“จะหาแล้วน้า~”
เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยห้าขวบที่ดังอยู่ด้านนอกห้อง ทำให้เด็กสาววัยสิบสามปียกมือขึ้นปิดปากเปื้อนรอยยิ้มของตัวเอง เธอพยายามทำตัวเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำงานในห้องทำงานของบิดา เพื่อเล่นซ่อนหากับน้องชาย
“แฮ่!”
เสียงของ ‘อนุวรรษ์’ ดังใกล้มาก จน ‘อรวี’ คิดว่าถูกจับได้เสียแล้ว แต่เมื่อมองไปตรงเก้าอี้ตัวใหญ่ ก็ไม่ยักเห็นน้องชายโผล่แก้มกลม ๆ มาให้เห็น
“ว้า พี่หนูอรไม่อยู่ตรงนี้เหรอเนี่ย”
อนุวรรษ์บ่นหงุงหงิงอยู่ไม่ไกลนัก อรวีเลยก้มลงมองลอดช่องว่างของโต๊ะตัวใหญ่ และเห็นน้องชายกำลังรื้อตู้หนังสืออยู่
โธ่! ตานุนี่นะ พี่ตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ จะไปซ่อนหลังตู้หนังสือได้ยังไงเล่า~
อรวีคิดด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะเห็นว่ามีเท้าในรองเท้าสลิปเปอร์สองคู่กำลังก้าวเข้ามาในห้อง อรวีได้ยินเสียงสองคนนั้นคุยกับอนุวรรษ์ เธอรู้ทันทีว่าเป็นพ่อกับ ‘แม่เลี้ยง’ ซึ่งเด็กชายก็วิ่งเร็วจี๋ออกไปจากห้องเพื่อตามหาเธอในห้องถัดไป
ประตูห้องถูกปิด ‘หวันยิหวา’ แม่เลี้ยงของเธอก้มลงเก็บหนังสือกลับเข้าชั้นเดิม ในขณะที่ ‘อัครวินทร์’ ผู้เป็นพ่อเดินมาหยุดที่โต๊ะหนังสือตัวนี้
“คุณป๋ารีบหาเอกสารเร็ว ๆ นะคะ จะได้รีบออกไป เดี๋ยวตานุจะกวนคุณซัน” เธอหมายถึงเลขาหนุ่มหล่อของอัครวินทร์ที่รออยู่ห้องรับรองแขก “ฝนก็เริ่มตกหนักแล้วด้วย”
“คร้าบแม่”
“เดี๋ยวเถอะค่ะ ยังจะมาเล่นอีก”
อัครวินทร์หัวเราะ
“ยังไงก็ฝากส่งมะปรางด้วยนะ อ้อ แล้วมะปรางจะเรียนต่ออีกมั้ย หรือจบโทก็พอแล้ว?”
“เรียนค่ะ คุณโนบุจะส่งเสียจนกว่ามะปรางจะเรียนจบสูงเท่าที่อยากเรียนเลย เห็นว่าจะเรียนต่อปริญญาเอกนะคะ อย่างว่าแหละ มะปรางชอบเรียนมาก...” หวันยิหวาลากเสียงยาว บ่งบอกว่าคนที่ถูกพูดถึงชอบการเล่าเรียนมากมายขนาดไหน
“สงสารไอ้ปินเลยแฮะ” อัครวินทร์พูดกลั้วเสียงหัวเราะ “กว่าจะได้แต่งเมีย ก็ว่าสิ เห็นว่าไปดูลู่ทางที่ญี่ปุ่นแล้ว คงรอมะปรางเรียนจบไม่ไหวแล้วละ”
“นั่นสิคะ”
อรวีนั่งตาปริบ ๆ ฟังเสียงพ่อและแม่เลี้ยงหัวเราะหยอกกันคุยเรื่องน้ามะปรางกับอาปิยังกูรกันด้วยความรู้สึกว่าเธอกำลังจะเสียมารยาท เธอควรออกจากตรงนี้ไปให้ทั้งสองคนเห็นว่าเธออยู่ในห้องนี้ด้วย แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว เสียงถามของหวันยิหวาก็ทำให้เด็กสาวชะงัก
“เอ๊ะ นี่เซฟอะไรคะคุณป๋า”
“อ้อ” อัครวินทร์เดินไปสมทบกับภรรยา “ไม่มีของมีค่าหรอก แต่มีพวกเอกสารลับน่ะ เอาไว้ว่าง ๆ เดี๋ยวจะเปิดให้ดูนะ ใบตรวจดีเอ็นเอหนูอรก็อยู่ในนี้”
“หา!” หวันยิหวาโวยวาย “เก็บไว้ทำไมคะ? ทำลายทิ้งไปเลยนะ ถ้าลูกมาเห็นเข้าจะทำยังไง!”
อัครวินทร์นิ่งอึ้ง ก่อนพึมพำ
“เออ จริงด้วย”
ชายหนุ่มนั่งคุกเข่ากดรหัสผ่าน หยิบเอกสารต่าง ๆ ออกมาจากเซฟลับด้านหลังชั้นวางหนังสือชั้นที่สามจากด้านล่าง เขาหาไม่นานก็เจอใบตรวจดีเอ็นเอของเขากับอรวีที่เคยตรวจไว้เมื่อหลายปีก่อน
ชายหนุ่มเก็บเอกสารอื่น ๆ กลับเข้าไปแล้วปิดเซฟ ก่อนจะเดินมาข้างโต๊ะทำงาน
เครื่องทำลายเอกสารอยู่ใกล้กับเก้าอี้มาก อรวีที่ได้ยินเสียงพูดคุยกันมาตลอดด้วยหัวใจที่เต้นแรง เพราะหวันยิหวาตกใจมากที่พ่อของเธอเก็บใบตรวจดีเอ็นเอเอาไว้... นั่งกอดเข่าพยายามทำตัวเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
โชคดีที่อัครวินทร์ไม่ได้ก้มมองมา เขาสอดกระดาษใส่เครื่องทำลายเอกสาร แล้วหันไปหยิบเอกสารบนชั้นวางทางด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวไปอีกทาง
อรวีก้มลงจนแก้มแนบพื้น มองเท้าในรองเท้าสลิปเปอร์สองคู่เดินออกไปด้วยกัน ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง
ร่างเล็กมุดออกจากใต้โต๊ะทำงานของบิดา เธอยืนมองเครื่องทำลายเอกสารที่เห็นว่าตอนนี้ในนั้นมีแค่เอกสารการตรวจดีเอ็นเอของเธอถูกกรีดเป็นเส้น ๆ กองอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมใสด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น...
หัวใจเธอเต้นแรงมาก จนอรวีกลัวว่ามันจะทำงานหนักเกินไปจนหยุดเต้นเสียในนาทีนี้
ทำไมแม่หวานต้องตกใจขนาดนั้นด้วย
ก็หนู... เป็นลูกพ่อไม่ใช่เหรอ
ดวงตากลมโตสีคล้ายอัครวินทร์ เพียงแค่เฉดเข้มกว่า เอ่อไปด้วยน้ำตาแห่งความกังวลและหวาดกลัว... อรวียืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะตัดสินใจรื้อหากระดาษเปล่ามาได้ใบหนึ่ง เธอเปิดเครื่องทำลายเอกสาร เก็บเส้นกระดาษออกมาจนหมดเกลี้ยง แล้วใส่กระดาษเปล่าลงไปแทน
เด็กสาวพับเก็บเส้นกระดาษทั้งหมดใส่กระเป๋ากระโปรง ก่อนจะค่อย ๆ แง้มประตูดู เห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ ก็รีบออกจากห้องทำงานของพ่อ แล้วขึ้นบันไดมาชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง
เศษกระดาษถูกนำออกมาวางกองบนเตียงนอน อรวีมองมันด้วยหัวใจที่สั่นไปหมด เต้นแรงขึ้นอีก ระหว่างที่เธอพยายามรีดและเรียงเส้นกระดาษเหล่านั้น เมื่อมั่นใจว่าเรียงถูกแล้วก็ค่อย ๆ ติดมันด้วยเทปใสจากซ้ายไปขวา
เธอไม่กล้าจะอ่านผลเลย... ได้แต่ต่อกระดาษจากข้อความภาษาอังกฤษสีซีด ๆ ด้านบน ที่เป็นตัวย่อของห้องแล็บปฏิบัติการตัวใหญ่ ชื่อเต็มตัวเล็ก และข้อความ DNA TEST REPORT
แปะจนครบแล้ว อรวีก็ยังไม่กล้าดู...
เธอนั่งมองหัวกระดาษ อ่านชื่อห้องแล็บซ้ำไปซ้ำมาด้วยจิตใจที่หวาดกลัว... ตอนแปดขวบ ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอมารดาผู้ให้กำเนิด วันนั้น... คือวันสุดท้ายที่เด็กหญิงอรวีรู้สึกสิ้นหวังกับการมีลมหายใจของตัวเอง
อัครวินทร์และหวันยิหวาให้ชีวิตใหม่กับเธอ
อัครวินทร์ค่อย ๆ อธิบายกับเธออย่างใจเย็นว่าหวันยิหวาที่ตอนนั้นกำลังตั้งครรภ์อนุวรรษ์อยู่ ไม่ได้ ‘แย่ง’ เขามาจากแม่ของเธอ เขากับแม่ของเธอได้ตัดขาดกันไปตั้งแต่ก่อนอรวีจะลืมตาดูโลกแล้ว
‘แล้วทำไมคุณพ่อยังไปนอนที่บ้านคุณแม่ล่ะคะ?’
อรวีในวัยแปดขวบถามบิดาด้วยความสงสัย
วันนั้น มือหนาอบอุ่นลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน
‘พ่ออยากให้หนูอรมีครบทั้งพ่อและแม่ครับ’ เขาอธิบายอย่างจริงจัง ‘พ่อคิดว่าจะรอให้หนูอรโตกว่านี้ค่อยบอกให้หนูอรเข้าใจว่าพ่อกับแม่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่พ่อไม่รู้เลย... ว่าแม่เขาดูแลลูกไม่ดีแบบนั้น’
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นปนเจ็บปวด อัครวินทร์สูดลมหายใจลึก ดูเหมือนกำลังห้ามความโกรธที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุด เมื่อพูดถึงแม่ของอรวี ก่อนที่เขาจะก้มมองและถาม
‘หนูอรอยากอยู่กับพ่อใช่มั้ยครับ’
อรวีพยักหน้าเร็ว ๆ
‘อยาก อยากค่ะ’ มือเล็กสั่นเทายื่นไปจับข้อมือใหญ่โตของเขา ‘คุณพ่ออย่าพาหนูอรไปคืนคุณแม่นะคะ’
เธอขอร้องทั้งน้ำตา
‘หนูอร... กลัว...’
วันนั้นพ่อและหวันยิหวากอดปลอบเธอ... เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดที่อรวีเคยได้รับ หลังจากนั้นเธอชอบขอให้ทั้งพ่อและหวันยิหวากอดเธอพร้อมกันมาก ๆ เธอขออยู่บ่อย ๆ ซึ่งทั้งสองคนไม่เคยปฏิเสธเลย
กระทั่งวันเกิดอายุครบสิบขวบ หลังเป่าเค้ก อรวีโผเข้าไปกอดอัครวินทร์อย่างมีความสุข ตอนนั้นพ่อกอดเธอ ลูบผมเบา ๆ แล้วบอกกับเธอว่า
‘พ่อว่าหนูอรโตเป็นสาวแล้ว พ่อขอกอดหนูอรครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะครับ’
‘ทำไมล่ะคะ?’
อรวีใจแป้ว... กลัวพ่อไม่รัก
‘เพราะพ่อเป็นผู้ชาย หนูอรเป็นผู้หญิงและกำลังโตเป็นสาว ถ้าพ่อยังแตะเนื้อต้องตัวลูกอยู่มันจะดูไม่ค่อยเหมาะสมน่ะครับ’
‘แต่...’
‘หนูอร’ อรวีหันมองไปทางเสียงเรียก และเห็นหวันยิหวากำลังยิ้มให้เธอ ‘ถึงจะไม่กอดกันแล้ว คุณพ่อก็ยังรักหนูเหมือนเดิมนะคะ อีกอย่าง หนูอรยังกอดแม่หวานได้ตลอดไปเลยนะคะ’
หวันยิหวาขยิบตาข้างหนึ่ง
‘เพราะเราเป็นผู้หญิงเหมือนกันไง’
อรวีไม่ค่อยเข้าใจพ่อหรอก... แต่เพราะพ่อและหวันยิหวามอบชีวิตใหม่ให้เธอ เด็กสาวจึงตั้งใจว่าจะไม่ดื้อ เธอยิ้มและกอดหวันยิหวาที่อุ้มอนุวรรษ์วัยสองขวบอยู่ ก่อนที่ร่างกายใหญ่โตของพ่อจะโอบกอดพวกเธอไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่นที่เขาบอกว่านี่จะเป็นกอดสุดท้ายที่เขาให้เธอ
แปะ แปะ
น้ำตาที่หยดลงบนกระดาษติดเทปใสที่อรวีถือไว้ในมือ ทำให้ดวงตาเธอพร่าไปหมด มองไม่เห็นตัวหนังสือเลย เด็กสาวร้องไห้สะอื้น หวาดกลัวสุดแสน... แต่เธอก็ยกแขนขึ้นเช็ดดวงตาแรง ๆ ก่อนจะกลั้นใจกวาดสายตาอ่านผลตรวจดีเอ็นเอที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดในกระดาษแผ่นนั้น
และแล้ว หัวใจดวงน้อยก็เหมือนร่วงหล่นลงพื้นแข็ง แตกกระจายไร้ชิ้นดี เมื่อเห็นข้อความ...
Probability of Paternity : 0%
ความน่าจะเป็นของความเป็นพ่อ : ศูนย์เปอร์เซ็นต์...
นั่นหมายความว่า เธอกับอัครวินทร์ ไม่มีสายเลือดใด ๆ เกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว!!