ตอนที่ 10

1630 Words
ท้องฟ้าของกรุงเทพในยามที่ยังไม่ถึงรุ่งสว่างเต็มที่ ในห้องพักที่ว่างเพ็ญผ่องจัดการให้หลานชายทั้งสอง เตชิตกลับลุกขึ้นยืนมองดวงดาวผ่านทางหน้าต่าง ดาวประจำเมืองกำลังทอแสงประกายชัดเจน นอกจากนั้นหลากดวงดาวบนผืนฟ้ากำมะหยี่ กับความขาวพร่างบนเนื้อที่ของฟ้าที่สว่างไสว แต่บางช่วงก็หรุบหรู่ดูมืดมิด ทอดสายตาฝันไปไกลทีเดียว พร้อมกับบอกตัวเองว่า เมื่อไหร่จะสว่างเสียที จะได้พบเจอหน้าเพื่อนฝูง ที่ไม่ได้เจอหลายวันทีเดียว เตลานผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเตชิตผู้เป็นน้องชาย พร้อมกันนั้นแต่งกายรีบนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปมหาวิทยาลัย ส่วนน้องชายตัวดีของเขากลับขอหยุดเรียนดื้อๆ ให้เหตุผลว่า “แต๊งค์ไม่ไหวแล้วครับพี่เตน เพลีย ง่วงจะแย่ พรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่า”เตชิตนั้นเห็นว่ามหาวิทยาลัยอยู่ใกล้แค่นี้ จึงไม่ได้หยุดตามน้องชาย เดือนชมพูเลยได้มาเจอหน้าพี่ชายคนโตอีกครั้งในมหาวิทยาลัย เจ็ดโมงครึ่งก็ถือว่าไม่สายนักหรอก ไปถึงหมาวิทยาลัยก็ทันพบปะเพื่อนฝูงคณะเดียวกันที่กำลังทยอยมา น้องสาวของเตชิตเงยหน้าสบมองเห็นสายตาที่เหยียดตรงของหญิงสาวใบหน้าขาวจัดค่อนไปทางหวานแต่ติดจะบึ้งและเย่อหยิ่งประสาลูกผู้ดีเงิน ที่ทราบดีว่าเธอเป็นน้องสาวของพี่เตชิต นิสิตหนุ่มในมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมา ที่เดือนชมพูพอจะทราบว่าเจอหน้าทั้งคู่แทบจะชวนทะเลาะ ไม่ว่าพี่ชายของเธอหรือฝ่ายสองสาวพี่น้องสกุลเดียวกัน พี่ชายของเธอชอบหยิกเย้าและกัดจิกแสบด้วยคำพูดพอสมควร เตชิตกับเตลานไม่ชอบคำพูดที่มองคนอย่างเหยียดหยามและดูถูก ยิ่งเขาเป็นลูกชาวนาหล่อนเองก็เหมือนกัน ผิดหรือไง แล้วไม่ใช่คนหรือไง ทุกวันนี้คนทั้งประเทศได้อาศัยชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงปากท้องให้รอดตายต่างหาก ขาดชาวนาวันใดจะรู้สึก ฮึ เลือดรักชนบทของชมพู่ไม่น้อยหน้าพี่ชายทั้งสองเหมือนกัน มากล่าวหาว่าหล่อนบ้านนอก ทำนาเลี้ยงควาย เหม็นกลิ่นโคลนสาบคลาย ถ้างั้นก็ย้ายไปเรียนอยู่ที่เมืองนอกเลยสิ จะได้ไม่ต้องพบเจอคนกลิ่นโคลนสาบควาย แววตาและปากยี้บอกถึงดวงตาที่เย้ยหยันริมฝีปากบิดเบ้ใส่เดือนชมพูสองสาวตระกูลดังอย่างรพิปรีชา ระหว่างรังหงส์กับประภารัศศิ ซวยของหล่อนที่ต้องพบเจอสองสาวไฮโซ “ลูกชาวนากระจอก.. ไปทางโน้นดีกว่าเนอะหงส์ ไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้ เหม็นทั้งกลิ่นโคลนสาบควายแล้วก็สาบเสื้อ โอ้ยเหม็น” สีหน้าตีสนิทของประภารัศศิ ทำให้เด็กสาวรุ่นน้องหยุดนิ่งเหมือนพยายามทำใจ ทั้งๆที่ลมหายใจฮึดฮัดอยากจะโต้ปากกลับไปเหมือนกันขณะที่เดือนชมพูทำปากเหวออ้าปากค้างเพราะไม่นึกไม่ถึงว่าริมฝีปากผู้ดีจะเหม็นเน่ายิ่งกว่าแสนแสบ ก็มีเสียงหนึ่งสอดแทรกขึ้นมาทันที เสียงเข้มเต็มไปด้วยแววตายั่วยวนและหยันติดขี้เล่น “อ้ะอ้ะ คุณไฮโซ มาปล่อยคายพิษอะไรแถวนี้ไม่ทราบ เอ๊ตะกี้ได้ยินเหมือนกันนี่ ว่ากลิ่นโคลนสาบควาย ถ้าเหม็นมากก็ไปเดินตรงอื่นสิ ที่ทางออกจะมีเต็ม”เอ่ยแล้วต่อ “ถ้ารวยมากก็ให้พ่อแม่ซื้อเอาไว้แล้ว ติดป้ายด้วยสงวนสิทธิ์ไม่ให้คนอื่นเดิน นอกจากข้าลูกเศรษฐี” สองสาวรพิตปรีชาอ้าปากค้างเมื่อเตชิตหนุ่มปากจัดก้าวมาถึงจัดการกับพวกหล่อนด้วยริมฝีปากตะไกร ใบหน้าของรังหงส์บูดบึ้งทันที “ ลูกคนชั้นต่ำ ชาวนากระจอก อย่ามัวเสวนาเลยรัศศิ ไปกับพี่ดีกว่า” “อ้ะอ้ะ จะรีบไปไหน เถียงสู้ไม่ได้สิ งั้นต่อไปอย่ากินข้าวสวยก็แล้วกัน โน่นไปกินพิซซ่า อย่างน้อยข้าวสารของชาวนาจนๆก็จะได้มีค่าขึ้นบ้าง ที่ไม่ยอมให้คนเกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกงกิน แต่จะบอกให้ก็ได้นะคุณไฮโซทั้งสอง ชาวนาอย่างผมก็หยิ่งเป็นเหมือนกันนะครับ” เขาย้อนเสียงกลับไปเหน็บหนักกว่าเดิมอีก ทำเอาประภารัศสิกับรังหงส์ยืนทนอยู่ไม่ได้จึงต้องรีบคว้าแขนพี่สาวเดินจากไป ไม่วายส่งสายตาอาฆาตกลับ เตชิตก็น้อยหน้าเสียที่ไหนเท้าสะเอวยืนจ้องกลับไปทันที แววล้อเลียนยิ้มขบขัน จนน้องสาวหัวเราะออกมา เขาบ่นใส่น้องสาว “ขำอะไรอีก พี่ช่วยเธอนะเนี่ย.. เกือบเสียทียัยคุณหนูไฮโซ อุตพิษแล้ว มันน่านัก เดี๋ยววันหลังจะหาใบบอนสดๆมายัดปากเลย” พี่ชายเธอแสบไม่ใช่ย่อย แบบนี้ก็ดีรู้เท่าทันคน ยิ้มให้กับพี่ชาย “ขอบคุณค่ะ มาทันเวลาพอดีเลย คุณพี่ทั้งสอง แกเป็นบ้าอะไรไม่รู้ค่ะ จู่ๆ ชมพู่ผ่านมาทางนี้ก็สอดปากหยันใส่”ฟ้องต่อพี่ชาย เขาขบกรามแน่น “พวกนิสัยเสียอย่างนี้ล่ะ ดูถูกคนจน ค่าที่ตัวเองเกิดมาสูง ไม่จนมั่งก็แล้วไป คอยดูเถอะตกต่ำเมื่อไหร่ พ่อจะหัวเราะให้ท้องคัดท้องแข็งงอหายไปเลยยัยตัวแสบ” เตชิตบ่นพึมพำไปตามหลังอย่างเหลืออดเหลือทนกับคู่อริในมหาวิทยาลัยเดียวเป็นรุ่นพี่เขาสองปี เพราะสาวอักษรศาสตร์อย่างรังหงส์ร่ำจะจบแล้ว ส่วนเขาเองนั้นเพิ่งเรียนชั้นปีสอง ปีเดียวกับยัยน้องสาวตัวแสบของหล่อน ที่ชื่อ ประภารัศศิซึ่งเลือกเรียนทางด้านครุศาสตร์ จบไปอยากจะเป็นครูสอนเด็กนักเรียน แต่ครูปากจัดอย่างนี้ เฮอะ อบรมตัวเองให้ดีเสียก่อนเถอะ ว่าที่คุณครู ถึงค่อนอบรมคนอื่น รังหงส์สีหน้าค่อนข้างตึงหน้าเริ่ดเชิ่ดทีเดียวกับน้องสาว ที่ไม่ทั้งประภารัศศิก็รู้สึกไม่ชอบหน้าเตชิตเหมือนกัน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษฝ่ายแรก ทำไมต้องยอกย้อนปากจัดใส่เธอกับพี่สาว ตั้งท่าจะรบกับเธอเหมาเอาว่าเป็นศัตรูแต่ปางไหน เหมือนเธอไปทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้นักหนา เหตุมันเกิดครั้งแรกที่รังหงส์เอ่ยตำหนิเรื่องเกี่ยวกับชนชั้นล่างอย่างชาวนาในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ประภารัศศิคิดอย่างนี้ แน่นอน เธอจำเค้าหน้าที่เขาแสดงออกมากัดฟันกรอดใส่ เพราะเขานั่งอยู่ข้างหลังเธอกับพี่สาว แต่จะเอาเรื่องนี้พูด ไม่แน่ใจว่าพี่สาวจะเห็นด้วยหรือเปล่า เพราะดูแล้วรังหงส์ไม่ค่อยสนใจเรื่องไร้สาระสักเท่าไหร่ “พี่หงส์คะ ท่าทางเขาจริงจังเหลือเกิน แล้วใช้คำพูดกับเราไม่ดีเลย” ห่างพอควรแล้วประภารัศศิจึงเอ่ย กลับเข้าชั้นของคณะด้วยแววตาไม่พอใจนัก กระทั่งกลับไปบ้านพักตอนเย็น อารมณ์ก็ไม่สู้ดีนัก กลุ่มนิสิตของมหาวิทยาลัยจัดโครงการร่วมอาสาพัฒนาชนบทซึ่งจะเดินทางไปสู่แผ่นดินอีสานใต้ มีกำหนดอยู่ที่อำเภอแห่งหนึ่ง หลังจากสอบเทอมนี้เสร็จ ช่วงนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว นิสิตที่ร่วมโครงการ ร้อยกว่าคน เป็นนิสิตทุกคณะที่สมัครใจจะไป พักค้างแรมทำกิจกรรมกับชาวบ้านส่งเสริมด้านสาธารณะสุขแก่หมู่บ้าน ให้คำแนะนำต่างๆ ส่วนกลุ่มนิสิตทันตแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ ก็ให้ความสำคัญในการตรวจรักษาโรคแก่ชาวบ้านถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า คนที่ดีใจมากที่สุดคือสองหนุ่มกับหนึ่งสาว ที่ ถือว่าโครงการนี้เข้าไปให้การส่งเสริมช่วยเหลือพัฒนาชนบทบ้านเกิดเมืองนอนของหล่อนอย่างแท้จริง คราวนี้บ้านของหล่อนคงดังไปไกลล่ะ เดือนชมพูคิดไปไกล “พี่เตนดีใจหรือเปล่าคะ ที่ได้กลับบ้าน” เขาหันมาตอบน้องสาว “ดีใจสิ ดีใจสุดๆเลยที่ได้กลับ..ไม่นึกเลยว่าโครงการของทางมหาวิทยาลัย จะเป็นบ้านเกิดของเรา” “พู่เองก็ดีใจค่ะ ที่ได้ไปอยู่บ้านเราตั้งครึ่งเดือน”นึกแล้วคิดว่าจะต้องโทร.ไปบอกคนทางบ้านให้ช่วยตื่นเต้น อย่างน้อยพ่อแม่คงดีใจล่ะที่โครงการอาสาพัฒนาชนบทของกลุ่มนิสิตจะยกโขยงกันมาที่อำเภอเล็กๆแห่งนี้ทางภาคอีสานตอนใต้ ที่อำเภอ จอมพระ โครงการที่ให้ทำ ก็คือ คลุกคลีกับชาวบ้าน ปลูกป่า เป็นหน่วยแพทย์นิสิตอาสาช่วยเหลือดูอาการเจ็บป่วยของประชาชน พัฒนาส่งเสริมอาหารกลางวันแก่โรงเรียนในชุมชน ต้นเดือนต่อมาเตลานกับน้องสาวไม่นึกเลยว่า ช่วงปิดเทอมยาวของมหาวิทยาลัย เธอและพี่ชายจะได้กลับมาเยือนถิ่นบ้านเกิด.. อย่างไม่เคยนึกฝันว่า อำเภอบ้านเกิดจะเป็นหนึ่งโครงการ ค่ายอาสาพัฒนาชนบทของมหาวิทยาลัย เหล่าพัฒนากรอาสา พากันแสดงความจำนงเป็นรายๆ แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน แนะนำเกี่ยวกับสุขภาพ อนามัย ความสะอาด ให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพ วิชาชีพ ทำขนมหวาน หารายได้เข้าครอบครัว และปลูกป่า สร้างที่พักและศาลา บางคนถนัดทางด้านเกษตรกรปลูกผัก เช่นผักปลอดสารพิษ ส่วนหนึ่งมีหน้าที่ทำอาหาร คอยเลี้ยงดูทุกคนให้อิ่มหนำสำราญ ส่วนที่พักคือเต๊นท์ที่กางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา อดไม่ได้ที่จะพาเพื่อนที่สนิทเข้าไปกราบไหว้พ่อแม่”พ่อกับแม่ครับ นี่เพื่อนของเตนทั้งนั้นเลย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD