“ฮัวหยางเจ้าคนถ่อย ทำแบบนี้เอาเปรียบข้าชัดๆ”
คุณชายใหญ่สกุลฮัวยิ้มหวาน แม้เขาจะทำตัวเลวทรามกับนางไปหน่อย แต่จูบนี้ช่างหวานนัก เขาสำรวจใบหน้าและเรือนร่างของอู๋จือ พลันเกิดความรู้สึกอยากจะลูบไล้คนตรงหน้าขึ้นมา
‘ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับสตรีใดมาก่อน พวกสาวใช้ในเรือนที่ท่านแม่อยากให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียง คุณหนูตระกูลเล็กที่อยากมาเป็นอนุ หรือแม้แต่คุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลาย แต่กับหัวขโมยมอมแมมผู้นี้ จูบแล้วก็อยากจูบอีก อยากจะก่ายกอด และอยากจะ....’
“ข้าก็แค่จูบ” ท่านหมอหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ
“เจ้าบ้าไปแล้ว! ทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร? ข้าไม่ได้ยินยอมเสียหน่อย หยาบคายที่สุด คอยดูเถิดข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะฟ้องร้องเจ้า” อู๋จือถลึงตาใส่ฮัวหยาง แต่หมอหนุ่มเจ้าเล่ห์ก็ไม่ยี่หระ
“เมื่อครู่เจ้าตกลงแล้วว่าจะช่วยงานข้า”
“ก็ใช่ แต่การจูบมิใช่งานเสียหน่อย มันเป็นการคุกคามข้าต่างหาก”
“จูบเมื่อครู่เป็นส่วนหนึ่งในงานที่เจ้ารับปากนะ ข้าป้อนยาเจ้าอย่างไรเล่า?”
อู๋จือโมโหจนหน้าคล้ำลง นางไม่คิดว่าจูบแรกของตนเองจะมาถูกบุรุษรูปหล่อแต่นิสัยเลวทรามปล้นชิงไปซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
“เจ้านอนรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าอยากดูฤทธิ์ยาที่ข้าปรุงคราวนี้สักหน่อย ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างที่คิดเอาไว้หรือไม่?”
พอฮัวหยางพูดจบ อู๋จือก็เริ่มดิ้นอึกอัก ร่างกายของนางเกิดอาการออกร้อนและคันคะเยอไปทั่ว หญิงสาวดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียง ไม่นานนักผื่นแดงตามร่างกายของนางก็แผ่ขยายลุกลาม
“เจ้าให้ข้ากินยาอันใด? ข้าร้อนไปทั้งตัวแล้ว ร้อนมากด้วย”
“ยาเม็ดที่เจ้ากินทำให้เกิดอาการร้อนและผื่นคันคล้ายคนเป็นไข้ออกหัด รออีกสักนิดให้ลามไปทั่วตัวก่อน ข้าจะให้เจ้ากินยารักษา ข้าอยากจะทดลองดูว่ายาที่ข้าปรุงขึ้นมันได้ผลดีหรือไม่?”
“เจ้าหมอบ้า! จู่ๆ ก็จับข้าทดลองยาอย่างนี้แทนที่จะไปลองใช้รักษากับคนป่วย หากอาการบ้าๆ นี่ของข้าไม่หายเล่า เจ้าจะรับผิดชอบเช่นใด?”
“ได้สิ ข้ารับรองว่าข้ารักษาเจ้าได้แน่ แต่ก่อนที่ข้าจะรักษาคนอื่น ข้าก็ต้องมั่นใจว่ายาข้าดีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็หาอาสาสมัครเพื่อทดลองยามานานแต่ก็หาไม่ได้สักที กระทั่งมีเจ้าโผล่เข้ามานี่ล่ะ”
อู๋จือได้ยินก็ชะงัก แค่นางแอบเข้ามาตามหาจางเจิ้งจีก็ต้องกลายเป็นคนลองยาของคุณชายใหญ่ฮัวไปเสียแล้ว
“ฮัวหยาง เจ้ามันไม่ใช่หมอ เจ้าเป็นมารต่างหาก”
“เจ้าเพิ่งรู้เหรอ? ช่างน่าสงสารเสียจริง รอสักหน่อยเถิด อดทนคันไปสักสองเค่อ เดี๋ยวข้าจะเอายาแก้ให้เจ้า”
“ข้าขอดูรอยที่แขนกับขาเจ้าหน่อยนะ”
“ไม่ได้ เจ้าเป็นบุรุษจะมาดูแขนดูขาข้าแบบนี้ไม่ได้” นางพยายามดิ้นหนี
ฮัวหยางดึงแขนของนางเอาไว้ อู๋จือชะงัก นางคิดว่าตนเองเป็นคนมีพละกำลังมากที่สุดในหน่วย หากนางดิ้นเช่นนี้ มือปราบคนอื่นไม่อาจจะรั้งนางเอาไว้ได้ แต่แรงของคุณชายใหญ่ฮัวมากกว่านางเสียอีก เขาใช้มือเดียวดึงนางและอีกมือถลกแขนเสื้อของนางขึ้นดูรอยผื่น จากนั้นก็ถลกขากางเกงของนาง ขึ้นดู
“เป็นอย่างที่คาด ผื่นพวกนี้กระจายตัวเร็วมาก เจ้าเป็นคนร่างกายแข็งแรงได้รับยานี้เข้าไปก็ยังลามเร็ว หากเป็นคนอ่อนแอล่ะก็ คงจะตายในเวลาเพียงสองชั่วยาม”
“เจ้าหมอบ้า! ไหนว่ายาเจ้าไม่ทำให้คนถึงตายอย่างไรเล่า?”
ฮัวหยางยิ้มเย็น “ข้าหมายถึงว่าเจ้าไม่มีทางตายในมือข้าต่างหาก”
อู๋จือทั้งร้อนทั้งคัน เหงื่อของนางเริ่มไหลออกมา ผื่นแดงลามไปทั่วร่างกาย “ฮือๆ ข้าคันไปหมดทั้งตัวแล้ว เจ้าหายาแก้คันให้ข้าทีสิ ร้อนด้วย ร้อนมากๆ เจ้าหมอบ้า เอายามารักษาข้าเดี๋ยวนี้”
อู๋จือมองเห็นฮัวหยางเดินไปหยิบตลับหกเหลี่ยมสลักลายสวยงามออกมาเปิดหยิบยาอีกเม็ดขึ้นมา นางก็ผวารีบยื่นมือออกไปแบไว้รอ
“ส่งมันมา เดี๋ยวข้าจะกินเอง เจ้าไม่ต้องป้อนข้าแล้ว”
ฮัวหยางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นยาเม็ดนั้นให้มือปราบหญิง อู๋จือที่ถูกมัดข้อมืออยู่ ยื่นมือสองข้างไปประคองเม็ดยาแล้วโยนใส่ปาก รออยู่ครึ่งเค่อร่างกายของนางก็ค่อยๆ คลายความร้อนลง สีหน้าของอู๋จือเปลี่ยนไป
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“มันเย็น....เย็นมาก เย็นจนตอนนี้ข้ารู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว เจ้าหมอบ้า ข้าขอผ้าห่มสักผืนได้หรือไม่?”
“ได้สิ อาการเย็นภายในร่างของเจ้าน่าจะเกิดขึ้นอีกสักเค่อ จากนั้นผื่นแดงทั่วตัวของเจ้าก็จะค่อยๆ ลดลงจนหมดไป” ฮัวหยางพูดพลางหันไปมองดูผ้าห่มที่เขาวางไว้บนเก้าอี้ยาวใกล้ปลายเตียง
ปากของอู๋จือสั่นเล็กน้อย อากาศยามดึกก็เย็นอยู่แล้ว คืนนี้นางสวมเพียงเสื้อผ้าที่ใส่ในตอนกลางวันซึ่งไม่หนาพอจะบรรเทาความหนาวเย็น
“แต่ก่อนจะห่มผ้าให้เจ้า ข้าขอดูแขนขาเจ้าหน่อย” เขาดึงตัวนางมาเปิดดูแขนและขาอีกครั้ง “ผื่นค่อยๆ ลดแล้ว ถ้าข้าคาดไว้ไม่ผิดอีกครึ่งชั่วยามอาการร้อนและผื่นคันก็จะหายไปหมด”
เมื่อฮัวหยางคลี่ผ้าห่มนวมคลุมร่างกายให้ อู๋จือก็คลายความหนาวไปได้บ้างแต่ก็ยังปากคอสั่น
“ท่าทางเจ้าจะหนาวกว่าที่ข้าคาดเอาไว้”
“ข้าหนาว ข้าหนาวมาก หมออู๋ ท่านไปหาผ้าห่มมาให้ข้าอีกสักผืนเถอะ”
“ในห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว เอาเป็นว่าข้าช่วยเจ้าเพิ่มความอบอุ่นก็แล้วกัน” หมอหนุ่มนั่งลงข้างๆ แล้วโถมตัวเข้ามากอดร่างที่อยู่ในผ้าห่มนวมเอาไว้
“เจ้าคนถ่อย ถอยไป! ข้าอยากได้ผ้าห่ม ไม่ได้อยากได้เจ้า”
“ในยามนี้ ตัวข้านี่ล่ะที่อุ่นที่สุดสำหรับเจ้า”
แม้อู๋จืออยากจะเถียงใจแทบขาดแต่นั่นก็เป็นความจริง ร่างกายของฮัวหยางที่หนาและล่ำ ทำให้นางอุ่นจริงๆ มือปราบหญิงที่หนาวจนตัวสั่นจำยอมให้ฮัวหยางกอดตนเอาไว้ ซ้ำอู๋จือยังเผลอขยับเข้าซุกหาไออุ่นจากร่างของคนผู้นั้นอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าร่างของสตรีในผ้าห่มหยุดดิ้นรน ฮัวหยางก็ยิ้มบางๆ “เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีแล้ว ปล่อยข้า ข้าอุ่นจนร้อนแล้ว”
ฮัวหยางคลายอ้อมกอดแล้วเปิดผ้าห่มดูที่แขนและขาของอู๋จือ พอเห็นว่าผื่นแดงหนาเป็นปื้นหายจนหมดก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ และรอยยิ้มนั้นก็สะกดให้อู๋จือตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
“ยาของข้าได้ผลแล้ว”
ใบหน้าของฮัวหยางเหมือนจะยื่นเข้ามาจูบนางอีกคราหนึ่ง อู๋จือเห็นเช่นนั้นก็ร้องโวยวายดิ้นหนีและพยายามจะใช้ขาและมือดันร่างของคนรูปงามให้ถอยห่างออกจากตนเอง
“ถอยไป๊! ถอยไปนะ!”
พลันต้นแขนของนางก็ถูกบีบและเขย่าอย่างแรง
“พี่จือ! ตื่นเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ให้ข้ามาปลุก”
อู๋จือลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตาเหลอหลา มองน้องสาวที่นั่งทำหน้างวยงงอยู่ตงหน้า นางยกมือตบอกตนเองเบาๆ สองสามครั้ง
“ท่านพี่กำลังฝันอันใดหรือ? เห็นร้องด่าเสียงดังลั่น”
“เอ่อ....ข้า...ข้าฝันร้ายน่ะ”
“เมื่อวานท่านก็ฝันแบบนี้นะเจ้าคะ ฝันติดๆ กันสองวันแล้ว ไปไหว้เจ้าก็ไปแล้ว เหตุใดจึงยังฝันร้ายอยู่อีก?”
อู๋จือหน้าเสีย เรื่องที่นางฝันเห็นล้วนน่ากลัวทุกคืน ก่อนหน้านี้นางยิ่งฝันว่าตนเองกับคุณชายฮัวสุดถ่อยผู้นั้นเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน นางถูกฮัวหยางอุ้มพาเข้าไปในห้องหอ ฮัวหยางถอดเสื้อผ้าของตนเองออกแล้วหันมายิ้มให้กับนางด้วยใบหน้าหื่นกระหาย ซ้ำยังพูดจากสองแง่สองง่ามกับนางอีกหลายประโยค ฮัวหยางกอดจูบและถูกล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อลูบไล้หน้าอกของนาง ตอนนั้นเองที่นางตะโกนด่าเขาออกมา และก็เป็นอู๋เสี่ยวถงที่ปลุกนางให้ตื่น
...นับวันความฝันของนางก็ยิ่งมีแต่เรื่องแนบชิดร่างกายกับอีกฝ่าย...
“อาจจะเป็นเพราะข้ารีบไหว้รีบกลับ เดี๋ยววันนี้จะลองไปอีกที ตั้งใจอธิษฐานเพื่อท่านเทพจะเมตตา” อู๋จือนึกแช่งชักหักกระดูกฮัวหยางในใจ เป็นเพราะคนผู้นั้นแท้ๆ ทำให้นางไม่ได้ตั้งใจไหว้เจ้ามากพอ
*******************