อรวีลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกปวดศีรษะตุบ ๆ เธอรับรู้มาตลอดคืนว่านอนอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็รับรู้แบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่
แดดอ่อน ๆ ส่องผ่านร่องผ้าม่านเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เด็กสาวรู้สึกกระหายน้ำแต่ลุกไม่ไหว จึงพยายามหันมองว่ามีใครอยู่ในห้องนี้มั้ย แล้วมือเล็ก ๆ ก็ขยับไปแตะโดนแขนแข็ง ๆ ของใครบางคนที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงเธอ
“คุณพ่อ...”
อรวีเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว ก่อนจะเห็นอัครวินทร์ยกศีรษะขึ้นมา เพราะมือเธอไปโดนแขนเขา หรือเพราะเสียงเรียกที่เธอเองยังแทบไม่ได้ยิน ก็ไม่อาจรู้ได้
“หนูอรฟื้นแล้ว หญ้าหวาน”
สิ่งแรกที่เขาทำคือหันไปเรียกเมียที่นอนอยู่ตรงโซฟา ก่อนจะหันกลับมายกมือขึ้นจับหน้าผากอรวีอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างลูก ปวดหัวมั้ย?”
“หิวน้ำมั้ยคะ? หรือจะให้แม่เรียกคุณหมอให้?”
“เอาน้ำให้ลูกเลยดีกว่าหญ้าหวาน ลูกอาจจะยังพูดไม่ได้หรือเปล่า?”
“ได้ค่ะ คุณไขเตียงให้ลูกนั่งหน่อย”
สองสามีภรรยาวุ่นวายกันอยู่สองคน โดยที่อรวีได้แต่นอนตาปริบ ๆ จนเตียงถูกไขด้านศีรษะให้สูงขึ้น อัครวินทร์หมุนหมอนให้เธอนั่งอิง ส่วนหวันยิหวารินน้ำใส่แก้วมาหลอดมาป้อนให้ถึงปาก
อรวีดูดน้ำไปนิดหน่อย เธอยังรู้สึกร้อน ๆ ตามผิวหนังอยู่บ้าง และเมื่อได้มองหน้าพ่อกับแม่เลี้ยง น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีกหน
“คุณพ่อ หนู...”
โดยไม่คาดคิด ชายหนุ่มขยับเข้าไปรับตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นที่เด็กสาวไม่ได้รับมานานถึงสามปีแล้ว... เธอนั่งตัวแข็งทื่อ ก่อนจะยกสองมือขึ้นกอดเขา ร้องไห้โฮ โดยมีหวันยิหวาเดินไปอีกฝั่งของเตียง และลูบหลังเธออย่างปลอบโยนไม่ห่าง
เนิ่นนาน... กว่าอรวีจะรู้สึกดีขึ้น เมื่อเธอเป็นฝ่ายคลายอ้อมแขน อัครวินทร์ก็มองสบตาเธอจริงจัง และเขาเองเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“หนูอรเป็นลูกสาวพ่อ”
“.....”
“ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ยลูก?”
“หนู...”
“เป็นลูกสาวแม่ด้วย... ทั้ง ๆ ที่แม่ไม่ได้คลอดหนูมา”
เสียงสั่นเครือของหวันยิหวา ทำให้อรวีหันไปมองเธอทั้งน้ำตา
“สายเลือดไม่สำคัญเท่าเรารักกันไม่ใช่เหรอลูก?”
คำถามของหวันยิหวา เหมือนปลดล็อกอะไรบางอย่างในหัวใจของเด็กสาว อรวีไม่คิดจะถามว่าพ่อกับแม่หวานรู้ได้ยังไงว่าเธอไปรู้อะไรมา โดยเฉพาะเมื่อประตูถูกเคาะ แล้วพี่เลี้ยงก็จูงอนุวรรษ์ที่กำลังร้องไห้เข้ามาในห้อง
“พี่หนูอร ฮือ ๆ พี่หนูอร”
เด็กชายร้องไห้โฮ พยายามปีนขึ้นเตียง อัครวินทร์จึงอุ้มลูกชายวัยห้าขวบขึ้นบนเตียงพยาบาล หวันยิหวาสวมแมสก์ปิดปากให้ลูกชายก่อน เรียบร้อยแล้ว อนุวรรษ์ก็รีบคลานเข่าไปกอดอรวี และโวยวายหนักมาก
“พี่หนูอรไม่สบาย ป้าปุ้ยบอก ฮือ ๆ พี่หนูอรไม่สบาย แง”
ท่าทางเหมือนจะเป็นจะตายของอนุวรรษ์จนแมสก์เปียกน้ำตาไปหมด ทำเอาอัครวินทร์ หวันยิหวา และอรวีที่เพิ่งผ่านความเศร้ากันมา ถึงกับยิ้มออกมาได้ทุกคน ในขณะที่พี่เลี้ยงต้องเดินไปนั่งที่โซฟาด้วยความเหนื่อย อนุวรรษ์ตื่นมาร้องโวยวายหาพ่อแม่และพี่สาวตั้งแต่ตีห้า กว่าเธอจะจับเด็กชายอาบน้ำ กินข้าวทั้งน้ำตาให้มีอะไรรองท้องบ้าง ก่อนออกมาที่นี่ก็แทบขาดใจ!
อรวียิ้ม... ทั้งน้ำตา เธอกอดน้องชายไว้ ซบหน้ากับเส้นผมอ่อนนุ่ม แล้วโยกตัวไปมา
“พี่หนูอรไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ถ้าน้องนุยังกอดพี่แบบนี้ เดี๋ยวจะติดหวัดนะคะ”
อรวีคิดว่าเธอคงเป็นหวัดเพราะตากฝนเมื่อวาน ซึ่งก็ดูไม่ผิดจากที่คิด เพราะอัครวินทร์กับหวันยิหวาถึงจะห่วงเธอมาก แต่ก็ไม่ได้ดูกังวลว่าเธอเป็นโรคร้าย
“โฮ พี่หนูอรไม่สบาย!”
ปีศาจน้อยร้องไห้เสียงหลงเมื่อรู้ว่าอรวีเป็นหวัด ใช้เวลานานกว่าเขาจะยอมปล่อยมือจากเธอ พอเริ่มหายเป็นห่วง อนุวรรษ์ก็เล่นซนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย อัครวินทร์โทรสั่งงานเลขาที่ระเบียง พี่เลี้ยงวิ่งไล่จับอนุวรรษ์ให้อยู่นิ่ง ๆ ส่วนหวันยิหวาปอกแอปเปิลให้อรวีกิน
หวันยิหวามองแก้มป่อง ๆ ของเด็กสาวที่เคี้ยวแอปเปิลตุ้ย ๆ อย่างเอ็นดู พลางคิดไปถึงช่วงรุ่งสางที่เธอพยายามเลื่อนดูคลิปวิดีโอของกล้องวงจรปิดในห้องทำงานของสามี เพราะเมื่อวานนี้เธอพูดเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอของอรวีที่นั่น
ร่างเล็กบอบบางที่วิ่งเข้าไปแอบน้องชายเพื่อเล่นซ่อนหากันใต้โต๊ะทำงาน ก่อนจะออกมาเมื่อเธอกับอัครวินทร์ออกจากห้องไปแล้ว และกอบเอาเศษเอกสารผลตรวจดีเอ็นเอไป ทำให้เธอและอัครวินทร์เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจที่แสนบอบบางราวกับจะแหลกสลายโดยง่ายของอรวี…
หวันยิหวาหลุดจากภวังค์ เมื่ออรวีจับข้อมือเธอแล้วดึงพร้อมกับตีอีกมือตรงฟูกนอน เธอจึงขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แล้วเด็กสาวก็กอด ซบหน้ากับทรวงอกนุ่มนิ่มพร้อมกับแย้มยิ้ม
“หนูจะเป็นลูกสาวแม่หวานตลอดไปค่ะ”
หวันยิหวากอดตอบ โยกตัวไปมาเบา ๆ เป็นการแสดงความรักที่เธอทำเสมอตอนอรวีตัวเล็กกว่านี้
“แม่หวานกับคุณพ่อรักหนูมากนะคะ”
“ค่ะ...” อรวีน้ำตาซึมอีกครั้ง “หนูโชคดีมากเลยที่ได้เจอคุณพ่อกับแม่หวานค่ะ”
เธอพูดจากใจจริงโดยไร้สิ่งเสริมแต่งใด
หวันยิหวาลูบหัวอรวีแผ่วเบา
“หนูอยากให้คุณพ่อกอดเหมือนเดิมมั้ย? คุยกับคุณพ่อได้นะ”
อรวีนิ่งคิด ก่อนส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการอ้อมกอด แต่เธอเองก็อยากให้พ่อสบายใจในการวางตัวของเขา เขาให้เกียรติเธอ เขาคิดมาดีแล้ว และก็อย่างที่หวันยิหวาเคยบอกตอนเธอสิบขวบ
ต่อให้พ่อไม่กอด พ่อก็ยังรักเธอ และอ้อมกอดของหวันยิหวา มีไว้เพื่อเธอเสมอ...
“อ้าว อะไรกัน ทำไมกอดกันสองคนล่ะ แล้วพ่อล่ะ?”
ผู้นำครอบครัวที่เดินไปคุยงานเคร่งขรึมตรงระเบียง กลับเข้ามาก็งอแงเหมือนเด็ก ๆ และทำให้เด็กชายจริง ๆ อย่างอนุวรรษ์หันมาเห็นแม่กับพี่สาวกอดกันด้วย เขาทำตาโตเหมือนไข่ห่าน ก่อนวิ่งมากระโดดดึ๋ง ๆ ข้างเตียง
“นุจะกอดด้วย นุจะกอดด้วย”
หวันยิหวากับอรวีหัวเราะ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนที่คนเป็นแม่จะสวมแมสก์ให้อนุวรรษ์อีกครั้ง แล้วยกตัวเขาขึ้นเตียงผู้ป่วย ให้เขาได้กอดพี่สาวสมใจ
หวันยิหวาเอื้อมมือโอบกอดลูก ๆ อัครวินทร์ก็อ้อมเตียงไปอีกฝั่ง อยากจะกอดด้วย เขาอยากเติมเต็มความรักให้อรวีไม่รู้สึกน้อยใจ... แต่เด็กสาวกลับมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่ดูสดใส
“คุณพ่อเป็นผู้ชายที่โตแล้ว กอดหนูอรไม่ได้นะคะ”
“อ้าว” ชายหนุ่มหัวเราะ “โอเคครับ ลูกสาวที่โตเป็นสาวแล้วของพ่อ”
เขาวางมือบนศีรษะของอรวีอย่างรักใคร่ และสบายใจที่เด็กสาวกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมอีกครั้ง ถึงเขาจะไม่รู้ว่าหวันยิหวาพูดอะไรกับลูกก็เถอะ
แต่ไม่ว่าหวันยิหวาจะพูดหรือทำอะไร ก็ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับเมียทั้งนั้นแหละสำหรับโคแก่ที่นิยมการเคี้ยวหญ้าหวานอ่อน ๆ แบบเขา
และต้องเป็นหญ้าอ่อนต้นนี้ ต้นเดียวด้วย!!
หวันยิหวากอดลูกสาวลูกชาย แต่ดวงตาหวานละมุนมองสามีด้วยความรู้สึกขอบคุณที่มีเขาอยู่
ไม่ว่าจะเธอหรืออรวี
ก็ถูกฉุดออกจากนรกด้วยความรักของเขา...