากลับมามีหน้ามีตา และช่วยเหลือในงานราชการให้ไม่ต้องมีสิ่งใดติดขัด
เชามี่ถลึงตาใส่สาวใช้ก่อนโยนพัดในมือใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว
“เจ้าเห็นแก่ของกินเช่นนั้นหรือ ชีวิตที่มีตอนนี้ ไฉนไม่อยากรักษาเอาไว้”
“โถ นายของบ่าว ตั้งแต่ไท่ฮูหยินถือศีล และไม่ยอมกินสิ่งใดนอกจากผลไม้ ทั้งจวนจิ่งก็หิ้วท้องหิวไปตาม ๆ กัน กุญแจคลังอาหารอยู่ในมือนาง เบิกสิ่งใดยากไปหมด บ่าวที่ไปรับใช้ฮูหยินคนใหม่ต้องทนหิวไส้จะขาด สุดท้ายเกือบเป็นลมตาย แต่โชคดีที่ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางตนนั้น หยิบยื่นโอกาสให้กลับมารับใช้นายหญิงเช่นเดิม”
“โง่...สมองฝ่อเหลือเกิน สิ่งที่นังจิ้งจอกทำย่อมเป็นแผนร้าย มีหรือมันจะให้เศษอาหารกับพวกบ่าวไร้หัวนอนปลายเท้า” เชามี่เอ่ยแล้วต้องฉงนฉงาย เมื่ออ้ายเหมยเปิดกล่องไม้ออก นางได้รับอาหารแห้งหลายชนิด เรียกได้ว่ากินอิ่มหลายวัน ทั้งเนื้อปลาตากแห้งโรยงา หมูทุบ เนื้อกวางสวรรค์ ผักดองสามชนิด แล้วยังมีลูกอมช่วยเจริญอาหาร และสิ่งที่แปลกตาอย่างที่สุด คือไข่เยี่ยวม้า
“ของพวกนี้ล้วนมีราคา”
“ใช้แล้วเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็คงราว ๆ สี่ร้อยถึงพันอีแปะ!”
“เจ้าเห็นหรือไม่ บ่าวที่ถูกส่งตัวกลับมีจำนวนกี่คน”
“หากนับไม่ผิด แม่นมฝานไล่กลับจวนต่าง ๆ ก็...สามสิบห้าคนเจ้าค่ะ”
“หญิงแพศยาสกุลเนี่ย มันกล้าใช้เงินถึงสามตำลึงทองเพื่อการนี้เลยหรือ”
และอ้ายเหมยผู้ติดตามเชามี่มาตั้งแต่นางเป็นสาวใช้รุ่นเล็กอายุเพียงหกขวบ ไฉนจะตามไม่ทัน
“ไม่ใช่แค่อาหารนะเจ้าคะ หากใครไม่ยอมกลับเรือนของตน นางให้พ่อบ้านขายออกไปด้วย และยังมอบเงินให้คนละสามตำลึงเงินเป็นขวัญถุง”
“บัดซบ...นางต้องการทำสิ่งใดกันแน่” เชามี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“หากบ่าวคาดการไม่ผิด นางต้องการถือกุญแจทั้งจวนจิ่ง และตอนนี้ได้ข่าวว่านายหญิงใหญ่ได้นำน้ำแกงเก้าชั้นยอดฟ้าไปให้ไท่ฮูหยินดื่มด้วย”
เมื่อสาวใช้เอ่ยจบ เชามี่ก็กวาดของทุกอย่างลงโต๊ะ ก่อนออกคำสั่งคนของตน เตรียมเดินทางไปยังเรือนไท่ฮูหยิน
เนี่ยหยวนซูนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซ่งหยูชุน และไม่ห่างจากนางคือลูกชายคนเล็ก
จิ่งป๋อซึ่งยิ้มเรี่ยราดราวกับตุ๊กตาปั้นหน้ายิ้ม ยามนี้เขามีหน้าที่คอยห้ามศึกระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ บนโต๊ะกลางศาลาแปดเหลี่ยมในสวนหิน
“โอ้ ท่านแม่ ข้าปรุงน้ำแกงนี้ด้วยมือตนเอง ลุกขึ้นมาเคี่ยวด้วยตนเอง รับรองไม่มีส่วนใดบกพร่อง รสชาติอ่อน หากล้ำลึก รับรองว่าทั่วทั้งเมืองหลวงใครก็ยากเลียนแบบ” เนี่ยหยวนซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้น่าฟัง นางไม่ได้แสดงท่าทางหรือกิริยาก้าวร้าวกับแม่สามีสักนิด
ด้วยเหตุนี้หญิงชราที่เพิ่งออกจากห้องส่วนตัว และยอมเปิดคลังวัตถุดิบหลัก และกลับมากินอาหารตามปกติ เหตุใดจะไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล อีกทั้งได้ข่าวว่าฮูหยินใหญ่ผู้นี้ใช้เงินแก้ปัญหาเรื่องที่นางส่งคนไปเรือนไป๋เหลียนฮวา โดยไม่ได้ถามหญิงสาวว่าต้องการคนงานกี่มากน้อย
ดวงตาเรียวเล็กของหญิงวัยกลางคนมองเนี่ยหยวนซู สตรีนางนี้ใบหน้างามหมดจด แต่ไม่รู้เหตุใดถึงได้มีไอแห่งความกระหายแค้นแผ่ซ่านผ่านดวงตากลมโตคู่สวย และก่อนหน้านั้นจิ่งป๋อบอกว่า นางขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือกับจิ่งหลัวคุน ทำให้เขามีแผลหลายแห่งบนใบหน้า และเรื่องที่น่าละอายอย่างที่สุดในคืนเข้าหอ นางร้องโหยหวนราวกับสตรีแพศยาหรือไม่ก็หญิงโสเภณีชั้นต่ำ จนคนได้ยินไปทั้งจวนจิ่ง เรื่องเหลวไหลเช่นนี้เป็นเหตุให้ซ่งหยูชุนแทบกระอักเลือด นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นางถือศีล กินผลไม้และเก็บตัวเงียบ ด้วยไม่อยากพบหน้านางจิ้งจอกเก้าหาง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เพียรอยากยกน้ำแกงมาให้ดื่มโดยอ้างถึงความกตัญญู
“ฮึ ชื่อมันสูงส่งเช่นนั้น ไฉนข้าจะกล้าดื่ม เก้าชั้นยอดฟ้า น้ำแกงเช่นนี้ควรส่งเข้าวังหลังถวายพระพันปีเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด”
นั่นคือการปฏิเสธน้ำแกงตรงหน้า ด้วยนางสิงห์เฒ่าเกรงกลัวว่า ลูกสะใภ้อาจวางยาพิษ!
คิ้วเรียวสวยที่วาดแต่งอย่างงดงามของเนี่ยหยวนซูเลิกขึ้นทั้งสองข้าง และริมฝีปากแดงชาดที่เคลือบสีวามวาวด้วยน้ำมันชนิดพิเศษบิดคว่ำลง กิริยานั้นดูอย่างไรก็คือการแสดงความเย้ยหยัน!
พอนางเห็นว่าซ่งหยูชุนมองกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ หญิงสาวจึงเอ่ยว่า
“ท่านแม่ ลูกสะใภ้เพียงแต่อยากปรนนิบัติท่าน เช้าวันแรกหลังจากเข้าหอกับท่านแม่ทัพร่างกายข้าไม่อำนวยให้เดินเหิน แล้วสองสามวันต่อมา บ่าวและสาวใช้ที่ท่านช่วยจัดแจงส่งไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ของข้า มีจำนวนมากเหลือเกิน กว่าจะคัดเลือกคนที่เหมาะสม แล้วที่เหลือก็ส่งคืนให้พ่อบ้าน ต้องใช้เวลาจนล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ดูเอาเถิด ลูกสะใภ้ก็เหมือนนกหลงทางที่มาอาศัยจวนจิ่งอันยิ่งใหญ่ หลบฝนหลบแดด แต่กว่าจะมีโอกาสทำดีเพื่อท่านแม่ เวลาล่วงผ่านมาจนยามสายวันนี้”
คำพูดเนี่ยหยวนซูทำให้ทั้งแม่และลูกชายอึ้ง ฝ่ายจิ่งป๋อมองหญิงสาวคนนี้ อายุนางไล่เลี่ยเขาแต่ฝีปากไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นการแสดงงิ้วชั้นเยี่ยมได้เลย
“พี่สะใภ้ ท่านช่างเจรจายิ่ง พี่ใหญ่ข้าคงไม่เหงา!”
จิ่งป๋อผู้อยู่ฝ่ายมารดา เขาเป็นผู้ชายหน้าเปื้อนยิ้มเสมอและหน้าตาดี ซึ่งกระเดียดไปทางงามแบบบุรุษล่มเมือง ผิดแต่ไม่ชอบงานด้านบู๊ ส่วนด้านบุ๋นก็ไร้ทักษะ แต่หากให้ร้องรำทำเพลงหรือวาดภาพ เขานับว่าเลื่องชื่อทีเดียว
“โอ้ คุณชายสาม ตัวข้าอย่างที่บอก ต้องพึ่งทุกคนในจวนจิ่งอีกนาน แค่ปรุงน้ำแกงเช่นนี้นับว่าเล็กน้อย เอาละ ท่านแม่ก็ดื่มสิเจ้าคะ ช้าเดี๋ยวเย็นชืด ส่วนคุณชายสามไม่ต้องห่วง ข้าย่อมเตรียมของดีไว้ให้ท่านเช่นกัน”
เนี่ยหยวนซูเอ่ยจบ จึงหันไปกระดิกนิ้วเรียกฝานเหอ จากนั้นถ้วยอาหารบนถาดไม้ที่มีฝาครอบมาวางลงตรงหน้าจิ่งป๋อ
“ข้างในนี้ คือน้ำแกงเช่นกัน ของท่านแม่เป็นแกงใส แต่ของคุณชายสาม คือแกงข้น เรียกว่าน้ำแกงเห็ด กินคู่กับแป้งอบกรอบ สมควรซดตอนร้อน ๆ รับรองว่าอิ่มท้อง ทั้งยังช่วยให้อารมณ์ดี”
เมื่อหญิงสาวเปิดฝาปิดน้ำแกงเห็ดข้นออก กลิ่นที่หอมอ่อน ๆ ก่อนหน้าก็ลอยฟุ้ง ทำให้จิ่งป๋อนิ่งค้าง ส่วนซ่งหยูชุนถึงกับกลืนน้ำลาย เนื่องจากอาหารถ้วยดังกล่าว คือ ซุปครีมเห็ด กินกับขนมปังอบ
“ท่านแม่...หากอยากลองชิม น้ำแกงเห็ดข้นอาจไม่เหมาะกับท่าน ข้าคิดว่าน้ำแกงเก้ายอดชั้นฟ้าซึ่งเป็นน้ำใสดีที่สุดสำหรับผู้สูงวัย เชื่อข้าเถิด ข้าดูแลผู้สูงอายุมาหลายคนแล้ว!”
เนี่ยหยวนซูกล่าวจบก็ใช้สายตากลมโต จับจ้องทั้งแม่สามีและจิ่งป๋อ เป็นการเชิญชวนให้ดื่มด่ำอาหารที่นางตั้งใจปรุงขึ้น เพื่อเลี้ยงส่งบรรดารุ่นพี่ในจวนจิ่ง!