ตอนที่ 7

1718 Words
เธอคิดถึงบ้านอีกครั้ง พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้างหนอ ญาติทุกคนล่ะ สบายดีใช่มั๊ย แล้วแต๊งค์ พี่ชายของเธอกลับเข้าบ้านแล้วหรือยัง จะบ่นถึงเธอไหมล่ะ ที่มาเยือนถึงบ้านพัก พี่เตนกลับมาจากสอนเด็กนักเรียนแล้วยัง คำถามสารพัดก้องอยู่ในหูของเธอ แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา แต๊งค์หรือเตชิตที่น้องสาวคิดถึง กลับเข้ามาถึงบ้านได้ครึ่งชั่วโมงหลังจากที่น้องสาวออกจากบ้าน ก็ไม่พบว่าใครอยู่ในห้อง ทราบดีว่าพี่ชายออกไปสอนหนังสือ ส่วนเขาเพิ่งมาถึงแสนเพลีย การเดินทางที่ต้องทนยืนบนรถเมล์เป็นชั่วโมง และต้องต่อรถเมล์มาสามต่อ ถึงล้าแต่ก็เป็นความเคยชิน อยากจะย้ายที่พักไปอยู่ใกล้สถาบัน แต่ก็ยังไม่ว่างสักที คงหาเพื่อนที่เรียนด้วยกันแชร์กันออก เพราะค่าเดินทางไปกลับบวกกับกินอยู่ คงไม่แตกต่างกันสักเท่าใด ครั้นมาถึงห้องลุกขึ้นไปอาบน้ำเสร็จแล้วกลับมาที่เตียงล้มกายนอน ไม่นึกหิวอาหาร เพราะเดินเข้าไปในครัวมีหม้อข้าวถอดปลั๊กข้าวหุงสุกแล้วอาหารมีกับข้าวสำเร็จรูปถุงหนึ่ง บนชั้นวางจานช้อนส้อม มีปลากระป๋องกับบะหมี่สำเร็จรูป ที่เอาไว้ยามดึกนึกหิว ก็จะลุกมาจัดการ บางทีงานรายงานที่ต้องส่งอาจารย์ สิบห้านาทีจึงหลับสนิท ผล๊อยสนิทบนที่นอน ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องนอกขณะนี้กำลังขมุกขมัวแปรปรวนไม่นานนักเมฆดำก็คลุมหนาแน่นจนมืดครื้มไปหมด สายฝนสาดเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา บนที่นอนเตชิตหลับด้วยอารมณ์สบาย ละอองฝนสาดเข้ามาไม่ได้เพราะปิดหน้าต่างสนิท การสอนพิเศษในบ้านของน้องมุกกับน้องหมอกเสร็จสิ้นช่วงฝนกำลังกระหน่ำแรง บิดามารดาของเด็กชายและเด็กหญิง ขอร้องให้ฝนซาสนิทก่อนจึงให้กลับบ้าน และจะขับรถไปส่งหน้าปากซอย “ดูเข้าเถอะฝนตกหนักออกอย่างนี้ ออกไปก็เปียกปอนหมด ประเดี่ยวจะไม่สบายเป็นหวัดอีก นะจ๊ะ เชื่อพี่เถอะ” เจ้าของบ้านเอ่ยพูดอย่างมีน้ำใจและเป็นห่วง ติวเตอร์หนุ่มเลยต้องพยักหน้ารับแล้วเดินกลับเข้ามาใต้ปีกหลังคาเช่นเดิม ทรุดนั่งยังพนักตัวเดิม ด้วยความรู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้าน บิดาของเด็กชายและเด็กหญิงซึ่งทำงานเป็นสถาปนิกคุมงานก่อสร้างอยู่แถวถนนพระรามสอง หมู่บ้านจัดสรรโครงการใหญ่ ยังไม่กลับเข้ามาบ้าน จึงเอ่ยถามเพราะกลัวหิว “ทานข้าวไข่เจียวดีไหมจ๊ะหรือว่าจะเป็นข้าวผัด พี่จะให้เด็กทำมาให้ ช่วงระหว่างที่รอฝนหยุดซา ก็ควรหาอะไรรองท้องไว้จะดีกว่า กว่าจะกลับถึงบ้าน” ด้วยความเกรงใจจึงต้องเงียบ อึกอักจะเอ่ยเพราะไม่อยากทำตัวสนิทชิดเชื้อมากกว่านี้ ควรรู้จักคำว่าเกรงใจ ถึงแม้เจ้าของบ้านจะเมตตาปราณี เขาก็ทำหน้าที่แค่ครูหรือติวเตอร์สอนตำรา เพื่อชี้จุดข้อบกพร่องข้อแก้ไขเสริมให้เด็กทั้งสองที่พอรู้มีพื้นฐานแล้วเก่งกว่าเดิม “ไม่ดีกว่าครับ ผมขอกลับไปกินข้าวที่บ้านกับน้องดีกว่า คงรอผมอยู่ที่บ้าน” ได้ยินดังนั้น เจ้าของบ้านเงยหน้ามองชั่วครู่จึงเข้าใจ “น้องเธอเรียนอยู่ที่ไหนล่ะ” “สถาบันเทคโนแถวนนทบุรีครับ” มารดาของน้องมุกได้ยินจึงอุทานเสียงดัง “ตายจริง ไกลอย่างนั้น กว่าจะกลับถึงบ้านไม่ดึกหรือ แล้วเรียนช่างกลเดี๋ยวนี้พี่รู้สึกว่ามันอันตราย ข่าวคราวออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ทีวีไม่กี่วัน เห็นแล้วใจหายใจคว่ำ น่าสงสารอนาคตของชาติ ตีรันฟันแทงสาหัสบาดเจ็บถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลก็มี” มารดาของน้องมุกเอ่ยออกความเห็นส่วนตัว ซึ่งเตลานยิ้มแห้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร และออกความเห็นได้ไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะนี่คือความชอบของน้อง ก็เห็นด้วยเรื่องตีรันฟันแทงของนักศึกษา มันก็มีทุกยุคสมัย ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นประเพณีและฝังอยู่ในสันดานของจิตใจที่มีความอาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง “แฟนพี่เองก็ยังไม่กลับ จากแคมป์ก่อสร้าง ฝนตกหนักอย่างนี้ด้วย ข้างนอกรถคงติด นี่ก็รอว่าเมื่อไหร่จะโทร.กลับเข้ามาในบ้าน”เธอเอ่ยถึงสามีแสนดีให้ฟัง ฝนซาและหยุดตกแล้ว แม้ไม่ได้ขาดเม็ดสนิท แต่ถ้ายังคงรออีก อาจจะเทโครมลงหนักหน่วงกว่าเดิม มารดาของน้องมุกคิดแล้ว แม้ผู้เป็นสามียังเดินทางมาไม่ถึง แต่คิดว่าน่าจะส่งนักศึกษาหนุ่มที่ว่าจ้างให้เป็นครูพิเศษให้กลับที่พัก และถึงปากซอยเด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง มารดาของน้องมุกเทียบรถริมฟุตบาธ ก่อนนิ่งไปครู่หนึ่งเอ่ยบอกว่า “เดี๋ยวจ๊ะ”เตลานขยับตัวเพื่อจะเปิดประตูรถ พร้อมหยิบชีทเอกสารที่เตรียมสอนในวันนี้ข้างเบาะ “นี่จ้ะ ฉันให้เป็นพิเศษ เห็นว่าฝนตกกลับบ้านคงแย่ คงช่วยต่อรถแท็กซี่กลับบ้านได้ โชคดีนะจ้ะ” อึกอักไปครู่ แต่เมื่อเจ้าของบ้านมีเมตตาให้จึงเอื้อมหยิบธนบัตรสีแดงสามใบยื่นให้กับมือพร้อมพยักหน้าให้จึงจำยอมรับ “ขอบคุณครับ” ลงมายืนเคว้งคว้างอยู่ ขณะที่รถเบ๊นซ์คันดังกล่าวเลี้ยวกลับ ละอองฝนที่ยังไม่ขาดเม็ดแตะที่แขน จึงต้องรีบผละเดินตรงไปที่ป้ายรถเมล์ ฝนอาจจะตกในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า เวลานั้นเขาคงกลับถึงบ้านพักแล้ว ก็นึกถึงน้องชาย เตชิต คาดว่าคงกลับและหลับสนิทแล้ว กับข้าวกับปลาลืมกินด้วยหรือเปล่า แต่ตอนมานี่ก็ไม่ลืมที่ซื้อถุงอาหารทิ้งไว้ เดินขึ้นที่อพาร์ทเม้น ห้องล๊อกก็แน่ใจว่าน้องชายหลับสนิท แต่ถ้าล๊อกกลอนไว้คงยังไม่กลับ หรือไม่ก็ออกไปธุระข้างล่าง อาจจะร้านสะดวกซื้อในละแวกนี้ เรื่องแหกปากเรียกจึงไม่ได้ใช่ เคาะแค่สองสามครั้ง เมื่อรู้ว่าเงียบสนิทก็ไขกุญแจเข้าไป เปิดห้องจึงได้รู้ว่าหลับสนิทจริง แสงไฟสาดสว่างทุกมุมห้อง ที่คฤหาสน์หรู รพิปรีชญา รังหงส์ ประภารัศศิ รังเพชร สามสาวใบเถา บุตรสาวของนาย รดิศกับ คุณรังรอง ที่หน้าต่างชั้นสองของบ้าน สายฝนที่โปรยปรายกระหน่ำหนักทั่วเขตกรุงเทพ ย่อมเผื่อแผ่มาถึงคฤหาสน์หลังงามนี้ด้วยเช่นกัน รังหงส์กำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ดี ก็ต้องพับเก็บหนังสือ ทั้งๆที่ตั้งใจอ่าน ส่วนประภารัศศิ หยิบชิ้นแผ่นกระดาษที่เสร็จพอดีจากการนั่งพิมพ์แล้วปริ๊นเป็นรายงานออกมา พรุ่งนี้เห็นทีต้องเข้าเล่ม “ตายจริง ทำไม ฝนตกหนักอย่างนี้คะ คุณแม่ขา” ประภารัศศิร้องทักมารดา ขณะที่นางรังรองกำลังกระชับเสื้อแขนยาวหนาที่เพิ่งหยิบสวมเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จึงชำเลืองมองดูลูกสาวคนโตเอ่ย “หนูเองก็เหมือนกัน ฝนตกอากาศเย็นอย่างนี้ต้องเลือกเสื้อผ้าหนาๆสวมใส่จะได้หายหนาว ดูตัวอย่างแม่ซิ นี่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆฝนก็เทโครมลงมาราวกันฟ้ารั่ว นี่เป็นชั่วโมงแล้วนะ คงจะหยุดตำยาก”เสียงสนทนาระหว่างมารดากับพี่สาวคนโต ทำให้น้องรองอย่างรังหงส์ยื่นหน้าแทรกคำพูดตอบอย่างรู้ดีกว่าคนอื่นเพราะอ่านจากหนังสือพิมพ์และดูข่าวจากทีวี “ หงส์อ่านข่าวในทีวีแล้วนะคะแม่ บอกว่า พายุจะเข้าประเทศไทย ตั้งแต่เช้านี้ พอตกเย็นปุ๊บไม่นึกว่า จะกระหน่ำมาแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้” รังหงส์เองก็รู้สึกหนาวเหน็บเพราะอากาศที่เย็นชื้น โชคดีที่เลือกคว้าเสื้อนอนแขนยาว เพราะอีกไม่กี่นาที เธอจะต้องเข้านอน “จ้ะ แม่ก็เพิ่งทราบจากหนูนี่ล่ะ ถึงยังไงเถอะลูกจ๋า พยายามสวมเสื้อผ้าหนาๆเข้าไว้ เอาล่ะลูกๆของแม่ ทุกคนนั่นล่ะ รีบเข้าห้องนอนได้แล้วจ้ะ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า แม่ไม่ปลุกนะ จะฝึกวินัย ว่าจะพากันหัดตื่นด้วยตัวเองได้ไหม” คุณรังรองเอ่ยเสียงเข้มงวด มีจดหมายซองสีขาวส่งมาจากทางบ้าน บิดาเขียนในข้อความบอกกล่าวว่า เริ่มเริ่มตกหนัก ถึงฤดูกาลทำนา ท่านเริ่มหว่านกล้า สุขภาพพ่อเริ่มดีขึ้น แต่แม่นี่สิ กลับกลายเป็นคนล้มป่วยแทน จนพ่อและญาติพี่น้องพากันแปลกใจ จึงอยากจะให้เธอให้พี่อีกสองคนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านสักสองสามวัน เพราะจะมีการทำบุญอัฐิบรรพบุรุษ รวมทั้งมีการรำเจ้าเข้าแม่มด หรือรำแหม็ด อันเป็นวิถีชีวิตของชนบทพื้นบ้าน ท้องถิ่นเดิมที่มีมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ เพราะมีความเชื่อ ในเมื่อทางด้านการแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ก็ต้องอาศัยแพทย์สมุนไพรโบราณ กับความเชื่อของแม่หมอประจำหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้บิดาของเธอพร้อมด้วยญาติที่ชนบทอยากจะให้เดินทางมาพร้อมเพรียงกัน เป็นเรื่องที่บิดาเขียนชี้แจงมาทางจดหมาย เอจะต้องเอ่ยบอกกับพี่ชายทั้งสองให้รับรู้ เห็นทีเธอจะต้องเดินทางไปในวันศุกร์ตอนเย็นที่จะถึงนี้ เพราะนี่ก็วันพฤหัสบดีแล้ว ส่วนน้าสาวเพ็ญผ่อง ตั้งใจจะเดินทางกลับไปบ้านด้วย เพราะเรื่องนี้ถือว่าสำคัญ และได้ไปพบปะรวมญาติกับพี่น้อง เนื่องจากงานทำบุญอัฐิของปู่ย่าตาทวดมีความสำคัญอย่างมาก ตั้งใจจะให้สามีร่วมเดินทางไปด้วยและขับรถไปกัน ถึงเวลานี้ก็รีบยื่นใบลาอย่างกะทันหัน ให้จัดตารางเวรใหม่และไฟล์ทการบินซึ่งให้เพื่อนคนอื่นทดแทน ซึ่งก็ได้รับการยินยอมตกลงจากเพื่อนสาวร่วมงานเป็นอย่างดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD